Chapter 3
“ทำ…ไม…ฮือ ๆ …” “พี่อาร์ตบอกเลิกเหรอ” ลฎาภาเอ่ยถามเสียงแผ่วพลางส่งสายตามองพี่สาว ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหา พี่สาวเอาแต่ร้องไห้ออกมา ครั้นจะพูดก็พูดไม่รู้เรื่อง แม้จะพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้เพื่อที่จะพูดมันออกมา “เขานอกใจ…คนเลว…ฮือ ๆ…” ลฎาภาก้าวมาใกล้ดึงพี่สาวเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลมโดยไม่ถามอะไรเป็นการซ้ำเติม “ถ้าอยากจะร้องไห้ วันนี้ก็เสียใจให้สุด ๆ ไปเลยนะ แค่วันเดียว” หญิงสาวปลอบพลางใช้มือลูบหลัง เธอรู้ดีว่าแฟนหนุ่มปัจจุบันที่คบกันอยู่นั้นพี่สาวจริงจังมากถึงขั้นอยากแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าเขานอกใจก่อนที่จะแต่งงาน “จอม…พี่รักเขานะ…ฮือ…พี่ยังรักเขา” ลฎาภาได้แค่เงียบเพราะไม่เคยมีแฟนจึงไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไหร่ “เขานอกใจ…พี่…มะ…มาตลอดหนึ่งปี...” หญิงสาวฟังแล้วรู้สึกขุ่นเคืองแทนเพราะว่าตลอดห้าปีที่ผ่านมาพี่สาวของหล่อนไม่เคยนอกใจฝ่ายชายเลยสักนิด แม้จะมีผู้ชายมากมายเข้ามาจีบหรือขอคุยด้วยแก้เหงาก็ตาม “จำที่แม่เคยบอกได้ไหม ? ผู้ชายที่รักจริง จะไม่มีวันนอกใจเด็ดขาด” คำนี้ถลัชนันท์ไม่เคยลืม ทว่าหัวใจข้างในจุกจนแทบหายใจไม่ออก หล่อนได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น จริงอยู่ถูกอย่างที่น้องสาวบอก ผู้ชายแบบนี้ไม่ คู่ควรกับพ่อของลูก ไม่คู่ควรที่จะฝากชีวิตเอาไว้ด้วย “อืม” ถลัชนันท์ขานรับในลำคอพลางหันมองของที่ขนลงมา มันเคยมีค่ามากที่สุดจนถึงวันนี้ที่กลายเป็นเพียงขยะที่กำลังจะทิ้ง ความรู้สึกดี ๆ ตลอดห้าปีที่ผ่านมาเพียงไม่ถึงชั่วโมงก็กำลังหายไปเพราะความเลวของคน เธอรู้ดีว่ามันยากที่จะลืมแต่ก็ต้องลืมให้ได้... วันหยุดสุดสัปดาห์ผ่านมาถลัชนันท์ไม่ได้ออกไปไหนจากห้องนอนเลย แม้กระทั่งอาหารก็รับประทานเพียงนิดเดียว ถึงจะบอกว่าควรทำใจได้ ไม่ควรเสียเวลาเศร้าไป ทว่าก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน แต่ไม่มีท่าทีที่หญิงสาวจะลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิด จนกระทั่งประตูเปิดออกมา ภายในห้องมืดสนิทแม้กระทั่งผ้าม่านก็ปิดไม่รับแสงตะวันจากด้านนอก “พี่ควรกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วนะ” ลฎาภาเดินเข้ามาในห้องมองคนบนเตียงที่นอนหันหลังให้ อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าพี่สาวนั้นจะคิดทำร้ายตัวเองหรือเปล่า ถึงแม้รู้ดีว่าเพียงเวลาสองวันไม่อาจจะทำให้ความรู้สึกนั้นหายไปได้ แต่การที่พี่สาวเธอซึมเศร้าแบบนี้ต่อไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา “จอมควรโทรบอกพี่ชายสุดน่ารักให้มาอยู่เป็นเพื่อนดีไหม ?” “ไม่ต้องมาขู่เลย !” “ไม่ได้ขู่ แต่จะโทร. จริง ๆ เพราะถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปมีอัตราเสี่ยงสูงที่คิดจะทำอะไรบ้า ๆ” “แกจะไม่โทร. บอกใช่ไหม ?” ถลัชนันท์เอ่ยถามขึ้นเพราะกลัวว่านอกจากจะได้กลับบ้านแล้วบางทีแฟนหนุ่มอาจจะไม่รอดด้วยซ้ำ เธอกลัวว่าจะมีปัญหาใหญ่ตามมาทีหลัง ยิ่งพี่ชายเป็นคนหัวร้อนง่ายอยู่ด้วยเกี่ยวกับเรื่องของคนในครอบครัว “ก็ต้องอยู่ที่ว่าพี่เป็นยังไง” ถลัชนันท์พลิกตัวหันมาขยับตัวขึ้นนั่ง ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตา พลางยกมือขึ้นเช็ดลวก ๆ สูดหายใจเข้า แล้วสบตามองน้องสาว “โอเคแล้ว แกไม่ต้องโทร. ไปบอกนะ” ลฎาภาหัวเราะ “ก็ดี งั้นลงไปกินข้าวกันได้แล้ว” ถลัชนันท์พยักหน้าขยับตัวลงจากเตียงขณะที่ลฎาภาลุกขึ้น พลันหันมองส่องไปยังกระจกที่อยู่ห่างไม่ไกลนักก็กรีดร้องออกมาด้วยท่าทางตกใจ “กรี๊ดดด...นี่หน้าฉันเหรอ ทำไมถึงโทรมแบบนี้” ถลัชนันท์รีบลุกขึ้นวิ่งไปที่โต๊ะเครื่องแป้งทันที เดิมทีใบหน้าสวยไม่มีริ้วรอยของวัย อีกทั้งใต้ตาก็ไม่หมองคล้ำเท่ากับตอนนี้ หญิงสาวยกมือขึ้นลูบใบหน้าตามริ้วรอยและความหมองคล้ำ รับไม่ได้อย่างแรง เท้าทั้งสองที่ยืนอยู่ก็กระทืบพื้นหลายทีก่อนจะหันมามองน้องสาวที่ยืนขำอยู่ “พี่ควรดูแลตัวเองมากกว่านะ ไม่งั้นอาจจะขึ้นคานจริง ๆ” “ยัยจอม !” “งั้นลงไปรอข้างล่างนะ” ลฎาภาพูดพร้อมกับรีบเดินออกจากห้องเมื่อเห็นสายตาค้อนมองมา เพราะรู้ดีว่าพี่สาวรักสวยรักงามมากขนาดไหน หลังจากที่ประตูห้องปิดลงแล้วถลัชนันท์ก็หันมาส่องกระจกอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าสองวันที่ปล่อยตัวเองไม่ดูแลจะโทรมได้มากถึงขนาดนี้ หญิงสาวถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินกลับไปที่เตียงเพื่อหยิบโทรศัพท์ ควรจะทำอย่างไรดี จะนัดเขาเพื่อมาคุยกันหรือว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป รอวันที่เขามาขอเลิกเธอ สองวันที่ผ่านมาเหมือนจะทำใจได้บ้างแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะที่เห็นใบหน้าโทรมราวกับผีดิบของตัวเอง ก็เพิ่งคิดได้ว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นมาที่จะเศร้าต่อไป... อากาศเช้านี้สดใสไม่มีท่าทีบอกว่าฝนจะตกลงมา ช่างเป็นเวลาที่ดี ลฎาภาใส่เสื้อผ้าชุดใหม่พร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งานในวันนี้ และไม่ลืมที่จะเตรียมเอกสารเผื่อไว้ให้ครบ ก่อนจะส่องมองความเรียบร้อยในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหยิบกระเป๋าออกจากห้องลงมาชั้นล่าง “ตื่นแล้วเหรอ ?” ถลัชนันท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเมื่อเห็นว่าน้องสาวเดินลงมารับประทานอาหารในตอนเช้า ครั้นสังเกตการแต่งตัวก็ยิ่งสงสัยว่าจะไปทำอะไร