สำนักงาน SK - Airways
เวลาประมาณ 21.00
การัณย์นั่งเอนเก้าอี้ไปทางด้านหลัง และหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากอยู่ท่ามกลางกองเอกสารมาตั้งแต่เช้ายันค่ำ
ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัท แต่ก็ใช่ว่าจะใช้เงินไปวัน ๆ อย่างเดียว เพราะทั้งเขาและเก้ากวินทร์เองต่างต้องเรียนรู้และลงมือทำงานในทุกด้านให้เชี่ยวชาญ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นทายาทรุ่นต่อไปของอนาจักรหลายหมื่นล้านที่ต้นตระกูลของสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจ
ปกติการัณย์จะเข้าออฟฟิศแค่สัปดาห์ละ 3-4 วัน และไม่ได้ยุ่งขนาดนี้ แต่เพราะสัปดาห์นี้มีเอกสารให้ตรวจสอบรายละเอียดเยอะพอสมควร และด้วยความเป็นคนละเอียดจึงทำให้ล่วงเลยเวลามานานหลายชั่วโมง
แต่เขาก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวให้พนักงานต้องเลิกงานค่ำเหมือนเขา เพราะชายหนุ่มได้แจ้งให้พนักงานและเลขาเลิกงานตามปกติ ทำให้ตอนนี้ชั้น 18 เหลือแค่เขาคนเดียวที่ยังอยู่
จะว่าทำงานระบายความโกรธก็เห็นจะได้…เพราะวันนี้เขารู้สึกไม่พอใจแปลก ๆ ตอนเห็นยัยน้องกับพี่ชายเขาอยู่ด้วยกันแถมยังหัวเราะต่อกระซิกกันอีกต่างหาก
ความจริงคือเขาได้ยินตั้งแต่เลขาเอ่ยทักสองคนนั้นแล้ว แต่มาโกรธจัด ๆ ก็ตอนเปิดประตูออกมาแล้วเห็นใบหน้าสวยหวานนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
ที่แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้รอยยิ้มสดใสนั้นฉายออกมา….
ตั้งแต่รู้จักกันมาหลายปี เขาไม่เคยได้รับรอยยิ้มจากเธอเลยสักครั้ง เพราะเธอมักจะมองเขาด้วยหน้าบูด ๆ สายตาเซ็ง ๆ
ก็ยอมรับแหละว่าเขาชอบไปแหย่เธอ เพราะมันสนุกดีตอนเห็นเธอโกรธ แต่พอมาเห็นเธอยิ้มเพราะคนอื่นที่ไม่ใช่เขาแล้วมันก็รู้สึกอึดอัดเป็นบ้า!
แค่คิดไฟในตาของเขากำลังจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง…แต่ทว่าความโกรธานั้นก็ดับวูบลง เพราะสายตาคมกริบเหลือบไปมองเห็นกล่องข้าวที่วางอยู่
จริงสิ นี่ 3 ทุ่มจะครึ่งแล้ว แต่คนน้องกลับไปตั้งแต่ 5 โมงเย็น เท่ากับว่าข้าวกล่องที่เธอทำมาให้นั้นนอนไร้ค่าอยู่บนโต๊ะมานานกว่า 4 ชั่วโมงแล้ว
คิดได้เช่นนั้นร่างสูงโปร่งจึงลุกขึ้นไปหยิบถุงข้าวกล่องขึ้นมา เมื่อเปิดออกมาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นหน้าตาอาหารที่ดูก็รู้ว่าเธอทำเองจริง ๆ ไม่โกง
เพราะไก่ก็สีเข้มค่อนไปทางไหม้ ผักก็ชิ้นใหญ่บ้างเล็กบ้าง โชคดียังมีไข่ดาวที่ยังเหลือเอกลักษณ์ความกลมไว้ได้แต่ก็อมน้ำมันชะมัด
ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาถูกประดับด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู…ในตอนแรกก็คิดว่าจะลองใจให้โมโหเล่น ๆ แต่ปรากฏว่าเธอทำมาจริง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่ข้าวกล่องนี้จะทำให้ความขุ่นเคืองที่มีมลายหายไป
