ทั้งสองพี่น้องอยู่สนทนากันสักพัก กูกูใหญ่ของวังก็มารายงานว่าลู่อ๋องนั้นกลับจากวังหลวงแล้ว เฟิ่งอี้จึงจำเป็นต้องลากลับก่อนตามมารยาท ส่วนเฟิ่งหรั่นก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะภรรยา จัดหาของว่างและอาหารตระเตรียมให้ผู้เป็นพระสวามีของนาง
แต่ทว่าแทนที่เฟิ่งอี้จะรีบกลับ นางกลับเลือกที่จะเดินชมนกชมไม้ในสวนของวังอ๋องอย่างถือวิสาสะ ด้วยถือว่าพี่สาวนั้นมีศักดิ์เปนพระชายาเอกของลู่อ๋อง นางย่อมทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครมาห้ามปรามนางแน่ นางจึงเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ
ลู่อ๋องที่เดินทางกลับมาถึงวัง เห็นน้องสาวของชายาตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานจึงเข้าไปทักทายในฐานะพี่เขยของนาง
“อ๊ะ!” เฟิ่งอี้ที่ไม่ทันระวัง นางเดินถอยหลังชนเข้ากับแผงอกของลู่อ๋องจนเกือบเซล้มลง แต่โชคดีนักที่ลู่อ๋องคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมาสบตากันเพียงชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเฟิ่งอี้เต้นแรงไม่เป็นส่ำยามได้สบสายตาคมปลาบของลู่อ๋องหรืออ๋องเก้า
“อะ เอ่อ...” ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เฟิ่งอี้ตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ พอดีมาเยี่ยมพี่สาว แต่
ว่าเห็นอุทยานที่นี่ร่มรื่นนัก เลยมาเดินชมเพคะ”
ลู่อ๋องยิ้มกับความเก้อเขินของนาง เขาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้อีกฝ่ายอย่างจงใจ “เอาเถิด ที่นี่ก็เหมือนบ้านเจ้า เจ้าเป็นน้องสาวของชายาข้า ข้าไม่ว่าอันใดเจ้าหรอก”
เฟิ่งอี้เกลี่ยผมทัดใบหูด้านหลังด้วยความขวยเขิน นางหลบสายตาซ่อนรอยยิ้มความพึงพอใจเอาไว้ ก่อนจะย่อกายคำนับแล้วลากลับไป ลู่อ๋องหันหลังมามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแฝงประกายบางอย่าง แล้วเดินไปหาเฟิ่งหรั่นชายารักที่ตำหนักของนาง
นานร่วมเก้าเดือนที่ลู่เฟยหลงประทับอยู่ที่จงโจว เขายึดเมืองจงโจวเป็นที่ตั้งฐานของกองทัพตนเองในฐานะผู้ชนะสงคราม ซึ่งฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาก็มิได้ว่ากล่าวอันใด เนื่องจากเข้าพระทัยดีถึงความรู้สึกของพระอนุชาในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ให้เขาอยู่แดนไกลดีกว่าต้องกลับมาเห็นภาพที่เจ็บปวดยามลู่อ๋องพาเฟิ่งหรั่นมาเข้าเฝ้า
