แหละไอ้เพื่อนตัวเหี้ยที่แม่งดันมารู้ความลับของฉัน เพราะคอนโดของพวกมันคือฉันเช่าอยู่ดันมีลายนิ้วมือของพวกมันและนั่นมันกะจะแอบมาเซอร์ไพรส์ แต่เซอร์ไพรส์กว่าที่มันเห็นฉันเล่นโทรศัพท์แล้วเป็นแอคลับ
“เหี้ย...อะไรของมึง” ฉันรีบคว่ำหน้าจอแล้วกดปิดทันทีหันไปมองไอ้ตัวเหี้ยปัณณ์ที่มาไม่ให้สุ่มให้เสียง ไอ้แฝดน้องที่เหี้ยกับทุกคน หวังว่ามันคงไม่เหี้ยกับฉันด้วยการเอาความลับของฉันไปเปิดเผยหรอกนะ
“กูเห็นไอ้สัด...รูปตอนหลับ รูปตอนเผลอ...มีรูปตอนมึงแอบหอมแก้มมันด้วย”
เหี้ยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ชีวิตอีรินจบสิ้นแล้วจนชะโงกหน้าไปมองว่าคนอื่นมาไหม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงโล่งอก
“เฮ้อ...! มึงมาคนเดียวใช่ไหม”
“มึงบอกมานะไอ้ริน มึงชอบไอ้ปั้นเหรอ...ไอ้สัดเจ้าชู้ขนาดนั้นชอบไปได้ไง”
อยากจะแหมจากแต่กรุงเทพถึงเชียงใหม่ พวกมึงสามตัวใครบ้างไม่เจ้าชู้...ดีแต่มึงมั้งไอ้ปัณณ์
“มึงจะตะโกนหาพ่องมึงหรือไง...เงียบดิ๊...ปุณณ์ไม่ได้มาใช่ไหม” ฉันรีบเอามือปิดปากมัน เพราะว่าไอ้พวกนั้นเข้าห้องโดยไม่ต้องเปิดประตูให้ทุกคน เสือกเพิ่มลายนิ้วมือกันไว้จนฉันนี่ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเลย
ตั้งแต่ขายบ้านตอนเรียนจบแล้วมาเช่าคอนโดพวกมันอยู่ ชีวิตฉันก็วนเวียนอยู่กับไอ้พวกตัวเหี้ยทั้งสามนี่แหละ
“มึงบอกกูมา...ตั้งแต่เมื่อไหร่”
แม่งเอ้ย...เหมือนกูโดนจับตอนทำผิดเลยแล้วอยู่ต่อหน้าศาลกำลังไต่สวนกูอยู่ จากนั้นแม่งไอ้ปัณณ์ก็ซักฟอกชั่วโมงกว่า ซึ่งจำนนด้วยหลักฐานเพราะแม่งขู่ว่าถ้าไม่พูดให้หมดจะบอกไอ้สองตัวนั่น
“เรื่องก็เป็นงี้แหละ...แต่มึงห้ามบอกใครนะ...รู้แล้วเหยียบเอาไว้เลย”
“ทำไมมึงไม่บอกมัน” ไอ้ปัณณ์ถาม
“มึง...กูไม่พร้อมจะเสียพวกมึงไปสักคน มึงก็รู้ว่ากูไม่มีใครนอกจากพวกมึง” ฉันบอกไป พวกมันทุกคนยิ่งกว่าเพื่อน เพราะในช่วงที่ฉันอ่อนแอตอนนั้นก็ไอ้พวกมันช่วย ทั้งหาทนายจัดการเรื่องบ้านให้ ซึ่งพวกมันไม่ให้ฉันเสียเงินสักบาท แล้วบ้านหลังนั้นยังได้ราคาที่ดีมาก ๆ เรียกได้ว่าสูงจนฉันไม่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเลยแหละ
อีกอย่างคอนโดพวกมันที่พ่อแม่ซื้อไว้เกร็งกำไรก็เสือกให้เช่าเหมือนอยู่ฟรี จะโอนค่าเช่าให้ก็บ่ายเบี่ยง