อันที่จริงคนที่ทำให้เขาโกรธจริง ๆ มันคือเก้ากวินทร์ต่างหาก แต่ก็พาลไปไม่พอใจใส่คนตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
นี่เขาปล่อยให้ความใจร้อนของตัวเองครอบงำจนเผลอแสดงท่าทีใจร้ายใส่ยัยน้องหรือเปล่าเนี่ย…
“...”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างสูงโปร่งจึงรีบจัดการปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟ และเดินออกจากห้องทำงานโดยไม่ลืมที่จะหิ้วถุงข้าวกล่องมาด้วย
ระหว่างทางเดินในชั้น 18 นั้นเงียบสงบปราศจากผู้คน ขายาวก้าวเท้าอย่างมั่นคงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงลานจอดรถสำหรับผู้บริหารที่ตอนนี้เหลือเพียง McLaren สีดำเงาราวกับเสือดำในยามราตรีจอดอยู่คันเดียว
มือใหญ่เปิดที่เก็บของและวางกล่องข้าวเข้าไปในนั้น พลางกด Start และพุ่งทะยานออกจากบริษัทด้วยความรวดเร็ว
เสียงเครื่องยนต์แสนทรงพลังดังกระหึ่มราวกับเสียงประกาศกร้าวของราชาแห่งท้องถนน ดีไซน์รถที่หรูหราแต่ทว่าล้ำสมัย ทำให้ไม่ว่าผ่านไปทางไหนทุกสายตาก็ต้องหยุดมอง
ทันทีที่ McLaren คันดุดันแล่นขึ้นสะพานทางด่วนที่ค่อนข้างโล่งเพราะจวนจะ 4 ทุ่มแล้ว เท้าใหญ่ก็เหยียบคันเร่งจนความเร็วขึ้นเป็น 170 km/h
โดยปกติเขาเป็นคนขับรถเร็วมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มีความรู้สึกร้อนใจเหมือนจะโดนใครบางคนงอน เลยต้องเร่งสปีดขึ้นไปอีก
ก็ได้แต่หวังว่าเธอจะยอมออกมาเจอกันนะ…ไม่อย่างนั้นคงต้องใช้ไม้ตายไม้เดิม
คฤหาสน์วงศ์ธารานิพิฐ
“เฮ้อ…”
คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางกดปิดฝักบัวและเดินออกมาแต่งตัวข้างนอกพร้อมเข้านอน
หลังจากสวมชุดนอนแขนยาวผ้าซาตินเนื้อเนียนสีชมพูอ่อนทรงสบาย หญิงสาวพาตัวเองมานั่งหวีผมหน้ากระจกและเตรียมลงสกินแคร์
ในขณะที่มือเรียวกำลังจะหยิบกระปุก Moisturizer ดวงตาคู่งามก็ได้สังเกตเห็นปลายนิ้วชี้เรียวที่ถูกพันด้วย พลาสเตอร์ปิดแผลเนื่องจากถูกมีดบาดตอนหั่นเนื้อไก่
“...”
ลืมไปเสียสนิทเลยว่าเป็นแผล…เพราะตอนที่โดนคนใจร้ายไล่กลับมา เธอก็ตั้งใจว่ากลับถึงบ้านจะมานอนดูซีรีส์สักเรื่องไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน
แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ตอน ความรู้สึกมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาแทรกซึมจนรับชมอะไรไม่รู้เรื่อง จนสุดท้ายต้องปิดทีวี และขึ้นมาขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่ 1 ทุ่ม
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปน้อยใจคนแบบนั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าเขานิสัยแย่ยังไง ยังจะไปคาดหวังอะไรในตัวเขาอีก
“บ้า บ้าที่สุด!”
