ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...เสียงเคาะเบา ๆ ดังมาจากใต้พื้นไม้ของบ้านนีร่าอีธานหยุดมือที่กำลังพับผ้า ผินหน้าขึ้นอย่างระแวง “เจ้าได้ยินเสียงนั่นไหม?”นีร่ากำลังนั่งพิงขอบหน้าต่าง ดวงตาครุ่นคิดอยู่กับแผนการแต่พออีธานพูด เธอก็เงี่ยหูฟังทันที“...ก๊อก?”เสียงนั้นยังคงมาเป็นจังหวะ ราวกับมีใครเคาะไม้จากข้างใต้มาริเบลที่นอนขดอยู่มุมห้องเงยหน้าขึ้นดวงตาเธอเบิกกว้างทันทีที่จำเสียงได้ “ไม่ใช่เสียงหนูนะ...ข้าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน คืนที่เรือผีโผล่ใกล้ฝั่งครั้งแรก...มันก็เริ่มแบบนี้เลย”อีธานเดินช้า ๆ ไปที่แผ่นไม้กลางพื้นมือหนึ่งเอื้อมแตะดาบที่พิงข้างผนังอีกมือค่อย ๆ เคาะกลับ — เพื่อทดสอบเงียบทุกคนกลั้นหายใจ...ทันใดนั้น...“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก!”เสียงเคาะรัวกลับ ราวกับมีบางอย่าง “โกรธที่โดนท้าทาย”นีร่ารีบลุกขึ้น “อย่าเคาะกลับไปอีก! มันไม่ได้มาหาเพื่อน มันกำลังทดสอบว่าเรากลัวหรือไม่”ไอล่าคว้าหอกไม้ที่เธอทำขึ้นเองจากไม้ยาวกับปลายเหล็ก“มันขึ้นมาจากทะเลแน่ ๆ เจ้าเคยบอกใช่ไหมว่า...เลือดของเงือกกลายพันธุ์ปลุกสิ่งเก่าแก่ได้?” “ใช่” นีร่าพยักหน้า “แล้วข้าคิดว่ามันไม่ได้ขึ้นมาแค่ตัวเดียว”
กลางทะเลต้องห้าม —คลื่นนิ่งผิดปกติ ลมก็ดันเงียบอย่างน่าผิดสังเกตกลิ่นคาวน้ำลอยขึ้นมาจากผืนน้ำที่ดำปี๋ ราวกับมันไม่ใช่น้ำทะเล...แต่เป็นเลือดกัปตันแบร์กตันยืนบนหัวเรือ เสื้อโค้ทยาวปลิวไสว ดวงตาใต้เงาหมวกมองต่ำข้างเขาคือ บรอล และ เดร็กซ์ ที่คอยประคองหีบไม้เก่า ๆ ใบหนึ่ง“เอ็งแน่ใจนะกัปตัน...ว่าอยากเปิดมันตรงนี้?” บรอลถามเสียงอ้อมแอ้ม“ถ้าเอ็งกลัว ก็กลับไปกอดถังเกลือบนเรือเถอะ” แบร์กตันพูดนิ่ง ๆ แล้วตวัดสายตามองบรอลกลืนน้ำลายเงียบ ๆเดร็กซ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนเสริม “ของแบบนี้...แค่กลิ่นยังสั่นกระดูกคนได้”แบร์กตันยกฝาหีบขึ้น...กลิ่นสาปเน่าผสมเลือดทะเลพุ่งวาบออกมาข้างในมีเพียงขวดแก้วใบหนึ่ง — บรรจุ เลือดของเงือกกลายพันธุ์ สีดำข้นที่ยังคุกรุ่นไปด้วยแรงสาปเก่าแก่“ของนี่...พวกคุมกฎมันฝังลึกจนไม่มีใครกล้าแตะ” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “แต่มันยังหายใจอยู่ ข้าได้ยินเสียงมันเรียกข้า...ตั้งแต่วันที่นีร่ารอดจากกับดักข้า”เขาเทหยดเลือดลงทะเล...ทันใดนั้น —ผิวน้ำเริ่มหมุนวนเสียงกรีดร้องบางอย่างแว่วขึ้นจากใต้ทะเลและแล้ว...บางสิ่ง ก็โผล่ขึ้นมาจากความมืดเงาร่างสูงโปร่ง ผิวลื่นดั่งปลา ดวงตาสีเงินไร้ตาดำ ม
หลังแสงจางจากคันศรเซรีออน ทุกอย่างกลับมาเงียบอีกครานีร่าก้มมองศรในมือ — มันเบากว่าที่คิด แต่กลับแฝงพลังแปลกประหลาด คล้ายลมหายใจของทะเลยังไงยังงั้น“มันเหมาะกับเจ้า” โทรันเอ่ยพลางเดินเข้ามาใกล้ “ข้ามองเห็นไฟในดวงตาเจ้าแล้ว...อย่าดับมันล่ะ”อัลเธียพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาของนางยังเศร้าเหมือนเดิม แต่ตอนนี้มีแววหวังปนอยู่ด้วย“จำไว้นีร่า...เจ้าคือความหวังสุดท้ายที่โลกนี้จะมี”“ข้าจะไม่ให้ความหวังของใคร...กลายเป็นฝันร้าย” นีร่าตอบเสียงหนักแน่นโทรันยิ้มมุมปากก่อนผายมือไปยังทางออก “จงกลับไปเถิด อีกไม่นาน...ลมจะเปลี่ยนทิศ”---ด้านนอกวิหาร – ทะเลตอนเช้าแสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านผิวน้ำ นีร่ากับมาริเบลกำลังว่ายขึ้นมาจากวิหารลับไอล่ารออยู่ก่อนแล้ว บนโขดหินกลางน้ำ ตาโตเป็นไข่เป็ด“เจ้าใช้เวลานานจนนึกว่าจมน้ำตายไปแล้ว!”มาริเบลหัวเราะ “ถ้าพี่ข้าจะตาย...คงไม่ใช่ในที่ที่มีผู้คุมกฎอยู่หรอกน่า”นีร่าเหนื่อย แต่สีหน้าสงบกว่าเดิมมาก ดวงตาเธอไม่ใช่ดวงตาของเด็กสาวอีกต่อไปอีธานยืนอยู่ไม่ไกล มือจับหินขัดดาบ เขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นนีร่าโผล่หัวขึ้น“เจ้าปลอดภัย...” เขาว่าเบา ๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้“ข้าไม่เป็นไร” น
เงาร่างนั้นค่อย ๆ ก้าวออกจากเงามืดผิวเธอเป็นสีมุกจางเรืองแสง ผมยาวราวกับสาหร่ายทะเลไหลลู่ไปตามกระแสน้ำเบา ๆดวงตาของเธอ...คล้ายกับนีร่า ราวกับกำลังมองตนเองในอดีตหรืออนาคต“ยินดีต้อนรับ...ทายาทแห่งสายเลือดโบราณ” เสียงของหญิงผู้นั้นหวานแต่ทรงพลัง ดังก้องไปทั่วโถงหินนีร่าใจเต้นแรง“ท่านคือใคร?”หญิงสาวยิ้มเศร้า“ข้าชื่ออัลเธีย” เธอพูดเสียงแผ่ว “ข้าคือผู้คุมกฎคนก่อน...และครั้งหนึ่ง ข้าเคยเลือกผิด”โทรันยืนเงียบ มองพวกเธอด้วยสายตาหนักแน่น“เธอ...คือผู้ที่เคยพยายามหยุดสงครามครั้งก่อน”นีร่าเม้มริมฝีปาก “แต่ท่านล้มเหลวใช่ไหม?”อัลเธียพยักหน้าเบา ๆ“ข้าลังเลเกินไป...และสุดท้ายข้ากลายเป็นหนึ่งในต้นเหตุของการล่มสลายแห่ง 'วาเลอริน' เมืองหลวงแห่งเงือก”เงียบงันก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเธอ“แต่เจ้า...ยังมีโอกาส”อัลเธียยื่นมือออกมา แล้วแสงบางอย่างก็ลอยออกจากฝ่ามือเธอมันคือ "เกล็ดแห่งสมดุล" — เกล็ดเงือกสีทองอมฟ้า ส่องแสงวูบวาบอยู่กลางอากาศ“จงรับไว้ มันจะเปิดทางให้เจ้าเห็น ‘อดีตที่ถูกลืม’ และ ‘อนาคตที่อาจเกิด’”นีร่ายื่นมือไปรับอย่างลังเลทันทีที่สัมผัสกับเกล็ดนั้น นิมิตแห่งอดีตเธอร่วงสู่โลกแห่งแสง
เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ
ขณะเดียวกัน แบร์กตันยืนอยู่หน้าชายฝั่งเขาโยนหินก้อนหนึ่งลงทะเล ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟองน้ำจำนวนมากผุดขึ้นและสายลมเย็นผิดธรรมชาติก็พัดมา เขาหัวเราะแผ่วเบา“ข้าไม่ต้องการทองคำอีกแล้ว”“ข้าอยากเป็น...สิ่งที่ไม่มีวันตาย ใต้ท้องทะเล…” คืนแรม...ลมเย็นจนทะลุผิวกระดูกบนฝั่ง ม่านหมอกบาง ๆ คลุมผืนทรายราวผ้าขาวคลุมศพอีธานสะดุ้งตื่นเสียงอะไรบางอย่างดังจากริมหาดแอ่ด...เสียงโซ่ครูดพื้นหินเสียงหายใจลึกเหมือนจากปอดของสัตว์ที่ไม่เคยหายใจบนบกเขาคว้าดาบทันที“นีร่า?”ไม่มีเสียงตอบเขาวิ่งออกมานอกถ้ำและภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาชะงักกลางหมอกหนามีเงาร่าง 3–4 ตน สูงโปร่ง ผิวซีดเหมือนเปลือกหอยพวกมันเดินช้า ๆ บนทรายเสียงก้าวแต่ละก้าวลากเหมือนขาไม่มีพละกำลังแต่ในดวงตา — ไม่มีแววชีวิตใด ๆพวกมัน...ไม่ใช่เงือกธรรมดา เงือกพวกนี้มีรอยเย็บตามข้อมือเหมือนถูกฝังและเย็บปิดปากกว้างกว่าปกติ และเต็มไปด้วยฟันแหลมที่ไม่ควรอยู่ในร่างเงือกอีธานก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้น — พวกมันหันขวับมาทางเขา“เราต้องหนี!” เขาตะโกนวิ่งกลับเข้าถ้ำไอล่า กับมาริเบลลุกขึ้นคว้าอาวุธ“เกิดอะไรขึ้น?”“พวกมัน...ขึ้