“มึงก็ข้ามเฟรนด์โซนไม่ได้อ่ะดิ”
“ใครอยากข้ามล่ะ” ฉันว่า...อยู่ในมุมนี้ก็ดีอยู่ แม้ว่าจะเจ็บนิด ๆ ก็เหมือนมดกัดนั่นแหละ หน่วง ๆ บ้างเวลาเห็นมันจูบกับผู้หญิงในผับ หรือเวลามันพาคนอื่นไปกินข้าว
แต่เดี๋ยวคงชินเองนั่นแหละ
“วันนี้มันพาเด็กมานะ”
พอได้ยินคำว่าพาเด็กมาสีหน้าฉันเริ่มเปลี่ยน จากกำลังมีความสุขอยู่เมื่อครู่ตอนนี้แม่งหน่วงเฉย ขึ้นสตอรีจอดำแม่ม
“เหี้ย...มึง ขนาดนี้แล้วยังเก็บเอาไว้อีกเหรอวะ กูว่าหนักแล้วนะไอ้ริน”
“เออ...เรื่องของกู...มึงเก็บความลับให้กูก็พอ...ให้มันตายไปกับมึงด้วย” ฉันว่าแล้วทิ้งตัวลงนอน โดยไม่รู้เลยกระโปรงทรงเอที่ใส่ไปสอบวันนี้มันสั้นมากจนไอ้เหี้ยปัณณ์เอาผ้าห่มที่อยู่บนเตียงอีกฝั่งมาปิด
“มึงนี่...กูผู้ชายนะ”
“เออ...กูรู้...แต่ถ้ามึงจะเป็นเกย์ก็บอกกูด้วย กูจะได้กอดได้หอมแก้มมึงถนัดหน่อย” ฉันว่าพลางประชดเพราะกำลังเศร้าที่คนในใจไปกับคนอื่นอีกแล้ว แต่คำพูดต่อมายิ่งขยี้อีกกะเอาให้ตาย
“มันพาน้องแก้มหอมไปที่โต๊ะด้วยนะ”
“ไอ่สัดปัณณ์ไม่ต้องย้ำเยอะ กูไม่ไปแล้วฝากบอกพวกมันด้วย แดกเหล้าที่ห้องเนี่ยแหละ เดี๋ยวกูก็เมาเหมือนหมาอีก” ฉันว่าเพราะวันนี้นอกจากความลับแตกแล้วน้ำตาของฉันอาจจะแตก
“ถ้ามึงไม่ไปพิรุธนะ”
นั่นไอ้เพื่อนตัวดี มึงกะให้กูช้ำใจตายใช่ไหม...ให้กูไปเห็นภาพบาดตาอีก
“บอกกูปวดหัวก็ได้ ไม่ต้องห่วงกูแดกเหล้าที่ห้องได้ พวกมึงเอามาทิ้งไว้ห้องกูก็ไม่ใช่น้อย มึงรีบไปเถอะ” ฉันรีบไล่มันกลับเผื่อเกิดอยากโศกขึ้นมา
ไอ้ปัณณ์หันไปพิมพ์อิลุ๊กจุ๊กจิ๊กแล้วก็หันกลับมาบอกว่า
“ไม่ทันแล้วมึง มันพากันกลับมาที่ห้องมึง ตำรวจลงผับเลยปิดเที่ยงคืน”
เชี่ย...วันห่าเหวอะไรวะเนี่ย ห้องพวกมันก็มีทำไมมาที่ห้องของฉันด้วย
“มึงก็พาไปห้องพวกมึงดิ”
“มันบอกน้องแก้มหอมเป็นผู้หญิงมีแต่ผู้ชายน่าเกลียด”
แม่งเอ้ย...นี่ชีวิตคนแอบรักเพื่อนเหรอวะ...ให้ตายเถอะ ใจฉันเต้นตุบ ๆ ไม่เป็นจังหวะแล้ว หากวัดความดันมีหวังให้นอนโรงพยาบาล
สอบปลายภาคเทอมสอง... ฉันกับไอ้ปั้นแยกกันนอนสองอาทิตย์ก่อนสอบ เพราะว่าหากนอนกับมันที่ห้องทุกวันฉันไม่ได้อ่านหนังสือ และแน่นอนมันงี่เง่า “ริน...ปั้นติวให้...นะ...นะ...นะ สองอาทิตย์ตายพอดี นอนไม่หลับเลยนะ” ปั้นกอดที่เอวฉันเอาหน้าซุกมาที่ซอกคอขณะที่นั่งอยู่คอนโดที่ฉันเช่าไอ้สองแฝด และเพิ่งรู้ว่าไอ้ปั้นมันจ่ายค่าเช่าให้ฉันมาตลอด แม้จะเกรงใจมันแต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้วก็ขอใช้สิทธิ์แฟนให้เต็มที่ก็แล้วกัน “ติวให้หรือติ้วให้เอาดี ๆ เคยได้ติวไหม” ตั้งแต่เป็นแฟนกันตั้งแต่ปีใหม่ก็ร่วมสองเดือนแล้ว แต่ว่ามันไม่มีวันไหนที่ไม่ทำกันสักวัน มีแต่ทำมากขึ้น ไม่รู้อดอยากมาจากไหน บางที่สะลึมสะลือไปเรียนเพื่อนในภาคเคมีก็แซวยับ ฉันก็หน้าแดงทุกที แล้วพวกมันก็พากันแซวเรื่องไอ้ปั้นไม่หยุด บางทีก็ฝากคิสมาร์กเอาไว้ตามหน้าอก แล้วเสื้อนักศึกษามันเปิดเห็นเนินอกนิด ๆ นอกจากเพื่อนในภาคเคมีก็ไอ้ปัณณ์ที่ทำหน้าเหม็นเบื่อฉัน เวลาเห็นสภาพหน้าเหมือนศพไปเรียน ก็จะอะไรเสียอีก ก่อนนอนก็สองรอบ ตื่นเช้าก่อนอาบน้ำก็อีกรอบ น้ำฉันออกแทบจะเป็นคนขาดน้ำ “นะ...นะ...คิดถึงเมีย”
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” “ทำไมเรียกพวกเธอว่าพ่อแม่...แต่ฉันเป็นแม่ว่าที่สามีเรียกป้ามันน่าน้อยใจนะ” “.....” ฉันหันหน้าไปมองไอ้ปั้นที่ตอนนี้ยักคิ้วให้ฉันบอกว่าให้เรียกแม่สักที จะได้เลิกบ่น “ค่ะคุณแม่” ฉันเรียกแบบเกร็ง ๆ เพราะไม่ได้สนิทกับแม่ปั้นเหมือนแม่ไอ้ปัณณ์ แล้วไอ้ปั้นก็จับฉันนั่งข้างแม่อีกต่างหาก แล้วมันไปนั่งเสียไกล ดีที่ข้าง ๆ เป็นแม่ไอ้ปัณณ์ทำให้ฉันลดความเกร็งลงหน่อย “เสียดายนะคะ...นึกว่าจะได้มาเป็นหลานสะใภ้ฉัน อุตส่าห์ให้ไปเจอเจ้าเปรมแต่รายนั้นดันมีแฟนไปเสียก่อน น่ารักแล้วก็เก่งอย่างนี้รักตายเลยค่ะ” แม่ไอ้ปัณณ์อวยสุดมาก จนฉันเริ่มเขินแล้ว ส่วนแม่ไอ้ปั้นก็สู้กลับอีก “ของอย่างนี้ใครไวใครได้ค่ะ พอดีว่าปั้นไวไฟเหมือนแม่ก็เลยได้ของดีมาครอง” ไอ้ปั้นจ้างแม่มันเท่าไหร่เนี่ย ทำไมถึงได้อวยเก่งขนาดนี้ สาบานเถอะฉันไม่ได้เก่งอะไรนอกจากปากเก่งไป วัน ๆ แถมยังด่าพวกสาว ๆ ของไอ้ปั้นกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว “เอ่อ...ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” ฉันพูดอย่างเกรงใจ แต่ไอ้ปัณณ์บิดปากคว่ำใส่ฉัน “เนี่ยแม่ให้ไปบ้านก็บ่ายเบี