Rrrr Rrrr
ในขณะที่นั่งทึ้งผมตัวเองอยู่นั้น โทรศัพท์ก็สั่นแจ้งเตือนเบอร์ที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุดโทรเข้ามา
-beep-
ก็ตัดสายไปเลยสิคะ! โทรมาหาพระแสงอะไรไม่ทราบ ไม่อยากคุยโว๊ยยย!
Rrrr Rrrr
-beep-
แม้จะถูกตัดสายแต่เขาก็ยังโทรจี้มาไม่หยุด จนหญิงสาวกำลังจะกดปิดโทรศัพท์เท่านั้นแหละ ข้อความโชคร้ายก็เข้ามาทันที
[พี่จอดรถอยู่หน้ารั้ว ถ้าไม่อยากให้เข้าไปก็ออกมา]
[หรืออยากให้พี่ไปสวัสดีคุณลุงกับคุณป้าตอนดึก ๆ ก็ได้นะ :) ]
กรี๊ดดดด! ไอ้คนบ้า! รู้อยู่หรอกว่าถือไพ่เหนือกว่า และตอนนี้เธอยังต้องพึ่งพาเขาอยู่ แต่จะขู่เข็นกันแบบนี้ไปตลอดเลยรึไง!
เป็นคนไล่เธอกลับมาเองแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับมาบังคับให้เธอออกไปเจอเนี่ยนะ มันไม่เอาแต่ใจไปหน่อยเหรอ!
คิดแล้วก็โมโห! แต่ถึงจะกรีดร้องในใจแค่ไหนแต่ก็ต้องข่มใจแล้วแอบย่องออกไป เพราะรู้ดีว่าต่อให้เธอจะปิดโทรศัพท์ขังตัวเองไว้ในห้องนอน คนหน้าด้านอย่างเขาก็ต้องขับรถเข้ามาในตัวบ้านอยู่แล้ว
สู้ออกไปเจอให้มันจบ ๆ กันไปเลยดีกว่า โชคยังดีนะที่วันนี้พ่อกับแม่ของเธอเข้านอนไว ไม่อย่างนั้นได้มาตอบคำถามอีกแน่ ๆ ว่าจะไปไหนตอนกลางคืน ตอนนี้ยิ่งโดนทัณฑ์บนอยู่ด้วย
“...”
ร่างบางในชุดนอนเดินมาเรื่อย ๆ ตามความกว้างใหญ่ของคฤหาสน์ จนเมื่อพ้นบริเวณสวนจึงมองเห็นรถซูเปอร์คาร์สีดำมันเงาจอดตระหง่านอยู่หน้าบ้าน โดยมีคนตัวสูงยืนพิงรถรออย่างสบายอารมณ์
ครืด…
รั้วขนาดใหญ่ถูกเปิดออกโดยที่รปภ.ส่งยิ้มให้เธออย่างสุภาพ หญิงสาวก้มหัวให้น้อย ๆ แทนคำขอบคุณ ก่อนกลับมามองคนใจร้ายตาเขียวดังเดิม
“ชุดนอนน่ารักจังครับ”
คำเอ่ยแซวนั้นทำให้ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าวแต่ต้องพยายามปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งไว้ จะบอกว่านอกจากคนที่บ้านแล้วไม่เคยมีใครเห็นเธอในชุดนอนมาก่อนเลยนะ!
“มาที่นี่ทำไมคะ” วรัญชิตาเอ่ยเสียงต่ำ
“ไปกินข้าวกัน”
“หา?ตอน 4 ทุ่มเนี่ยนะ” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างฉงน คิดว่าเรือนร่างสวย ๆ ของเธอได้มาเพราะกินข้าวตอน 4 ทุ่มหรือยังไงกัน!