เสียงทหารฝึกดาบกันในค่ายดังขึ้นเป็นระยะอย่างแข็งขัน หัวหน้าครูฝึกของกองทัพแต่ละหน่วยต่างคุมเข้มฝึกทหารอย่างจริงจัง ลู่เฟยหลงเดินออกมาชมการฝึกด้วยตนเอง ทุกคนเมื่อเห็นองค์รัชทายาทเสด็จมาก็รีบหยุดการซ้อมแล้วถวายความเคารพทันที
“องค์รัชทายาท...” หัวหน้าครูฝึกเดินเข้ามาเอ่ยด้วยวาจาพินอบพิเทา เขาเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเห็นแววตาดุดันและท่าทีทรงอำนาจของอีกฝ่าย โบราณเขาว่าเอาไว้ก้นเสือนั้นลูบเล่นไม่ได้7 เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง เพราะแววตาและท่าทีทรงอำนาจทำให้เขาดูน่าเกรงขามไม่น้อย แม้แต่เหล่าทหารก็รู้สึกเช่นนั้น
“การฝึกทหารใหม่วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามหัวหน้าครูฝึกเสียงเข้ม แววตาคมปลาบทอดมองไปยังเหล่าบรรดาทหารที่กำลังฝึกปรืออาวุธยืนตรงต่อหน้าเขา บางส่วนล้วนเป็นทหารเก่าและบางส่วนก็คือทหารใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มงวด ดังนั้นวันนี้เพื่อระบายความรู้สึกมากมายในใจตลอดเก้าเดือน เขาควรได้ประลองอาวุธเพื่อระบายทุกสิ่งในใจออกมา
หัวหน้าครูฝึกเอ่ย “เป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาใดพะยะค่ะ”
ลู่เฟยหลงยกยิ้ม “อืม งั้นก็ดี วันนี้ข้าต้องการทดสอบทหารใหม่ในสังกัดของเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ขัด จัดหาทหารในกลุ่มนี้ที่ฝีมือดีที่สุดมาประลองกับข้า”
หัวหน้าครูฝึกลอบกลืนน้ำลายลงคอ ทั่วทั้งแผ่นดินจงหยวนนี้ล้วนทราบกันดี กิตติศัพท์ขององค์รัชทายาทเป็นดั่งเทพสงครามไป๋หู่แห่งทิศตะวันตกของกองทัพสวรรค์ ทหารแต่ละคนสีหน้าเลิ่กลั่กด้วยเพราะรู้ซึ้งในกิตติศัพท์ของลู่เฟยหลงว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งยากจะล้มยิ่ง หากผู้ใดได้ประมือกับเขามิแคล้วต้องมีสภาพบาดเจ็บที่น่ากลัว แต่หากคิดในทางกลับกันก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้ประลองฝีมือกับยอดนักรบแห่งแคว้นเหลียว
หัวหน้าครูฝึกต่างเห็นใจบรรดาทหารเก่าและใหม่ของตนเอง มีแต่ทหารรุ่นก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เคยมีโอกาสประมือกับลู่เฟยหลงมาแล้ว แต่ทหารที่อยู่ตรงหน้านี้พวกเขาล้วนไม่เคยทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ประสบการณ์การใช้อาวุธยังไม่เยอะเท่าที่ควร
“ในกองทัพของเจ้า ไม่มีทหารที่มีความสามารถเลยรึ?” ลู่เฟยหลง
ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง สายตาคมมองครูฝึกอย่างตำหนิ
หัวหน้าครูฝึกหลุบตาต่ำลงอย่างอับอาย