วันนี้ไอ้ปั้นไม่ได้มาที่มหาวิทยาลัย แต่มันบอกว่าจะมารับตอนเย็น มีธุระกับที่บ้าน ฉันไม่อยากซักแล้วก็ไม่อยากให้มันมารับด้วย เพราะมันจะพาฉันไปที่บ้านของมันเลย สุดท้ายนั่งหน้าเครียดอยู่ใต้ตึกคณะโดยที่ไอ้สองแฝดที่เลิกเรียนแล้วหงุดหงิดที่โดนตามมาแทนที่จะกลับบ้านไปนอน “มีอะไร” ไอ้ปัณณ์ถามขึ้นทำหน้าเหมือนกีบควาย ใส่ฉัน “มึงไปส่งกูร้านเฮียอ๋าหน่อย” “ทำไม...เฮียอ๋าไม่สบายเหรอ มึงทำหน้าแย่มาก” ไอ้ปัณณ์ถามส่วนไอ้ปุณณ์รอฟังเช่นกัน เพราะเฮียอ๋าเหมือนญาติผู้ใหญ่ของฉันคนหนึ่งเหมือนกัน “เปล่า...กูแค่ไม่อยากกลับกับไอ้ปั้น วันนี้แม่มันจะให้พากูไปบ้าน” “แล้วมีอะไร...ทำไมมึงต้องหนี” “มึงไม่เข้าใจอ่ะ...เอาเป็นว่ามึงพากูไปหลบร้านเฮียอ๋าก่อน เดี๋ยวกูจะอ้างเฮียเจ็บขาเลยต้องไปช่วย” “ริน...ทำไมมึงกลัวแม่มัน” ไอ้ปุณณ์ที่เห็นท่าทางฉันแล้วคงแบบเอือมระอา ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกลัวแม่ไอ้ปั้น แต่แม่ไอ้แฝดกลับไม่กลัวไม่พอ ยังเข้าหาเก่งประหนึ่งลูกคนที่สาม “ก็กูกินลูกชายเขาแล้ว...เขาจะโอเคกูเหรอ” “เชี่ย...เพื่อนกูร้อนแรง มึงแตกคาปากป่ะ
“กูก็เหนื่อยแล้ว...มึงเลิกคุยไปทั่วได้ไหม” ฉันว่า เพราะจะเป็นแฟนกันนั่นหมายถึงว่าฉันจะไม่ยอมให้มันไปคุยกับคนอื่นไปทั่วหรอกนะ หากเป็นแบบนี้ไม่ต้องเป็นแฟนกันหรอก มันเสียเวลา และเสียใจเปล่า ๆ “กูหยุดแล้ว กูจะไม่คุยกับใครนอกจากมึง” “กูขี้หึงนะ” ฉันบอกเอาไว้ก่อน เพราะว่าถ้าตกลงคบกันนั่นหมายถึงมันต้องรับข้อเสียข้อนี้ของฉันให้ได้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะมีปัญหากันอีก “กูทั้งหึงและก็หวงด้วย อีกอย่างไม่อยากให้มึงไปนอนคอนโดไอ้ปัณณ์แล้วนะ มาอยู่ด้วยกันเถอะ” เพิ่งเป็นแฟนมันก็ชวนมาอยู่ด้วยกัน ไม่เร็วไปหรือไง “กูไม่ชินถ้าเปลี่ยนที่นอน นอนไม่หลับนะปั้น” “เดี๋ยวกูจะทำให้มึงเหนื่อยแล้วหลับเอง ไว้ใจกูได้” สีหน้าแววตา แบบนี้ก็คิดเรื่องเดียวนั่นแหละ ฉันไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอาจจะมาบ้างไม่มาบ้าง เพราะฉันชอบคอนโดไอ้สองแฝดนั้นมากกว่า “ไอ้สองคนนั้นมันเข้าห้องนั้นได้ ถ้าเกิดกำลังเอากันอยู่มันเข้ามาล่ะ” โอ้โห...เหตุผลมันเหี้ยมาก นึกว่าอะไรจะบ้าตาย “ปั้น...มึงรู้ใช่ป่ะเป็นแฟนกันไม่ใช่แค่เอากัน มันต้องทำอย่างอื่นด้วย”