เพราะนานครั้งมากที่จะเห็นแต่งตัวเป็นทางการและเรียบร้อยแบบนี้ “แล้วนี่จะออกไปไหน” “สัมภาษณ์งานค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงดีใจและตื่นเต้นเหมือนกับว่าเพิ่งได้งานทำครั้งแรก “เขาเรียกตัวแล้วเหรอ ?” ลฎาภาพยักหน้าแทนการตอบพลางขยับเก้าอี้แล้วนั่งลง ดวงตากลมมองอาหารมื้อเช้าตรงหน้าก่อนจะหยิบช้อนขึ้นตักรับประทาน “วันนี้พี่จะใช้รถออกไปพบลูกค้า จะให้ไปส่งที่บริษัทก่อนไหม ?” ถลัชนันท์พูดขึ้นขณะที่วางช้อนส้อมลง “ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว จอมไม่มีทางขึ้นรถเมล์ไปแน่ ๆ ผมเสียทรงแย่” ลฎาภาพูดก่อนตักอาหารเข้าปาก ครั้นเหลือบมองพี่สาวที่กลับมาเป็นปกติก็ยังอดห่วงอยู่ไม่ได้แม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มประดับเช่นเดิม แต่ในใจอาจจะ ไม่ใช่อย่างที่แสดงออกมา เพราะใช่ว่าจะใช้เวลาเพียงวันหรือสองวันแล้วทุกอย่างจะลืมหายไป “ทำใจได้แล้วใช่ไหม ? กับเรื่องของพี่อาร์ต” “อืม” ถลัชนันท์พยักหน้ารับพลางส่งยิ้มให้กับน้องสาว แววตานั้นสั่นระริกจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอยังไม่ได้บอกว่าเลิกกับเขาอย่างจริงจัง ที่รู้เพราะเป็นความบังเอิญในความโชคร้ายเสียมากกว่า “ไปกันเถอะ นี่ก็สายมากแล้ว เดี๋ยวรถจะติดเอา” เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นหยิบจานเดินเข้าไปไว้ในห้องครัว ถลัชนันท์ยืนนิ่งอยู่นานพลางคิดหาวิธีที่จะจัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ภายในใจให้จบสิ้น วันนี้เธอควรจะนัดคุยกับเขาหรือไม่ก็ส่งข้อความไปบอกเลิกเสีย เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบเดินออกมาหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ในกระเป๋าส่งข้อความหาแฟนหนุ่มในทันที วันนี้หลังเลิกงานพี่อาร์ตว่างไหมคะ ? รักมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ค่ะ ลฎาภาหันมองขณะลุกขึ้นนำจานไปไว้ที่ห้องครัว ก่อนจะเดินออกมาสังเกตสีหน้าของพี่สาวที่ดูไม่ดีนัก “ไปกันเถอะ” ถลัชนันท์ไม่ปริปากพูดอะไร ได้แต่พยักหน้าและเดินออกไปทันที ขณะที่ลฎาภาหยิบกระเป๋าออกมาแล้วปิดประตูบ้านก่อนจะขึ้นรถไปอย่างรวดเร็ว เธอต้องผ่านสัมภาษณ์นี้...! ลฎาภาบอกกับตัวเองแบบนั้นขณะที่เอียงตัวมองคนที่มานั่งรอการสัมภาษณ์ตามบัตรคิว เธอรู้สึกประหม่าจนร่างกายและมือเย็นจนสั่นแทบทำอะไรไม่ถูก แม้จะไม่ใช่การสมัครงานครั้งแรกทว่าบริษัทนี้เป็นบริษัทผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีเงินเดือนดี สวัสดิการ ดีด้วย เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องวิตก นั่งรอมาเกือบสองชั่วโมงแล้วมีคนเดินเข้าเดินออกจากห้อง บ้างสีหน้าก็ดูมั่นใจ บ้างก็แสดงถึงความกังวล ลฎาภาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้ามองมือที่เย็นเฉียบจนกระทั่งมีคนเรียกชื่อจึงรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปข้างในทันที เวลาผ่านไปจนกระทั่งการสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ลฎาภาเดินออกจากห้องแทบหมดแรง ทั้งคำถามและการพูดคุยที่ชวนทำให้เธอต้องกลั้นอดทน ลฎาภาเดินเข้ามาห้องน้ำ ปิดประตูวางเอกสารและกระเป๋าด้วยสีหน้าละห้อย จากการสัมภาษณ์เมื่อครู่ทำให้รู้ว่าพลาดแล้วแน่นอน ! เฮ้อ...เธอยืนถอนหายใจพิงประตูอยู่นาน ก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้า มือและร่างกายยังคงสั่นเพราะรู้สึกประหม่าไม่หาย จนกระทั่งมีเสียงผู้ชายดังขึ้น หญิงสาวจึงเอี้ยวหูฟังแล้วขบคิดในใจว่า ‘นี่ห้องน้ำชายงั้นเหรอ’ “คืนนี้ไปดื่มกันไหม ? ฉันมีนัดบอดกับสาวๆ ด้วย” เข้าห้องน้ำผิดอีกแล้วเหรอเนี่ย !Chapter 61 (special III)“นี่...” เธอเรียกเขาด้วยเสียงสะอื้นก่อนจะใช้มือดึงเสื้อจากทางด้านหลัง “ทำไมถึงยอมมารับฉันล่ะ”“ไม่รู้สิ” ศรันภัทรตอบโดยไม่หันหลังกลับไปงั้นเหรอ...?ถลัชนันท์ปล่อยมือออกจากเสื้อของเขา ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปกอดชายหนุ่มทางด้านหลัง นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่รักเลยเพียงแต่ว่าอยากทำยังไงก็ได้ให้ความเจ็บปวดนี้หายไป“มีอะไรกับฉันได้ไหม” เป็นคำพูดสิ้นคิดหรือความต้องการในส่วนลึกกันแน่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันเพียงแต่ถ้ามันปลอบใจจากความเจ็บปวดได้แล้วล่ะก็... “แค่ครั้งนี้ แล้วพรุ่งนี้ฉันสัญญาว่าจะหย่ากับคุณ ขอร้องละ”ศรันภัทรยืนอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้ยินคำพูดจากปากหญิงสาว เขาเองตอนนี้ยังสับสนมากที่จะบอกว่ารู้สึกชอบผู้หญิงคนนี้แบบคนรักจริง ๆรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น...ถลัชนันท์คลายมือออกจากชายหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตา บางทีก็คิดว่าพอแล้วกับความรักที่เข้ามา“ขอโทษค่ะ ฉันคงบ้าไปหน่อย” เธอพูดเสียงสั่นพลางหัวเราะ “ถ้ายังไงพรุ่งนี้เราไปหย่ากันนะค
(special I)เวลาทำงานผ่านไปจวบจนกระทั่งหมดวันแล้ว ถลัชนันท์ขยับตัวเก็บกองเอกสารบนโต๊ะให้เข้าที่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายเช็กชื่อออกจากบริษัทไป แต่ละวันผ่านไปก็ช่างยาวนานซะเหลือเกิน และก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ตื่นเช้าออกไปทำงานกลับมาบ้านกินข้าวและเข้านอน ถึงแม้ว่าช่วงเดือนนี้จะเริ่มสนทนากับสามีที่แต่งงานด้วยมากขึ้นก็ตาม ทว่าความสัมพันธ์รักใคร่ก็ไม่ได้พัฒนาตามไปด้วยเลยหญิงสาวเดินออกจากลิฟต์แล้วหยุดชะงักเมื่อเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบขึ้นมาดูปลายสายที่โทร. เข้ามา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ถลัชนันท์เอ่ยถามอย่างทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่โทร.