“ใช่ ตอนนี้แหละ”
“ไม่ไปอะ ไวน์จะนอนแล้ว”
“ก็พี่หิวนี่ครับ”
หึ ข้าวกล่องที่เธอทำไปมันคงไปนอนอยู่ในถังขยะแล้วสินะถึงบ่นหิวแบบนี้ แถมยังหน้าด้านมาบังคับให้เธอไปกินข้าวด้วยอีก
“ไม่-ไป” คนตัวเล็กพูดเน้นคำ
“เป็นแฟนกันก็ต้องไปกินข้าวด้วยกันได้สิ เล่นตัวทำไม”
“หรือไม่อยากเป็นแล้ว?” เขาเลิกคิ้วถามเสียงกวน
เบื่อจริงจริ๊ง ไอ้มุกจะบอกเลิกเนี่ย ทำเป็นเด็ก ๆ ไปได้!
“เฮ้อ…” เธอให้คำตอบเป็นการถอนหายใจเฮือกใหญ่ ให้รู้กันไปเลยว่าไม่อยากไปโว๊ยยย!
“แล้วสรุปจะไปไหมครับ”
“ไม่ไปได้ไหมล่ะคะ”
“ไม่ได้”
“งั้นจะถามทำไมเล่า!”
เฮ้อ! ปวดหัวกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ นี่เธอต้องอดทนอยู่กับเขาไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย อยากจะบ้า!
“อย่างน้อยก็ขอเปลี่ยนชุดได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ครับ”
เผด็จการ! เผด็จการไม่มีใครเกินเลยจริง ๆ นี่เธอต้องไปนั่งกินข้าวข้างนอกด้วยสภาพชุดนอนสีชมพูเนี่ยนะ ฮือ แค่คิดก็อายแล้ว
คนตัวเล็กได้แต่บ่นอุบอิบในลำคอและจำใจเดินอ้อมไปทางที่นั่งฝั่งคนขับ แต่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเดินมาดักและเปิดประตูรถให้หญิงสาวอย่างเอาใจ ถึงแม้ว่าเธอจะทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมเข้าไปนั่งในรถแต่โดยดี
“ก็แค่เนี้ย”
บรื้น!
McLaren คันงามกระชากตัวออกไปด้วยความเร็วจนหญิงสาวกำมือบนเข็มขัดนิรภัยแน่น เสียงเครื่องยนต์ตอนออกตัวน่าจะดังจนพ่อกับแม่เธอตื่นเลยมั้งเนี่ย…
“นี่! ขับช้า ๆ หน่อยก็ได้ค่ะ”
คนตัวสูงไม่สนใจ มือใหญ่ยังคงกำพวงมาลัยต่อไปด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง นี่เขาใช่คนเดียวกันกับคนที่หน้าบูดเป็นตูดหมาเมื่อตอนเย็นหรือเปล่า!
หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่ถนนโล่ง ๆ เขายิ่งทวีคูณความเร็วของรถเข้าไปอีก หญิงสาวได้แต่สวดมนต์และหลับตาปี๋ด้วยความกลัว
นี่เขาจะลวงเธอมาฆ่าหรือยังไง!
“โอ๊ยยย! ช้าหน่อยค่ะ ความดันขึ้นหมดแล้วเนี่ย!”
เอี๊ยด!
บทจะเบรกก็เบรกเสียหัวทิ่ม นี่จะพาไปกินข้าวหรือพาไปถ่ายหนัง The fast and furious ภาคใหม่กันแน่!
