เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณ
ท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้ว แสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้ “สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า อีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผา เสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลง นีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัว ผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด “ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา “ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย” อีธานนั่งลงข้าง ๆ “ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว” เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน” มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด “พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้” นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น “ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด” ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น “แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส” “โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย “โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกทำลายไปแล้ว” ไอล่าตอบ “โอกาสที่จะนำสมดุลกลับคืนมา ไม่ใช่แค่ให้กับเงือกหรือมนุษย์ แต่กับทั้งสองโลก” นีร่าหายใจลึก “ข้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมมัน...และไม่ปล่อยให้มันควบคุมข้า” อีธานมองดวงตาเธอเต็มไปด้วยความหวัง “เราจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นอะไร” เสียงคลื่นยังคงซัดกระทบโขดหิน และแสงดาวกระจ่างฟ้า ในความเงียบสงบของคืนนั้น...สัญญาและความหวังถูกสานต่ออย่างเงียบเชียบ คืนเงียบสงบ ทะเลยังซัดคลื่นเบาๆ อีธาน นีร่า ไอล่า และมาริเบล นั่งพักอยู่ริมผา บรรยากาศดูเหมือนจะสงบหลังพายุสงครามที่เพิ่งผ่านพ้น นีร่าหันมองทะเลกว้างใหญ่ “พลังนี้...มันไม่ใช่แค่คำสาปหรือพร มันเป็นสิ่งที่เก่ากว่าทะเลเสียอีก” ทันใดนั้น คลื่นน้ำทะเลสั่นสะเทือนอย่างแรง และจากกลางผืนน้ำ ดวงตาสีฟ้าใสเปล่งประกายระยิบระยับปรากฏขึ้น “เจ้าคือใคร?” อีธานถามอย่างระวัง แต่เสียงลึกและก้องกังวานตอบกลับมาจากผืนน้ำ “ข้าคือ...โทรัน ผู้คุมกฎแห่งทะเล ดำรงตำแหน่งดูแลสมดุลระหว่างโลกมนุษย์กับโลกใต้น้ำ” ร่างของโทรันปรากฏขึ้นเหนือผิวน้ำ ชายสูงใหญ่ ทรงผมยาวสยายเป็นเกลียวคลื่น ดวงตาเหมือนทะเลลึกเปล่งแสงเย็นยะเยือก ผิวหนังคล้ายเกล็ดเงาวาว และมีรอยสักโบราณลวดลายพริ้วไหวเหมือนคลื่นทะเล “ทะเลไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง” โทรันกล่าวเสียงหนัก “เลือดของนีร่า...คือสะพานเชื่อมสองโลก และเป็นกุญแจเปิดสู่ความสมดุลใหม่ หรือความหายนะครั้งใหญ่” นีร่าขมวดคิ้ว “แล้วข้าควรทำอย่างไร?” “ข้าจะให้โอกาสเจ้าควบคุมพลังนั้น” โทรันพูด “แต่เจ้าต้องเลือกเองว่าจะใช้มันเพื่อปกป้อง หรือทำลาย” เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เหมือนดั่งลมหายใจของทะเล โทรันยื่นมือออกมา “จงลุกขึ้น เดินทางกับข้าเถิด เพื่อเรียนรู้ความจริงและภารกิจที่รอเจ้าอยู่” นีร่ามองไปยังเพื่อน ๆ แล้วหันกลับมายิ้มบาง ๆ “ข้าเลือกที่จะสู้เพื่อทุกชีวิตที่ข้ารัก” โทรันยิ้มอย่างพึงพอใจ “ดีมาก...สงครามยังไม่จบ แต่เจ้าจะไม่เดินเดียวดาย เสียงคลื่นเงียบลงชั่วขณะ ผืนน้ำเบื้องหน้ากลายเป็นกระจกเงาที่สะท้อนแสงจันทร์สว่างวาบ ราวกับโลกกำลังแยกออกเป็นสองฝั่ง โทรันหันไปหานีร่า “จงก้าวเข้ามา เดินข้ามผืนน้ำนี้ แล้วเจ้าจะเห็นสิ่งที่อยู่ลึกกว่าแค่ทะเล” นีร่าเหลือบมองอีธานเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสูดลมหายใจ แล้วเธอก้าวลงสู่ผิวน้ำ ใต้ทะเลลึก – วิหารน้ำเก่าแก่ เมื่อแสงจันทร์สลาย นีร่าก็พบตัวเองยืนอยู่ในโถงวิหารกลางทะเล แสงสีน้ำเงินอมเขียวส่องลงจากเพดานที่เหมือนคลื่นแช่แข็ง ลวดลายเงือกกินคนในตำนานถูกสลักไว้ตามผนังวิหาร โทรันยืนอยู่ข้างเธอ เงียบงัน เสียงของเขาดังสะท้อนทั้งโถง “นี่คือ ‘เซราดาน’ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกลืม — บ้านของผู้คุมกฎในอดีตกาล เขาเดินนำเธอไปยังแท่นศิลา ที่นั่นมีจารึกโบราณ ส่องแสงจาง ๆ “โลหิตแห่งสองโลก เกล็ดแห่งสมดุล ผู้ครอบครองต้องเลือกเส้นทาง จะเป็นสะพาน... หรือเป็นดาบที่ฟันทะเลให้แตกเป็นสองส่วน” “นี่คือตำนานของเจ้า, นีร่า” โทรันกล่าว “เจ้ามีเลือดของสองสายพันธุ์ — เงือกผู้ถือสันติ กับเงือกที่ล่มโลก” นีร่าหน้าซีด “ข้า...เป็นเงือกกินคน?” “ไม่ใช่ทั้งหมด” โทรันตอบ “แต่เลือดนั้นอยู่ในตัวเจ้า และมันกำลังตื่น เขาชี้ไปที่ประตูใต้น้ำ “เจ้าจะต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของพวกเจ้า รู้จักพลังของตนเอง และเลือกว่าจะหยุดสงครามนี้อย่างไร” แต่ถ้าเจ้าไม่เลือก...พลังนั้นจะเลือกแทนเจ้า นีร่ายืนนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ “ข้าจะเรียนรู้…แต่ข้าจะไม่กลายเป็นอสูร” โทรันยิ้มบาง ๆ “คำพูดนั้น ข้าเคยได้ยินจากใครบางคนเมื่อพันปีที่แล้ว” เสียงประตูหินเปิดช้า ๆ เบื้องหน้า คือห้องที่เก่าแก่ที่สุดในใต้ทะเล และในเงามืดของห้องนั้น...เงาร่างคล้ายหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ยืนรออยู่ โทรันกระซิบ “เธอคือผู้คุมกฎคนก่อน...และเธอคือผู้ถือเลือดเดียวกับเจ้า”เสียงดาบชนดาบ ปะทะกับคำสาปและพลังโบราณท้องฟ้าถูกฉีกเป็นสองขั้วแสงและเงาผสานกันในสมรภูมิครั้งนี้“สงครามแห่งสองโลก…เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีธานกับนีร่าและมาริเบล รวมถึงไอล่า ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ ริมผาเสียงคลื่นกระทบโขดหินเป็นจังหวะช้า ๆ คล้ายกล่อมให้ใจเย็นลงนีร่านั่งลงบนโขดหินขรุขระ มือยังสั่นจากพลังที่ไหลเวียนในตัวผิวเกล็ดเงินยังส่องแสงริบหรี่ในความมืด“ข้าไม่เคยรู้ว่าพลังนี้จะรุนแรงขนาดนี้...” เธอพูดเสียงเบา“ทุกครั้งที่ใช้...มันเหมือนข้ากำลังสูญเสียตัวเองไปทีละน้อย”อีธานนั่งลงข้าง ๆ“ข้าเข้าใจดี...แต่เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว”เขาวางมือทาบลงบนมือของนีร่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”มาริเบลเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูด“พี่สาว...เรากลัวนะ กลัวว่าเจ้าอาจเปลี่ยนไปจนเราจำไม่ได้”นีร่าหันไปมองน้องสาวด้วยสายตาอบอุ่น“ข้าเองก็กลัว...กลัวว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด”ไอล่ายืนเงียบ ๆ ข้างหลัง ก่อนพูดขึ้น“แต่ข้ารู้ว่า...พลังที่เจ้าได้รับ ไม่ใช่คำสาปอย่างเดียว มันคือโอกาส”“โอกาสอะไร?” อีธานถามด้วยความสงสัย“โอกาสที่จ
ขณะเดียวกัน แบร์กตันยืนอยู่หน้าชายฝั่งเขาโยนหินก้อนหนึ่งลงทะเล ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟองน้ำจำนวนมากผุดขึ้นและสายลมเย็นผิดธรรมชาติก็พัดมา เขาหัวเราะแผ่วเบา“ข้าไม่ต้องการทองคำอีกแล้ว”“ข้าอยากเป็น...สิ่งที่ไม่มีวันตาย ใต้ท้องทะเล…” คืนแรม...ลมเย็นจนทะลุผิวกระดูกบนฝั่ง ม่านหมอกบาง ๆ คลุมผืนทรายราวผ้าขาวคลุมศพอีธานสะดุ้งตื่นเสียงอะไรบางอย่างดังจากริมหาดแอ่ด...เสียงโซ่ครูดพื้นหินเสียงหายใจลึกเหมือนจากปอดของสัตว์ที่ไม่เคยหายใจบนบกเขาคว้าดาบทันที“นีร่า?”ไม่มีเสียงตอบเขาวิ่งออกมานอกถ้ำและภาพตรงหน้าทำให้หัวใจเขาชะงักกลางหมอกหนามีเงาร่าง 3–4 ตน สูงโปร่ง ผิวซีดเหมือนเปลือกหอยพวกมันเดินช้า ๆ บนทรายเสียงก้าวแต่ละก้าวลากเหมือนขาไม่มีพละกำลังแต่ในดวงตา — ไม่มีแววชีวิตใด ๆพวกมัน...ไม่ใช่เงือกธรรมดา เงือกพวกนี้มีรอยเย็บตามข้อมือเหมือนถูกฝังและเย็บปิดปากกว้างกว่าปกติ และเต็มไปด้วยฟันแหลมที่ไม่ควรอยู่ในร่างเงือกอีธานก้าวถอยหลังอย่างเงียบเชียบ แล้วทันใดนั้น — พวกมันหันขวับมาทางเขา“เราต้องหนี!” เขาตะโกนวิ่งกลับเข้าถ้ำไอล่า กับมาริเบลลุกขึ้นคว้าอาวุธ“เกิดอะไรขึ้น?”“พวกมัน...ขึ้
ภายในคือห้องกลวงขนาดใหญ่มีแคปซูลแก้วโบราณเจ็ดใบเรียงอยู่กลางห้องภายใน…คือร่างของเงือกอีกเจ็ดตน — ที่อยู่ในสภาพกึ่งหลับ กึ่งตื่นร่างพวกมันไม่เน่า ไม่ชรามีร่องรอยการดัดแปลงร่างกายคล้ายกับนีร่า แต่รุนแรงกว่าหลายเท่าเสียงในหัวเธอดังขึ้นอีกครั้ง“เลือดของเจ้า…คือสิ่งสุดท้ายที่ขาดไป”“พวกเรา...จะตื่นอีกครั้ง”นีร่าก้าวถอยหัวใจเธอเต้นแรงคำถามคือ…เธอควรจะ “ปลุก” พวกนี้จริง ๆ หรือไม่?เสียงก้องในหัวของเธอเบาลง จนเหลือเพียงคำเดียว “...เลือก...”เสียงจากใต้ทะเลเงียบลงนีร่าค่อย ๆ ว่ายออกจากห้องโบราณที่ฝังอยู่ใต้ผืนน้ำหัวใจยังเต้นแรง…แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความหวั่นไหว ไม่ใช่ความกลัวในหัวเธอมีคำถามเต็มไปหมด"พวกเขาคือเผ่าพันธุ์ของข้า...หรือคือฝันร้ายของข้า?""ข้าควรปลุกพวกเขาไหม...หรือปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นตายไปตามกาลเวลา?"เธอไม่ได้ให้คำตอบเธอเลือกที่จะ "ปิดประตู" นั้น…ชั่วคราวเมื่อกลับขึ้นฝั่งอีธานรีบวิ่งเข้ามาหาเธอทันที“เจ้าโอเคไหม!?”นีร่าพยักหน้าเบา ๆ แต่แววตาเธอยังว่างเปล่าเล็กน้อยเหมือนคนที่กลับมาจากการเห็นบางสิ่ง…ที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้เธอไม่พูดถึงห้องนั้นไม่พูดถึงเงือกเจ็ดตน
เสียงดังจากข้างใน มาริเบลวิ่งออกมา พร้อมไอล่า“อย่าเข้าใกล้นาง” ไอล่ากัดฟันแต่ช้าไปแบร์กตันสะบัดมือทหารกลุ่มหนึ่งโผล่จากป่า กระชับปืนหอกทะเลในมือเขาไม่ได้มาคนเดียว... เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ในกระท่อมนีร่าสะดุ้งตื่น ดวงตาเธอยังแดงเรืองนิด ๆเธอรู้...พลังของเธอเรียกใครบางคนมาเสียงของแบร์กตันดังลอดเข้ามา “นีร่า — ออกมาเถอะ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า ข้าแค่ต้องการให้เจ้าช่วย...แบ่งเลือดของเจ้าให้ข้าสักหยด”“แค่นั้นจริง ๆ ข้าสาบาน”นีร่าลุกขึ้นช้า ๆเธอรู้ดี...เขาโกหกสายตาแบบนั้น แววโลภแบบนั้น — ไม่มีใครหยุดเพียงแค่ “หยดเดียว”นีร่าเดินออกมาเธอยืนต่อหน้ากัปตันแบร์กตันดวงตาเธอยังคงมีลายสีเงินอ่อน แผ่นผิวบนแขนยังเผยเกล็ดบาง ๆ“เจ้ากลัวตายงั้นหรือ?” เธอถามเบา ๆแบร์กตันหัวเราะ“ไม่ใช่กลัว...แค่เบื่อการรอคอยอย่างไม่มีจุดจบ”เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดเรียบ ๆ“ข้าไม่ให้เลือดข้าแก่คนที่เห็นชีวิตเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”“ข้าเกิดมาเพื่อหยุด...ไม่ใช่ส่งต่อมัน”แบร์กตันขมวดคิ้ว“งั้นข้าจะเอาเลือดเจ้าด้วยตัวข้าเอง”เขาดึงมีดออกจากข้อมือ — และทหารทั้งหมดกรูก้าวหน้าอีธานร้อง “นีร่า อย่า!”แต่สายไ
กลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
บรรยากาศในวิหารใต้ดินเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนชัดเจนแสงจากลวดลายโบราณบนพื้นค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงสีน้ำเงินสลัวจากแท่นศิลาเบื้องหน้านีร่ายืนเซเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว แต่ขณะเดียวกันกลับร้อนรุ่มภายในอีธานพยายามประคองเธอ “เจ้าไหวไหม?”“เหมือนข้า...ได้ยินเสียง...” นีร่ากระซิบ ดวงตาของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัวมาริเบลเบิกตากว้าง “ตาของเจ้า...นีร่า...เหมือนตาของแม่เราในคืนสุดท้าย...”ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากมุมมืดของวิหารเสียงฝีเท้าเก่าแก่... และเงาหนึ่งปรากฏออกจากหลังเสาหินชายชราผิวซีดในผ้าคลุมสีดำเดินออกมาช้า ๆ ดวงตาเขาขุ่นมัวคล้ายคนมองทะลุอดีตมาหลายร้อยปี“ในที่สุด... นางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”ทุกคนชะงัก“เจ้าคือใคร?” ไอล่าถาม มือแตะดาบอย่างระวังชายชราไม่ตอบคำถามตรง เขาจ้องนีร่าแน่นิ่งก่อนพูดเสียงแผ่ว “เงือกแห่งคำสาป...เงือกที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของราชาและคราบเกลือพันปี”นีร่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง“ข้า...ไม่เข้าใจ” เธอพูดเบา ๆชายชราก้าวเข้าใกล้แท่นศิลาเขาวางมือลงบนตราสัญลั