ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของต้นหนาวเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่เดือนต่อมา เธอได้เรียนคณะบัญชีเพื่อที่จะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของวสันต์
แต่เธอกลับมีสิ่งหนึ่งที่คาใจอยู่ ‘คินน์’ เขาหายหน้าไปจากชีวิตของเธอราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ ทุกคนก็ไม่เคยพูดถึงเขาต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง
“ต้นหนาว ขอลอกชีทของอาจารย์สิริพรรณหน่อยสิ”
“ทำไมนายไม่ทำเอง มาลอกฉันอยู่ได้”
“ก็มันยาก” กล้าหาญทำหน้าหงอยเมื่อโดนต่อว่า
ต้นหนาวที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำกับเพื่อน จึงยอมยกชีทของตัวเองให้เพื่อนอย่างกล้าหาญลอกอย่างง่ายดาย
แก๊งของต้นหนาวประกอบได้ด้วยสมาชิกทั้งหมดสี่คน คือ เธอ กล้าหาญ มะเหมี่ยว และสาริน ซึ่งทุกคนก็ล้วนแล้วแต่มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีถึงดีมาก ระดับมหาเศรษฐีเลยก็ว่าได้ เพราะมหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงมากที่สุด
ในตอนแรกเริ่มเธอรู้จักแค่เพียงมะเหมี่ยว แต่หลังจากนั้นก็มีสารินกับกล้าหาญเข้ามาอยู่ด้วยเพราะต้องทำงานกลุ่มด้วยกัน แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันมาจนถึงตอนนี้
“หนาว เย็นนี้ไปกินชาบูกันไหม” มะเหมี่ยวที่รักการกินเป็นที่สุดไม่ลืมที่จะเอ่ยชวนต้นหนาว
“ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับบ้านมากกว่า”
“ตามใจนะ พรุ่งนี้เจอกัน บาย~”
เธอโบกมือลากับเพื่อนๆ ตรงหน้ามหาลัย ก่อนที่ลุงมิ่งคนขับรถของที่บ้านจะออกมารับเธอที่มหาวิทยาลัยเหมือนอย่างเช่นทุกวัน
เพียงไม่นานเธอก็กลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี จู่ๆ ก็ปวดหัวเวียนหัวตั้งแต่เรียนภาคเช้าคล้ายจะไม่สบาย แต่ก็ทนเก็บอาการไม่ให้ใครรู้จนกลับมาถึงบ้าน
“ต้นหนาว พี่ซื้อขนมมาฝาก” ควีนกลับมาบ้านเกือบทุกวันเพราะกลัวว่าต้นหนาวจะเหงาเมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียว คนอื่นๆ ต่างก็มีภาระหน้าที่จึงไม่ค่อยได้อยู่ติดบ้านกันสักเท่าไร
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่สบายเหรอ หน้าดูซีดๆ นะ” ควีนสังเกตเห็นได้ทันที
“นิดหน่อยค่ะ มึนหัวตั้งแต่เช้าแล้ว”
“ถ้างั้นก็กินยาแล้วรีบไปพักผ่อนเถอะ”
“ค่ะ” ต้นหนาวรีบวิ่งไปขึ้นบันไดหวังจะกลับไปพักผ่อนบนห้อง อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะพ้นบันได แต่ขาของเธอดันอ่อนแรงลงกะทันหัน ร่างกายของเธอกำลังเอนไปข้างหลัง
มือที่อยู่ห่างจากราวบันไดเพียงแค่คืบเดียวแต่ก็ไม่อาจคว้าอะไรไว้ได้ ตามมาด้วยเสียงร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจของแม่บ้านที่กำลังลงมาจากชั้นสอง