“เฮ้อ...ขอบคุณค่ะ”
หลังจากเขาลดความเร็วมาอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ หัวใจที่เคยเกือบทะลุออกมาจากร่างก็ค่อย ๆ กลับมาเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอดังเดิม เกือบกลับบ้านเก่าแล้วไหมล่ะ…
“หึ…”
คนตัวเล็กได้แต่มองค้อนใส่เสี้ยวหน้าฟ้าประทานที่ตอนนี้ดูอารมณ์ดีผิดกับตอนเย็นราวกับคนละคน
นี่ก็ไม่รู้ว่าจะพาเธอไปไหนนะ ชุดอะไรก็ไม่ได้แต่งมา ขืนไปเจอคนรู้จักมีหวังอับอายแหง ๆ
“อีกไกลไหมคะ”
“ข้างหน้านี้ก็ถึงแล้วครับ” รถยนต์คันสวยเคลื่อนตัวเลียบถนนไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดจอดในซอยเล็ก ๆ ติดถนนใหญ่ซอยหนึ่ง
คนตัวสูงเปิดที่เก็บของและหยิบถุงกล่องข้าวของที่เธอทำให้ออกมา พร้อมทั้งลงไปเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับให้เธออีกครั้ง
ทันทีที่เห็นมือใหญ่ถือถุงกล่องข้าวของเธอไว้ หัวใจดวงน้อยที่เคยฟีบแบนจากการน้อยใจก็พองโตขึ้นมาราวกับถูกสูบลม ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงดีใจขนาดนี้ที่เขาไม่ได้ทิ้งข้าวกล่องเธอลงถังขยะอย่างที่เธอหวั่นกลัว
“ขอบคุณค่ะ”
ไม่รู้ว่าการขอบคุณครั้งนี้คือการ ‘ขอบคุณที่เปิดประตูรถให้ค่ะ’ หรือ ‘ขอบคุณที่ไม่ทิ้งลงขยะนะคะ’ กันแน่
“...”
หลังจากลงมาจากซูเปอร์คาร์สุดหรู หญิงสาวก็กวาดสายตาไปมองบรรยากาศรอบ ๆ ก่อนพบว่าซอยที่เขาพามาจอดเป็นซอยข้างร้านสะดวกซื้อ และเดินออกไปอีกนิดก็จะมีร้านอาหารโต้รุ่งข้างทางตั้งเรียงกันหลายร้าน
ไม่ว่าจะเป็นข้าวมันไก่ , ก๋วยเตี๋ยว , ผัดไทยหอยทอดและบะหมี่หมูแดง
กลิ่นความหอมของน้ำซุปโชยมาตามลมจนหญิงสาวอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ด้วยความที่ถูกเลี้ยงแบบลูกคุณหนูร้อยเปอร์เซ็นต์ การรับประทานอาหารข้างทางจึงเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
ถ้าให้นับนี่ก็น่าจะเป็นครั้งแรกเลยที่เธอออกมาข้างนอกตอน 4 ทุ่มโดยที่ไม่ใช่ไนต์คลับหรือห้างสรรพสินค้า
ร่างบางได้แต่เดินตามคนตัวสูงที่ดูคล่องแคล่วราวกับมาที่นี่เป็นประจำ ก่อนจะหยุดยืนที่ร้าน ‘ป้านิ่มบะหมี่เกี๊ยว’ ที่ตอนนี้มีคนนั่งทานเพียงโต๊ะเดียว
“หวัดดีครับป้านิ่ม” คนตัวสูงเอ่ยทักทายคุณป้าเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง
“อ้าวคุณกาย ไม่เจอนานเลยลูก”
“อาทิตย์นี้ยุ่ง ๆ นิดหน่อยครับป้า” เดาจากบทสนทนาเมื่อครู่แสดงว่าเขาต้องเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้แน่นอน
“เอาบะหมี่เกี๊ยวครับ น้องไวน์จะกินอะไร”
“เอาแบบพี่กายก็ได้ค่ะ” เธอตอบไปอย่างเกรงใจ เอาจริง ๆ เลยก็คือเธอไม่รู้จะสั่งอะไรดี ไม่ค่อยได้กินก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่บ่อยเสียด้วยสิ