“ถ้าหากไม่เป็นการบังอาจ กระหม่อมจะขอท้าประลองกับพระองค์เองพะยะค่ะ” เสียงของนายทหารกล้าผู้หนึ่งดังขึ้น เขากล่าวอย่างมั่นใจ ท่าทางองอาจ รูปร่างสูงสง่าดังเช่นองค์รัชทายาทในตอนนี้
ลู่เฟยหลงมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา แล้วถาม “เจ้ามีนามว่ากระไร”
ทหารผู้นั้นค้อมศีรษะกล่าว “กระหม่อมมีนามว่าจูเชว่พะยะค่ะ”
ลู่เฟยหลงยกยิ้มอย่างพึงพอใจ อย่างน้อยชายผู้นี้ก็คงเป็นคู่ประลองที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาที่สุด
“จูเชว่ เป็นทหารที่ฝีมือดีที่สุดในบรรดาทหารกลุ่มนี้พะยะค่ะ ขอพระองค์ทรงปราณีเขาด้วยเถิด อย่างไรเสีย...” ยังไม่ทันที่หัวหน้าครูฝึกจะกล่าวจบ ลู่เฟยหลงกล่าวตัดบทขึ้นมาน้ำเสียงเด็ดขาด
“ไม่ต้องกล่าวอันใดให้มากความ ในเมื่อเขาอาสาประลองกับข้าเอง ก็ไม่ต้องคิดยั้งมือ ทหารในสังกัดกองทัพของข้าทุกคนล้วนอ่อนแอไม่ได้ หากอ่อนแอต้องอ่อนนอกแต่แข็งใน ไม่มีทางปราณีต่อศัตรูเด็ดขาด” คำกล่าวอันเด็ดขาดของลู่เฟยหลงทำให้จูเชว่ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ให้เจ้าเลือกอาวุธที่เจ้าถนัดมือมาที่สุด ส่วนข้า...จะใช้ทวนนี้สู้กับเจ้า” ลู่เฟยหลงหยิบทวนที่ตั้งตรงอยู่บนที่วางอาวุธ ก่อนจะถอดเสื้อเกราะสีเงินออก เผยให้เห็นแผงอกกำยำสมส่วน ไหล่หนาผึ่งผายที่บ่งบอกว่าผ่านการออกกำลังกายมากมากเพียงใด กล้ามท้องที่เรียงเป็นลอนสวยงามและรอยบาดแผลบางอย่างจากแผ่นหลังทำให้เหล่าทหารต้องหลบสายตาหนี
จูเชว่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ราวกับว่าสายตาและท่าทีของลู่เฟยหลง
นั้นไม่มีผลต่อเขาเลยสักนิด ก่อนจะหยิบทวนของตนเองขึ้นมาบ้าง
การประลองอาวุธเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียโห่ร้องกองเชียร์จากเหล่าทหารที่แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ทั้งลู่เฟยหลงและจูเชว่นั้นต่างมีฝีมือกันทั้งคู่ ลู่เฟยหลงที่เป็นถึงองค์รัชทายาทนั้นดูจะมีชั้นเชิงในการต่อสู้มากกว่าจูเชว่ระดับหนึ่ง แต่ทว่าจูเชว่นั้นก็ต่อสู้สวนกลับอย่างรุนแรงเช่นกัน เขาที่เป็นหัวหน้าครูฝึก แม้จะประมือประลองอาวุธกับองค์รัชทายาทบ่อยครั้งก็อดตะลึงในความสามารถของจูเชว่ไม่ได้
สายตาของลู่เฟยหลงสบประสานกับจูเชว่โดยบังเอิญ มีอยู่ครู่หนึ่งที่เขาสังเกตเห็นภาพบางอย่างสะท้อนในดวงตาของอีกฝ่าย เป็นเหมือนภาพของพยัคฆ์ขาวตัวหนึ่งกับหงส์เพลิงในสถานที่ที่มีสภาวะงดงามเป็นดินแดนทิพย์ เหมือนกับเสือตัวนั้นคือเขาเอง!
จูเชว่ยกยิ้มอย่างพึงพอใจที่ทำให้ลู่เฟยหลงมองเห็นภาพสะท้อนในอดีต ก่อนจะเร่งฟาดฟันอาวุธใส่ไม่ยั้ง แต่ลู่เฟยหลงนั้นได้สติทันแล้วตั้งรับจูเชว่ได้ทุกกระบวนท่า กระบวนท่าที่หฤโหดเพียงนี้แม้เขาจะเคยเจอมานับไม่ถ้วน แต่ในหมู่ทหารหน้าใหม่เหล่านี้ล้วนไม่เคยเจอ จูเชว่ผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ประลองกันไปได้สักพักก็เป็นจูเชว่ที่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ อาวุธของเขาถูกองค์รัชทายาทใช้ขาเตะปัดกระเด็นหลุดมือไปไกล ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายใช้ปลายของทวนจ่อที่ลำคอ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างมีท่าทีเหนื่อยหอบยิ่ง จูเชว่นับว่าเป็นทหารรุ่นใหม่ที่มีฝีมือร้ายกาจมากทีเดียว คนแบบนี้เหมาะสมนักหากจะได้อยู่ในแถวหน้าของกองทัพหากได้ฝึกปรือเพิ่มอีกสักนิด
หัวหน้าครูฝึกรีบเดินเข้ามาทันที เขาคิดว่าตนเองคงโดนตำหนิเป็นแน่ แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“มีทหารที่เก่งกาจเพียงนี้ ตั้งใจฝึกให้ดี แม้แต่พวกเขาทุกคนในนี้เช่นกัน วันนี้ไม่เก่งแต่วันข้างหน้าจะกลายเป็นนักรบที่เกรียงไกรอย่างแน่นอน...” ลู่เฟยหลงรับเสื้อคลุมจากรองแม่ทัพองครักษ์ซ่งมาสวมใส่ ก่อนจะส่งมอบทวนให้อีกฝ่ายนำไปเก็บไว้ที่กระโจมของตนเอง
“กระหม่อมนั้นยังอ่อนด้อยประสบการณ์อยู่มาก ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วย” จูเชว่คุกเข่าประสานมืออย่างแข็งขัน เขาก้มหน้าลงด้วยไม่กล้าสบตากับองค์รัชทายาท
“เจ้าลุกขึ้นมาเถิด กองทัพมีทหารที่มีฝีมือเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีนัก หากได้มีโอกาสกลับเมืองหลวงอีก ข้าจะทูลขอฝ่าบาทให้เจ้าเป็นหนึ่งในแม่ทัพองครักษ์” ลู่เฟยหลงเอ่ยอย่างใจกว้าง วันนี้เขาได้ประมือกับจูเชว่แล้วรู้สึกดียิ่งนัก เหมือนกับได้ปลดปล่อยอารมณ์และความเครียดที่สั่งสมในกายมานานนับเกือบปีในวันนี้ ก่อนจะเดินกลับกระโจมใหญ่ของตนเองไป
จูเชว่มองตามหลังลู่เฟยหลงด้วยสายตายากจะอธิบายความรู้สึก
บัดนี้ภายในกระโจมหลังใหญ่ของลู่เฟยหลง หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่น
อาหารเลิศรสที่เหล่านางครัวจัดมาถวายเป็นสำรับมื้อกลางวัน ชายหนุ่มมองอาหารที่แม้จะหน้าตาน่ารับประทานเพียงใด แต่ความหอมอร่อยของมันก็ไม่
อาจบรรเทาทุกข์ในใจของเขาได้
ซ่งหลานหรือรองแม่ทัพองครักษ์ซ่ง ซึ่งถือเป็นพระสหายที่สนิทที่สุดตั้งแต่วัยเยาว์เอ่ยขึ้นมา “หากพระองค์ทรงคิดถึงพระชายาเฟิ่งหรั่น เห็นทีควรเสด็จกลับเมืองหลวงนะพะยะค่ะ ทรงไม่ค่อยเสวยพระกระยาหารเช่นนี้
หากประชวรขึ้นมา เหล่าทหารอาจเสียขวัญ”
ลู่เฟยหลงมองซ่งหลานด้วยแววตาดุดัน “เดี๋ยวนี้เจ้าอ่านความคิดข้าออกตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ซ่งหลานคุกเข่าประสานมือน้อมขออภัย “ขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ แต่กระหม่อมในฐานะบ่าวก็ไม่อาจเห็นพระองค์เป็นกังวลเช่นนี้ได้ ยิ่งนับวันมีข่าวลือหนาหูนักว่าอ๋องเก้าดึงอำนาจสกุลเฟิ่งเข้ามาในมือ เพื่อคิดการใหญ่บางอย่าง กระหม่อม...”