“ว้ายยยยย คุณต้นหนาว...” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบลงไปพร้อมความรู้สึกชาที่ศีรษะ
“ต้นหนาว!” ควีนที่กำลังเตรียมจะกลับไปทำงานต่อ ก็ต้องวิ่งกลับเข้ามาในบ้านเมื่อได้ยินเสียงแม่บ้านร้องขึ้น
“คุณควีนคะ คุณต้นหนาวตกบันไดค่ะ”
“ช่วยควีนพาต้นหนาวขึ้นรถหน่อยค่ะ” ควีนตรวจประเมินอาการคร่าวๆ ก่อนจะขอให้แม่บ้านช่วยพาร่างของเด็กสาวที่นอนจมกองเลือดขึ้นรถยนต์
หญิงสาวถูกนำตัวส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลภายในสิบห้านาที โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่หัวแตกเท่านั้น แต่ก็ต้องรอดูอาการในโรงพยาบาลอีกหลายวัน เผื่อว่ามีอาการแทรกซ้อนร่วมด้วย
“ช่วยย้ายคนไข้ไปไว้ที่ห้อง VIP ด้วยนะคะ”
โรงพยาบาลที่ควีนทำงานอยู่ปัจจุบัน เป็นโรงพยาบาลของคุณตาที่ยกให้กับเธอก่อนที่จะเสีย ปัจจุบันเธอจึงเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้ ซึ่งชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลก็จะเป็นห้องวีไอพีสำหรับคนในครอบครัว
“โทรบอกพี่คินน์ดีไหมนะ” จู่ๆ ควีนก็นึกอยากแกล้งพี่ชายให้ปั่นป่วนใจ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคินน์ทันที
“พี่คินน์คะ”
(ว่าไงยัยน้องสาวตัวแสบ)
“ตอนนี้ต้นหนาวอยู่โรงพยาบาลค่ะ”
(ไปทำอะไร) เสียงของคนปลายสายเหมือนจะตกใจเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามนิ่งเฉยไม่แสดงอาการออกมา
“พอดีว่าต้นหนาวพักผ่อนน้อยทำให้หน้ามืด วูบตdบันไดจนหัวฟาดพื้นค่ะ”
(...)
“ตอนนี้นอนอยู่ห้องวีไอพี แต่ว่าพี่คินน์ไม่ต้องมานะคะ เดี๋ยวจะโดนพ่อดุ”
(คิดจะโทรมาแกล้งพี่เหรอ)
“เปล่าค่ะ แค่ไม่อยากข้ามหน้าข้ามตา เลยโทรมาบอกให้พี่รู้สักหน่อย”
(อืมๆ แค่นี้นะ)
ควีนรู้สึกเหมือนโดนขัดใจเล็กน้อย เมื่อน้ำเสียงของคินน์เรียบนิ่งราวกับไม่ได้เป็นห่วงต้นหนาวเลยสักนิด ดูเหมือนแผนปั่นคินน์จะไม่ได้ผลซะแล้วสิ
“คุณหมอควีนคะ มีคนมารอพบค่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวควีนจะรีบไปค่ะ” พยาบาลสาวรีบเดินนำหน้าควีนไปยังห้องรับรองแขกที่มีใครคนหนึ่งกำลังรออยู่
ผ่านไปนานกว่าห้าชั่วโมง ต้นหนาวที่นอนอยู่บนเตียงจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บที่ศีรษะด้านหลัง
กลิ่นของห้อง ลักษณะของเตียง และสายน้ำเกลือที่อยู่ข้างเตียง ทำให้เธอพอจะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เมื่อนึกย้อนกลับไปก็พอจะจำได้คร่าวๆ ว่าตัวเองรู้สึกเหมือนจะเป็นลมและหงายหลังตกลงมาจากบันได
ถือว่าโชคดีที่แค่หัวแตกไม่ได้แขนขาหักเพิ่มเติม คิดแล้วก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่ยอมนอนพักทั้งที่รู้ตัวดีว่าร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว
“เป็นยังไงบ้าง”
“คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ?” จู่ๆ คินน์ก็พุ่งออกมาจากระเบียงพร้อมกับเอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ถ้ายังอยากเจอหน้าฉันอยู่ ก็อย่าบอกใครว่าฉันมาที่นี่”
“เอ่อ... ค่ะ” ต้นหนาวพยักหน้าหงึกๆ ตอบเขา
“ฉันแค่แวะมาดูเธอ”
“คุณพ่อคุณแม่สั่งห้ามไม่ให้คุณมาเจอหนาวเหรอคะ”
“อืม จนกว่าเธอจะเรียนจบ”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย คุณไม่ได้คิดอะไรกับหนาวสักหน่อย” คำพูดไร้เดียงสาของต้นหนาวทำให้คินน์เงียบลงไม่ตอบอะไร เพราะเขารู้ใจตัวเองดี
ขณะที่ต้นหนาวกลับคิดไปอีกทางว่าอาจจะเป็นเพราะเธอเป็นเพียงเด็กที่รับอุปการะเอาไว้ บางทีการใกล้ชิดกับคินน์คงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ หรือเรียกว่า ไม่เหมาะสม
“แล้วคุณไม่กลัวพี่ควีนมาเจอเข้าเหรอคะ”
“เดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว”
“ถ้างั้นก็รีบกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่ควีนมาเจอจะเป็นเรื่องเอา” ต้นหนาวไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถึงขนาดที่วสันต์กับอรดาเอ่ยปากสั่งห้าม ก็แสดงว่าต้องเด็ดขาดมากๆ
“อืม ห้ามให้ใครรู้หรือหลุดปากเด็ดขาด”
“ค่ะ หนาวจะเก็บความลับไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ” เธอทำท่ารูดซิปปิดปากอย่างติดตลก ก่อนจะมองร่างสูงที่รีบออกไปจากห้องอย่างระมัดระวัง
“อ้าว ฟื้นแล้วเหรอหนาว” ควีนที่เพิ่งจะลงเวรจึงแวะมาดูต้นหนาวพลางสอดสายตามองหาว่ามีใครแอบเข้ามาหรือเปล่า
“ค่ะ”
“รู้สึกเจ็บตรงไหนอีกไหม แล้วมีใครเข้ามาหาหรือเปล่า” คำถามที่ถามของควีนทำให้ต้นหนาวเลิ่กลั่กเล็กน้อย แต่ก็พยายามทำตัวไม่ให้ดูมีพิรุธ
“เจ็บที่ข้อมือนิดหน่อยค่ะ หนาวก็เพิ่งตื่น ยังไม่เห็นมีใครเข้ามานะคะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวพี่จะบอกหมอที่ดูแลให้นะ หนาวน่าจะต้องแอดมิทที่โรงพยาบาลอีกสักสองสามวันถึงจะออกได้”
“แล้วมหาลัยล่ะคะ” ต้นหนาวห่วงเรื่องเรียนของตัวเองมากที่สุด เพราะกลัวว่าจะเรียนตามเพื่อนไม่ทัน ต่อให้ตัวเองจะเก่งขนาดไหนก็เถอะ
“พี่โทรคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาให้แล้ว หลังออกจากโรงพยาบาลเอาใบรับรองแพทย์ไปยืนยันกับอาจารย์แต่ละวิชาก็พอ”
“ค่ะ” ควีนมองดูเด็กสาวที่หน้างอง้ำเมื่อได้ยินว่าต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกสองสามวัน ก่อนจะยกมือขึ้นยีผมของเธอเบาๆ
“เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะมาเยี่ยมนะ”
“กลับมากันแล้วเหรอคะ” ต้นหนาวเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้กำหนดกลับคือเดือนหน้า