“ไม่ไปห้องมึงนะ” ฉันพูดขึ้นขณะรถสปอร์ตของมันมุ่งหน้าไปคอนโด แต่เชื่อได้ว่าต่อให้ฉันห้ามยังไงมันก็ไปคอนโดมัน ที่จริงมันควรให้เวลาฉันทบทวนสักหน่อย ที่มันบอกว่าชอบมันก็ดีหรอก แต่ฉันรู้สึกแค่ว่ามันยังมีบางอย่างติดค้างในใจนิด ๆ ที่ฉันต้องขจัดออก “ห้องไหนกูก็จะนอนกับมึง กูอยากกอดมึงใจจะขาด” หึ...อยากกอดหรืออยากถอด ฉันเพิ่งรู้ก็ตอนที่โดนมันรวบหัวรวบหางกินไปตลอดตัวนี่เองว่า มันเป็นคนหื่น ก่อนหน้านั้นมันไม่ได้แสดงด้านนี้ออกมาให้เพื่อนอย่างพวกฉันเห็น มีแค่ไอ้ปุณณ์ดูชัดเจนที่สุดก็เท่านั้น แต่นั่นมันก็เป็นแค่ไอ้ปุณณ์ ส่วนไอ้ปั้นแบดบอยสเปกสาว ๆ เลย หล่อเลือกได้ ถ้าให้ก็กินหมด แต่ได้ไปอยู่ห้องมันแค่เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง สาบานว่าฉันเสียวท้องตลอดเวลา มันพร้อมมากสำหรับจับฉันกิน ซึ่งฉันเริ่มกลัวมันนิด ๆ แล้วสิ “คืนนี้ไปห้องกูนะ...ริน...นะ” “มึงอ้อน?” ฉันหันหน้ากลับไปมองมันอย่างแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันอ้อน เพราะปกติเป็นฉันที่อ้อนมันเป็นส่วนใหญ่ “ก็อ้อนเมีย...ครับ” “....” ฉันใบหน้าเริ่มเห่อร้อนนิด ๆ คำว่าเมียมันข้ามแฟนไปอีกอ่
“ถ้าเป็นแฟนพี่เขากูไม่รู้หรอก แต่ถ้าเป็นแฟนกูไม่ต้องทำอะไรกูทำให้ทุกอย่าง” ผมพูดจบแล้วทุกคนก็หันหน้ามองผมอึ้ง ๆ แต่ใครจะสนล่ะ ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว จะเอาเมียกลับไปกอดข้ามปี แล้วก็จะกอดไปอย่างนี้ทุกวันนั่นแหละ ไม่สนแล้วโว้ยไอ้ความรู้สึกรักหรือไม่รักอะไร รู้แต่ตอนนี้ขาดไม่ได้ “ปั้นนน...” ไอ้รินเรียกผมเสียงสั้นเล็ก ๆ เหมือนมันจะมองผมแบบไม่เชื่อสายตา “อะไรของมึงไอ้ปั้น” ปัณณ์ถาม “จะอะไรของกูอีกล่ะ...ก็ไอ้รินเนี่ยของกู พวกมึงเลิกเอามันใส่พานให้ใครได้แล้ว” ไอ้ปัณณ์ทำหน้าหมาสงสัย จนอยากจะถีบ ทีอย่างนี้โง่ขึ้นมาเลย “อะไรของมึง มันเป็นของมึงได้ยังไง” ผมเห็นหน้าไอ้รินซีดเผือด แต่ว่าผมไม่สนใจแล้วยื่นมือมาจับมันให้ลุกขึ้น “เป็นของกูได้ยังไงเหรอ...ต้องให้กูอธิบายไหม” ผมหันไปถามคนข้าง ๆ แต่มันส่ายหน้าไปมา ส่วนผมยิ้มร้ายไม่สนใจมันหรอก “ก็กูได้กับมันแล้ว ทีนี้เป็นของกูได้ยัง” “ไอ้ปั้น....” คนที่ผมจับข้อมืออยู่ตะโกนเสียงสั่น มองหน้าเพื่อนที่ตกอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ใครจะสน เมียกำลังจะโดนผู้ชายงาบไป ผม