“งั้นเป็นบะหมี่เกี๊ยวพิเศษสองที่นะครับผม”
“จ้าลูก รอแปปนะจ๊ะ”
หลังจากสั่งอาหารเสร็จ คนตัวสูงก็จัดการเดินไปตักน้ำแข็งใส่แก้วพร้อมหลอดสำหรับบริการตนเองอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามและรินน้ำให้เธอเสร็จสรรพพร้อมทั้งพันแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นจนเผยให้เห็นลำแขนท่อนล่างทั้งสองข้าง
ด้วยท่าทีสบาย ๆ บนเก้าอี้พลาสติกท่ามกลางเสียงรถที่แล่นไปมาริมถนนและบรรยากาศที่แสนธรรมดาแต่ทว่าดูพิเศษสำหรับเธอเมื่อเป็นเขาคนนี้
อันที่จริงหญิงสาวก็แอบเซอร์ไพรส์อยู่หน่อย ๆ ที่เขามีมุมติดดินแบบนี้ด้วย ถึงแม้ว่าภาพลักษณ์เขาจะดูเอาแต่ใจ ร้าย ๆ รวย ๆ แต่กลับมีด้านที่นั่งทานข้าวร้านบะหมี่ข้างทางได้ง่าย ๆ จนถึงขั้นดูสนิทกับคุณป้าเจ้าของร้านได้เช่นกัน
สงสัยเธอจะต้องลองมองเขาใหม่แล้ว…ถึงแม้ว่าจะถูกไล่กลับบ้านมาเมื่อตอนเย็นก็เถอะนะ
“มาแล้วจ้า บะหมี่ร้อน ๆ ”
หลังจากนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ เพียงไม่นานบะหมี่เกี๊ยวชามร้อนก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“ขอบคุณครับป้านิ่ม”
“วันนี้พาแฟนมาด้วยเหรอจ๊ะ”
“ใช่ครับ สวยไหมครับ” เขาตอบรับยิ้ม ๆ ด้วยความลื่นไหลปราศจากความตกใจในสรรพนามที่คุณป้าใช้เรียกความสัมพันธ์ของเขากับเธอ จะมีแต่คนที่ถูกเรียกว่า ‘แฟน’ นี่แหละที่นั่งหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
“สวยมากเลยลูกอย่างกับดาราแหนะ” หญิงสูงวัยเอ่ยชมพลางมองมายังวรัญชิตาที่สวยราวกับนางฟ้าในสายตาเธอ
คนถูกชมได้แต่ก้มหัวน้อย ๆ พร้อมทั้งส่งอมยิ้มให้กับคุณป้าเจ้าของร้านก่อนที่เธอจะเดินกลับไปยังหน้าร้านเพื่อเตรียมตัวทำบะหมี่ชามถัดไป
พอได้รับคำชมในฐานะแฟนของใครสักคนทำให้เธอรู้สึกเขินอายอยู่เหมือนกัน แต่หญิงสาวพยายามไม่ใส่ใจอาการหน้าร้อนของตัวเอง และจัดการหยิบตะเกียบกับช้อนออกมาจากกล่อง ก่อนจะลงมือชิมน้ำซุปก่อนเป็นอันดับแรก และพบว่าความหอมหวานของกระดูกหมูที่ถูกเคี่ยวมาอย่างดีนั้นไม่ได้อร่อยด้อยไปกว่าร้านดัง ๆ แพง ๆ ที่เธอเคยทานเลยเผลอ ๆ อร่อยกว่าด้วยซ้ำ
ยิ่งรวมกับเกี๊ยวหมูเด้งตัวยักษ์กับหมูแดงเนื้อนุ่มหอมกลิ่นซอสผสานกับเส้นบะหมี่ที่ลวกมาพอดีไม่แข็งไปไม่เละไป ทำให้บะหมี่ชามนี้อร่อยอย่าบอกใครเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้วนี่ก็ถือเป็นการเปิดใจและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ของเธอเหมือนกัน ร้านอาหารบางร้านไม่จำเป็นต้องหรูหราหรือได้มิชลินสตาร์ แต่ก็สามารถทำให้ต่อมรับรสของคนเรารู้สึกอร่อยและอิ่มได้เช่นกัน
“...”
ตัดภาพมาที่คนพี่ที่นั่งมองคนตัวเล็กทำตาโตตั้งแต่คำแรก ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในตอนแรกก็หวั่น ๆ ว่าเธอจะชอบหรือเปล่าเพราะด้วยความที่รู้ดีว่ายัยน้องโตมายังไง แต่เมื่อเห็นแก้มใสพองออกมาจากการเคี้ยวเกี๊ยวหมูตุ่ย ๆ ก็น่าจะเป็นคำตอบได้แล้วล่ะ
“อร่อยไหมครับ”
“...” คนตัวเล็กพยักหน้าหงึก ๆ โดยที่ปากน้อยยังคงเคี้ยวบะหมี่เกี๊ยวอย่างเอร็ดอร่อย แต่ในจังหวะที่เธอคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมา ร่างสูงคงสังเกตได้ถึงพลาสเตอร์ปิดแผลบนนิ้วชี้เรียว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะรอจังหวะที่เธอปล่อยมือจากตะเกียบและจับมือบางมาดูใกล้ ๆ
“มีดบาดเหรอ”
“ค่ะ ตอนหั่นไก่น่ะ” วรัญชิตาสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่เขาดึงมือไปจับโดยไม่รู้ตัว
“...”
“ทีหลังก็อย่าฝืนตัวเองสิ…” ไม่พูดเปล่าแต่เขายังจรดริมฝีปากลงบนนิ้วเรียวของเธอเบา ๆ ราวกับต้องการปลอบโยน
“ทะ-ทำอะไรคะ!” ด้วยความตกใจคนตัวเล็กจึงรีบชักมือกลับด้วยความรวดเร็ว
“เอ้า ก็เคยมีคนบอกพี่ว่าถ้าจุ๊บตรงบริเวณที่เจ็บจะทำให้หายเร็วนี่นา”
“ใครบอกคะ มั่วแล้วค่ะ!”
“เชื่อถือได้แล้วกัน”
“พอเลย…ไวน์อิ่มแล้ว” บ้าจริง! ตอนนี้สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากนุ่มยังติดอยู่ที่ปลายนิ้วของเธออยู่เลย แต่คนตรงหน้ากลับนั่งหน้าตาเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ!
นี่เขาทำเรื่องแบบนี้เป็นประจำจนไม่คิดอะไรแล้วหรือยังไงกัน!
“รีบอิ่มไปไหน พี่ยังไม่ได้กินข้าวกล่องฝีมือเราเลย”
“โอ๊ย! มันคงบูดไปแล้วแหละค่ะ ไม่ต้องกินหรอก”
“ไม่บูดหรอก ถ้าไม่กินน้องไวน์ก็เสียใจแย่สิ”
“บะหมี่ก็ยังกินไม่หมดเลย ยังจะยัดข้าวกล่องเข้ากระเพาะอีกเหรอคะ”
“แน่นอน พี่เก็บท้องไว้กินข้าวที่น้องไวน์ทำให้อยู่แล้ว” เขายังคงปากหวานไม่เลิกในขณะที่เธอเลือกที่จะนั่งเขินอายเงียบ ๆ
“ดูดีอยู่นะ ถึงไก่จะไหม้ไปหน่อยเถอะ” คนตัวสูงเปิดกล่องข้าววางไว้ข้างบะหมี่ชามโต
“อยากกินก็กิน…ท้องเสียขึ้นมาอย่ามาด่าก็แล้วกัน” เจ้าของข้าวกล่องพึมพำในลำคอ แต่นัยน์ตาสุกสกาวฉายแววตื่นเต้นที่คนพี่จะชิมผลงานที่เธอตั้งใจทำ
“ก็อร่อยนะ ใครบอกว่าทำกับข้าวไม่เป็นเนี่ย” การัณย์เอ่ยชมจากใจหลังจากได้ชิมไก่ทอดไปคำแรกเมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้าสวยหวานก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ แม้ว่าวันนี้จะเริ่มต้นกันไม่ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ถือว่าจบสวยล่ะมั้งนะ…