ซ่งหลานหยุดกล่าวเมื่อได้ยินเสียงดาบวางกระทบกับโต๊ะดังเคร้ง
“แม้เจ้าจะสงสัยอ๋องเก้า แต่ก็ไม่ควรตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเขา อย่างไรเขาก็รับใช้เสด็จพี่มาดีตลอด เขาแต่งงานกับเฟิ่งหรั่นก็ไม่แปลกหากจะดึงอำนาจสกุลเฟิ่งเข้าไปได้” ลู่เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น เขาลุกขึ้นเดินออกมานอกกระโจมที่พัก ซ่งหลานเห็นดังนั้นแล้วจึงลุกเดินตามไปด้วย ภายในใจรู้สึกเป็นห่วงนายของตนเองไม่น้อยเลย
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้ว พระองค์จะให้กระหม่อมเตรียมจัดกองทัพเสด็จหรือไม่พะยะค่ะ” ซ่งหลานเอ่ยถาม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสด็จพี่ ข้าไม่ร่วมงานก็คงไม่ได้ เจ้าไม่ต้อง
จัดเตรียมกองทัพ เตรียมทหารม้าฝีมือดีเอาไว้สักสามร้อยคน ส่วนที่เหลือให้ประจำอยู่ที่นี่ อีกเจ็ดวันค่อยเดินทางกลับมา...” ชายหนุ่มเอ่ยรวดเดียวเสร็จสรรพก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
ซ่งหลานมองตามหลังแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
งานวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ลู่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันเฟิ่งหรั่น
ถูกเซียวฮองเฮาเรียกเข้าพบในวังหลวง เพื่อหวังจะให้ช่วยกันจัดงานครบรอบวันพระราชสมภพครานี้ หญิงสาวช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานอย่างขะมักขะเม้น เรื่องอาหารคาวหวานนางก็ช่วยจัดการดูแลมิได้ขาด เหมือนประหนึ่งที่นางเคยรับใช้อ๋องเก้าผู้เป็นพระสวามี
มีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่งที่เฟิ่งหรั่นมานั่งพักคลายความเหนื่อยในเขตพระราชฐานฝ่ายใน เซียวฮองเฮาสบโอกาสจึงถามบางอย่างกับนาง
“เจ้ากับอ๋องเก้าสบายดีหรือไม่?” เซียวฮองเฮาถามอย่างไม่สบายพระทัยระคนเป็นห่วง พระนางได้ยินกิตติศัพท์ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับอ๋องเก้ามาเยอะนัก อีกฝ่ายติดพันสตรีมากมาย ได้ยินว่ารอบกายมีสตรีไม่ห่างกาย อีกทั้งยังมีหญิงคณิกาตามหอคณิกาใหญ่ๆ อีกมากมายคอยปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง
“หม่อมฉันกับท่านอ๋องสบายดีเพคะ ก่อนจะมาที่นี่พระองค์ก็เปรยๆ เอาไว้ว่าหากไม่ติดพันราชกิจจนยุ่ง ก็อยากมาช่วยเป็นเรี่ยวแรงจัดงานนี้เพคะ” เฟิ่งหรั่นเอ่ยขึ้นมา เมื่อวันก่อนที่เซียวฮองเฮาต้องการให้นางเข้าเฝ้า นางกับลู่อ๋องผู้เป็นสามีก็คาดเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องวันพระราชสมภพที่กำลังจะมาถึงเป็นแน่ นางจึงได้ตอบรับมาช่วยฮองเฮาอีกแรง ส่วนอ๋องเก้าผู้เป็นสามีนั้นได้ปฏิเสธไป เนื่องด้วยติดพันต้องช่วยฮ่องเต้สะสางราชกิจสำคัญก่อน
วันงานจะมาถึง นางจึงต้องเดินทางมาที่วังหลวงเพียงคนเดียวพร้อมบ่าวรับใช้อีกไม่กี่คนเท่านั้น
แต่ทว่านางกลับรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง นับตั้งแต่นางแต่งงานเข้าวังอ๋อง บ่าวไพร่ที่เคารพนางกลับมีท่าทีที่แฝงไปด้วยความหยิ่งยโสโอหัง นางก็พอสืบรู้มาบ้างว่าลู่อ๋องนั้นมีอนุในจวนอยู่ไม่น้อย แต่ไม่คิดว่าพวกนางเหล่านั้นจะกระทำการเหิมเกริมออกนอกหน้าเช่นนี้กับนางที่เป็นนายหญิง
ของวัง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางต้องการปักอาภรณ์ นางกำนัลแรกรุ่นที่คอยตามรับใช้นางกลับนำเพียงอาภรณ์ลวดลายธรรมดา เปื้อนฝุ่นมาให้นาง อีกทั้งสำรับอาหารที่ยกตั้งถวายนางนั้น ดูก็รู้แล้วว่าเป็นอาหารเก่าที่ค้างคืน แต่ทว่าด้วยความที่ครอบครัวอบรมมาดีจึงทำให้นางไม่อยากมีเรื่องกับใคร และอยากนั่งในใจคนด้วยความเมตตามากกว่าการใช้อำนาจกดขี่ นางจึงแสร้งปิดตาหนึ่งข้างเพื่อรักษาดวงตาอีกข้างหนึ่งเอาไว้
แต่ทว่ายิ่งนางนิ่งเงียบก็เหมือนยิ่งให้พวกนางเหล่านั้นกระทำการเหิมเกริม ไม่เกรงใจนางมากขึ้น
อันที่จริงเซียวฮองเฮาทรงมีหูตากว้างไกลพอสมควร เรื่องในวังหน้าพระนางก็พอรู้มาบ้าง แม้แต่เรื่องในวังอ๋องเก้านางก็พอรู้ บ่าวไพร่พวกนั้นกระทำตนเหิมเกริมไม่เกรงใจเฟิ่งหรั่น แต่นางกลับไม่ได้มีท่าทีตอบโต้แต่อย่างใด
“แต่วันนี้ฝ่าบาททรงไม่ได้มีราชกิจอันใดต้องสะสางนะ ราชกิจทั้งหลายล้วนยกให้รุ่ยกงกงจัดการทั้งหมด ทรงไม่ได้มีบัญชาเรียกอ๋องเก้ามาเลยสักนิด” เซียวฮองเฮาขมวดคิ้ว พระนางเองก็เป็นผู้ช่วยแบ่งเบาราชกิจของฝ่าบาท ยิ่งเพลานี้อ๋องเก้ากระทำการเหิมเกริมทุกวันหลังแต่งงานกับเฟิ่งหรั่น พระองค์ก็แทบไม่มีราชกิจใดให้ลู่อ๋องช่วยอีก ส่วนมากจะยกให้รุ่ยกงกงช่วยตัดสินใจในบางเรื่องเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“มีบางวันที่ท่านอ๋องทรงบอกว่าเจ็ดราตรีที่ไม่ได้กลับจวน ก็เพราะนอนค้างในวังหลวง ฝ่าบาทมิใช่เรียกท่านอ๋องมาช่วยสะสางราชกิจหรือเพคะ” เฟิ่งหรั่นเริ่มประหวั่นพรั่นพรึงในใจ หากลู่อ๋องไม่ได้มาช่วยราชกิจดังที่เคยกล่าวกับนางเอาไว้ แล้วเขาไปที่ใดกัน?!
แต่ช่างเถิด หากมาสงสัยตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด ลู่อ๋องรักนางมาก เขาต้องไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางแน่นอน นางมั่นใจ
______________________________
7ก้นเสือลูบเล่นไม่ได้ เป็นสำนวนจีนหมายถึงว่า มีความน่าเกรงขามมาก ล้อเล่นไม่ได้
กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง
ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว
คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n
อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo
นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ
เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