มาคือสามีนั่นเอง น้อยครั้งที่เขาจะติดต่อมาหาหรือยอมพูดคุยด้วย[เปล่า คุณแม่บอกวันนี้คุณจะไม่กลับมากินข้าวที่บ้าน เลยให้ผมโทร.มาถามว่ากลับดึกไหม ?]พอได้ฟังก็รู้สึกสมเพชตัวเองมานิดหนึ่ง ทว่าเรื่องนี้ก็เริ่มชินไปซะแล้ว อีกอย่างแม่สามีไม่ได้ใจร้ายเหมือนในละครหลังข่าว ตรงข้ามกันกลับทำดีกับเธอด้วยซ้ำไป“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันมีนักเดตกับเพื่อนสมัยเรียน” เธอตอบกลับไปแล้วพูดต่อไปว่า &ld
ค่ำคืนแสนหวานอันยาวนานได้ผ่านพ้นไปเข้าสู่เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ ร่างเล็กบนเตียงขยับตัวปรือตาด้วยความหนักอึ้ง หันมองพื้นที่เตียงว่างเปล่าก่อนใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดพยุงร่างกายขึ้นนั่ง สะโพกปวดร้าวระบมไปหมดจนไม่มีแรงจะขยับ ดวงตากลมมองรอบห้องที่เงียบสนิทไร้วี่แววของชายหนุ่มประตูห้องถูกเปิดออกหญิงสาวรีบยกผ้านวมขึ้นปิดบังร่างกาย พลางส่งสายตามองอวิ่นเยว่เดินเข้ามาหา“คุณตื่นแล้วหรือ” เขาเดินเข้ามาหาลฎาภาพยักหน้าแทนคำตอบด้วยความเขินอายพลางขยับตัวลงจากเตียงแต่ว่าขาสั่นจนแทบไม่มีแรง ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนเดินเข้ามาอุ้มเธอขึ้น นัยน์ตาคมมองร่างเปลือยที่เชยชมมาทั้งคืนมีร่องรอยตีตราจนนับไม่ถ้วน“ฉันเดินเองได้ค่ะ”อวิ่นเยว่หัวเราะในลำคอ “แสดงว่ายังมีแรงเหลือสินะ”“คุณเผิง !” เธอแก้มแดงผ่าวร้อนขึ้นมาทันทีชายหนุ่มยิ้มขำก่อนจะอุ้มหญิงสาวมายังห้องน้ำ เขาวางเธอลงบนขอบอ่างอาบน้ำก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณอาบน้ำไหวไหม ?”“ไหวค่ะ คุณออกไปเลยนะคะ” ลฎาภาตอบกลับในทันทีอวิ่นเยว่ยิ้มข
Chapter 57การเคลื่อนไหวของร่างกายรุกล้ำเข้ามาโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด อวิ่นเยว่ดันร่างเล็กให้ชนชิดกับผนังกำแพง บดจูบขยี้ริมฝีปากด้วยความโหยหา คราวนี้ทำเธอหายใจลำบากจึงต้องดันเขาออกห่าง แต่กลายเป็นว่าการพักนั้นทำให้ชายหนุ่มรุกล้ำลิ้นเข้ามาได้สำเร็จ“อื้อ” เสียงร้องครางดังประท้วงบอกจนต้องถอนจูบออกด้วยความเสียดาย อวิ่นเยว่จ้องมองใบหน้าเนียนสวยแดงก่ำก้มหลบเขินอาย มือข้างหนึ่งเชยขึ้นให้สบตาอีกครั้งและจูบหยอกเย้าเบา ๆ จนสติสัมปชัญญะของหญิงสาวหลุดล่องลอยไปลฎาภาควบคุมความต้องการของร่างกายไม่ได้ราวกับว่าไม่ฟังสิ่งที่สมองสั่งการสักนิด เธอเผลอให้ความปรารถนาที่อยู่ภายในจิตใจเข้าครอบงำจนหมดสิ้น จูบเร่าร้อนอ่อนโยนจนแทบระทวยนี้กลับรู้สึกคุ้นเคยโหยหามากที่สุดแต่...ที่บ้าที่สุดคือการตอบสนองเผลอไปกับคารมของเขา !อวิ่นเยว่จูบซับไปตามใบหน้าไล่จนมาถึงต้นคอของหญิงสาว มือที่เคยรั้งเอวไว้คลายออกล้วงเข้าไปในสาบเสื้ออย่างรวดเร็ว ไม่รอช้าที่จะใช้มือปลดเสื้อผ้าส่วนบนออกโยนทิ้งลงพื้นในขณะที่สติของเธอกำลังหลุดลอย“คุณเผิง” เธอเอ่ยเรียกชื่อเขา ทั้งที่ยิ่งเร
Chapter 56อวิ่นเยว่ผ่อนลมหายใจซุกที่หัวไหล่ของเธอ “นะ”เพียงคำเดียวก็รู้ถึงความหมายที่เขาต้องการบอกว่า ‘ขอซุกหน้าอกแบบอาหยูด้วยคน’“ทำไมอาหยูถึงได้ แล้วผมไม่ ?”ไม่น่าถามนะคำถามนี้ คุณเผิง !“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับเสียงเข้มพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง“อาหยูเป็นเด็ก”“เหรอ” เขาขานรับอย่างจำใจก่อนจะขยับตัวหันมา นัยน์ตาคมจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า เขาต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่คิดอะไรเกินเลยตอนนี้ ชายหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบยกมือขึ้นปิดปากด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าจะอดทนไปได้นานแค่ไหนกัน“เราขึ้นกันเถอะ อาหยูกำลังรออยู่”อวิ่นเยว่พูดพลางขยับตัวออกห่างจากหญิงสาว ก่อนจะลุกขึ้นโดยลืมไปว่าร่างเปลือยของเขานั้นเธอได้เห็นเต็มสองตา !ลฎาภาอึ้งนิ่งค้างจนทำอะไรไม่ถูก เขาลืมไปไหมว่าเธอยังอยู่ตรงนี้ “คุณเผิงรีบออกไปเลยนะคะ !”อวิ่นเยว่หันมองและเพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้โชว์กายให้หญิงสาวมองอยู่นั่นเอง เขาทำหน้านิ่งรีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูและเสื้อคลุมเดินออกจากห้องน้ำไปอย่าง
Chapter 55หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าผ่องจึงจัดการเก็บครัวและกลับบ้านไป ทางด้านลฎาภาที่ไม่รู้สึกคุ้นชินบ้านหลังใหญ่จึงทำตัวไม่ค่อยถูก ทั้งยังไม่รู้ว่าควรจะไปตรงไหนต่อดี จึงได้แต่ยืนงงอยู่หน้าบันไดเป็นเวลานาน“หม่าม้า” เจ้าตัวกลมเดินเข้ามาดึงชายเสื้อของเธอและออกแรงลาก“อาหยู...”เธอเอ็นดูก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรเหรอจ๊ะ”“อาบน้ำกับอาหยูได้ไหม” น้ำเสียงออดอ้อนและแววตาของ เจ้าตัวกลมทำให้ลฎาภานิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธหรอกนะ เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ยังพักฟื้นไม่สมบูรณ์ ก็ไม่อยากจะใช้แรงดูแลเด็กมากนัก แต่ถ้าหากปฏิเสธไปจะเป็นการทำร้ายจิตใจหรือเปล่านี่สิ“ไม่ได้เหรอ” เสียงอู้อี้ในปากและท่าทางออดอ้อนของเจ้าตัวกลมทำให้หญิงสาวรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อเด็กผู้ชายน่ารัก ๆ ทว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้แตกต่างจากการพบกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรก“แต่ว่านะ...”“ได้สิ” เสียงของอวิ่น