“อืม พอได้ยินว่าหนาวตกบันไดก็รีบกลับมากันเลย”
“แบบนี้หนาวก็ทำให้ทุกคนเสียการเสียงานน่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย รีบกลับมาหาเพราะทุกคนเป็นห่วงหนาวต่างหาก” หากเป็นเรื่องของคนในครอบครัว แบบนี้ไม่เรียกว่าเสียการเสียงาน
ควีนมองดูต้นหนาวด้วยความเอ็นดู เพราะเด็กสาวมักจะเป็นห่วงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ จนบางครั้งก็เป็นผลเสียกับตัวเอง
“แล้วจะมาถึงเมื่อไหร่คะ”
“อีกสักพักใหญ่ๆ ก็น่าจะถึงแล้วนะ ถ้าง่วงก็นอนพักผ่อนก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอหรอก”
“ได้ยังไงคะ หนาวเองก็อยากเจอหน้าพ่อสันต์แม่อรจะแย่แล้ว” เด็กสาวออดอ้อนเก่งเป็นที่หนึ่ง
“ตื่นมาก็ยังได้เจอ นอนพักเถอะ โดนคุณแม่ดุขึ้นมา พี่ไม่รู้ด้วยน้า~” คุณหมอสาวขู่เล็กน้อย แต่ต้นหนาวกลับไม่ได้กลัวเลยสักนิด กลับกันยังหัวเราะออกมาอีกด้วย
“แม่อรไม่ดุหนาวหรอกค่ะ”
“หึๆ ถึงไม่ดุแต่คนป่วยก็ต้องพักผ่อนเข้าใจไหม” คราวนี้ไม่ได้อ้างชื่อของแม่เพื่อมาขู่ แต่ควีนกลับดุด้วยตัวเองเลย
“เข้าใจแล้วค่ะ” ยิ้มทะเล้นบนใบหน้าของเด็กสาว ทำให้ควีนยิ้มตามทันที ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
“นอนพักได้แล้ว พี่ไม่ได้ขู่นะแต่พูดจริง”
“ก็ได้ค่ะ” ต้นหนาวยอมทำตามอย่างว่าง่าย ทิ้งตัวลงนอนตะแคงเพราะศีรษะด้านหลังเป็นแผลจะนอนหงายไม่ได้
“เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ” มือเรียวดึงผ้าห่มมาห่มให้คนบนเตียง ก่อนที่จะเอ่ยบอกแล้วจึงหันไปปิดไฟและเดินออกจากห้องไป
บรรยากาศวังเวงทำให้ต้นหนาวรู้สึกกลัว เดิมทีก็ชอบดูหนังสยองหนาวอยู่แล้ว จินตนาการของเธอเลยยิ่งบรรเจิดจ้าคิดไปเรื่อยตลอดเวลา ไม่ว่าจะผีแบบไหน ก็มีแต่ภาพผุดขึ้นมาในหัวของเธอไม่หยุด
ร่างบางมุดเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความกลัวจนไม่กล้าออกมาเพราะกลัวจะโดนจ๊ะเอ๋โดยไม่ทันได้ตั้งตัวกระทั่งผล็อยหลับไป...
“ต้นหนาวน่าจะกำลังนอนหลับอยู่ค่ะ” เสียงของควีนเอ่ยบอกกับวสันต์และอรดาที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาล
ภาพที่เด็กสาวนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มทั้งตัวทำให้ควีนหัวเราะออกมาเล็กน้อย อาการแบบนี้ก็คงไม่พ้นกลัวผีไปได้
“แล้วทำไมนอนแบบนี้ล่ะ”
“คงจะกลัวผีมั้งคะ” ทุกคนหัวเราะออกมาพร้อมกันพลางมองร่างบางที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงคนไข้
“ควีนไปพักผ่อนเถอะลูก เดี๋ยวทางนี้พ่อกับแม่ดูแลต่อเอง”
“ค่ะ ตอนสายๆ จะเข้ามาหานะคะ”
“จ้ะ” สองแม่ลูกกอดกัน ควีนไม่ลืมที่จะหันมาหอมแก้มคนเป็นพ่อแล้วจึงค่อยกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักแพทย์