"ทะเลาะกันเหรอ?"
หลินซีเอ่ยถามขึ้นในที่สุด หลังจากที่เธอนั่งสังเกตพฤติกรรมน่าอึดอัดของเพื่อนทั้งสองมาสักพัก
เวลาได้ล่วงเลยมากว่าหนึ่งอาทิตย์ วันนี้พวกเขามารวมตัวกันเพื่อทำงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย ทว่าทั้งคุณใสและน้ำมนต์เหมือนจะพูดคุยกันน้อยกว่าปกติ อีกทั้งไม่แผ่รังสีความรักสีชมพูเหมือนทุกที ที่ผิดสังเกตที่สุดคือคุณใสที่สงบปากสงบคำกว่าเดิมราวกับวิญญาณคนใบ้มาสิงร่าง
น้ำมนต์เหลือบมองชายหนุ่มข้างกายที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หลายวันมานี้เขาสัมผัสได้ถึงความห่างเหินที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน แม้คุณใสยังคอยปกป้องน้ำมนต์เป็นอย่างดีเช่นเคย แต่พฤติกรรมที่แสดงออกนั้น ทำให้คนรอบข้างอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดไปตามๆ กัน
"เป็นอะไรหรือเปล่า?" น้ำมนต์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"หือ? เปล่านี่" คุณใสลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อย "ฉันไปซื้อขนมนะ จะเอาอะไรกันมั้ย"
"บลูฮาวายโซดา" หลินซีสั่งออเดอร์ทันที
น้ำมนต์ส่ายหน้า
"ยู เอาไร..." คุณใสหันไปทางญาติสนิทของตนที่กำลังวุ่นอยู่กับการตรวจคำผิด
"ไม่เอา นายไปเถอะ" ยูเรตอบโดยไม่หันมามอง
น้ำมนต์จ้องมองคุณใสกระทั่งร่างสูงเดินผ่านใต้ตึกคอนโดของหลินซีไป เขาไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้เลย ต้องเกิดอะไรขึ้นกับคุณใสอย่างแน่นอน หลังจากวันที่คุณใสไปนอนที่บ้านน้ำมนต์ เขาก็มีท่าทีแปลกไป
หรือเขาโดนผีหลอกจริงๆ?
ความคิดตื้นเขินของน้ำมนต์ไม่มีทางเป็นไปได้ ดวงวิญญาณเร่ร่อนสองสามตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณใส
น้ำมนต์พยายามสลัดความคิดเพ้อเจ้อออกไปจากหัว และจดจ่อกับงานตรงหน้า ถ้าวันนี้เขาทำรายงานไม่เสร็จ พวกเขาทั้งกลุ่มจะได้เจอกับอะไรที่แย่ยิ่งกว่าการโดนผีหลอกเสียอีก
"ว่าแต่บังเอิญจังนะที่พวกเธอพักอยู่คอนโดเดียวกัน" น้ำมนต์พยายามหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้เพื่อนๆ เครียดจนเกินไป
"อื้ม หลินใจดีมากเลยล่ะ ช่วยดูแลฉันที่อยู่คนเดียวตั้งเยอะแน่ะ"
"ไม่เท่าไหร่หรอก" หลินซีภูมิใจที่ถูกชื่นชม "ยูก็เก่งนะ มาอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่มีรูมเมทหรือ?"
"ไม่อ่ะ ฉันชอบให้บ้านเป็นพื้นที่ส่วนตัวมากกว่า...เอ๊ะ หลินไม่ได้อยู่คนเดียวเหรอ?"
"ฉันอยู่กับพี่ชายไง ครั้งก่อนก็เคยพูดถึง"
"เอ๊ะ...แต่ฉันไม่เคยเห็นเธอกับพี่ชายอยู่ด้วยกันเลยนะ"
ยูเรหันมองน้ำมนต์ราวกับจะถามว่าพี่ชายของหลินซีเป็นคนเช่นไร ทว่าน้ำมนต์ก็ทำได้แค่ส่ายหน้า เพราะตลอดครึ่งปีที่รู้จักกันมา เขาไม่เคยเห็นพี่ชายของหลินซีเลยสักครั้ง ดังนั้นน้ำมนต์จึงคิดว่าพี่ชายของหลินซีต้องเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง และไม่ชอบออกมาเพ่นพ่านข้างนอกเป็นแน่
"พี่ชายฉันชอบไปสิงตัวอยู่ที่ตึกแพทย์น่ะ บางทีก็ไม่กลับบ้าน"
ดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองเป็นประกาย
"พี่เธอเป็นหมองั้นเหรอ ยอดเลย งี้เขาต้องเรียนเก่งมากแน่ๆ เลยใช่ไหม" ยูเรถามอย่างสนอกสนใจ
"ก็...คงงั้น" หลินซีตอบแบบขอไปที
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของสองพี่น้องคู่นี้จะพิเศษกว่าที่คิด น้ำมนต์จึงเลือกที่จะหุบปาก ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ไม่นานหลังจากนั้นยูเรก็ลุกขึ้น
"ฉันขอไปซื้อยาแก้ปวดแป๊บนะ เหมือนจะจ้องคอมมากไป รู้สึกปวดหัวหน่อยๆ"
ยูเรจากไปอีกคน เมื่อน้ำมนต์หันกลับมาก็พบหลินซีทำหน้ามึนงง
"อะไรเหรอ?"
"เปล่า ฉันแค่กำลังสงสัยว่าทำไมเขาไม่โทรสั่งให้คุณใสซื้อมา"
ก็จริง...
"อาจจะลืมก็ได้ล่ะมั้ง...ไม่ก็คงอยากลุกเดินบ้าง นั่งทำงานนานๆ คงปวดหลังแย่" น้ำมนต์คาดเดา
"คงงั้น...ว่าแต่เรื่องสถานที่ถ่ายภาพของกลุ่มเราจะเอายังไงดี"
เมื่อไม่กี่วันก่อนในคาบเรียนถ่ายภาพ อาจารย์ได้สั่งให้พวกเขาไปถ่ายภาพนอกสถานที่ตามฉลากที่จับได้ ซึ่งหัวข้อที่พวกเขาได้คือวิถีชีวิต น้ำมนต์ไม่ถนัดด้านการถ่ายรูปเสียเท่าไร อันที่จริงต้องบอกว่าเขาแทบไม่ถูกกับอุปกรณ์เฉพาะทางพวกนี้เอาเสียเลย บนโลกนี้มีเพียงดินสอ ปากกาและพู่กันเท่านั้นที่น้ำมนต์จับแล้วไม่เสียหาย
"ฉันไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไหร่ หลินคิดสถานที่ดีๆ ออกบ้างไหม?"
"ฉันคิดว่าเราน่าจะไปถ่ายแถวต่างจังหวัดนะ วิวธรรมชาติสวยดี แล้วถือโอกาสไปเที่ยวด้วยเลย"
น้ำมนต์ก็อยากจะเห็นด้วยกับความคิดของหลินซีอยู่หรอก ถ้าไม่ติดว่าเขาเคยได้ยินเรื่องเล่าหลายๆ อย่างเกี่ยวกับพื้นที่ต่างจังหวัด ว่ามักจะมีเรื่องของความเชื่อ และเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับวิญญาณอยู่เยอะแยะมากมาย
"ไม่ชอบเหรอ?"
"ปะ เปล่า ฉันว่าก็ดีเหมือนกัน" น้ำมนต์พยายามกดความกลัวของตัวเองเอาไว้ เขาไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวมารวมกับเรื่องงานจนกลายเป็นตัวถ่วงเพื่อน
ที่ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกล มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้น ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเรียบร้อยกำลังบึ่งมาทางโต๊ะของน้ำมนต์ เขามีผิวขาวซีด ใบหน้าหล่อเหลาแบบลูกคนจีน แว่นตาของเขาสะท้อนแสงเมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งทำงานใต้ตึกคอนโด ชายหนุ่มไม่รีรอพุ่งตรงเข้ามาหาพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ใบหน้าดูไม่พอใจ
ปึง!
ชายหนุ่มผู้มาเยือนวางมือลงบนโต๊ะไม้อย่างแรง ทำเอาสองคนที่นั่งอยู่สะดุ้งโหยง เมื่อหลินซีเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับถอนหายใจ
"เมื่อเช้าเธอแอบไปหาธีร์อีกแล้วใช่ไหม?" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งน้ำเสียงเย็นชา ดูแล้วไม่ต่างจากหลินซีในช่วงแรกที่รู้จักกับน้ำมนต์เลย
"ฉันเปล่า..." หลินซีตอบโดยไม่แม้แต่จะสบตาอีกฝ่าย
"หลิน เธอจะคบกับใครก็ได้นะ แต่อย่าไปยุ่งกับหมอนั่นเลย" ชายหนุ่มรุดเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามหลินซี โดยเบียดให้น้ำมนต์กระเถิบออกไป
"ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย พี่จะให้ฉันตัดสินคนจากข่าวลือหรือไง แบบนั้นมันไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยหรือ?"
เขาคือ พี่ชายของหลินซีนั่นเอง
"พวกฉันเรียนด้วยกัน มีหรือจะไม่รู้สันดาน...!"
"อย่าพูดหยาบ..." หลินซีเอ็ด ซึ่งพี่ชายของเธอก็ไม่ได้สนใจคำเตือนเสียเท่าไร แต่ส่งสายตาคาดคั้นไปหาน้องสาวแทน
"นี่...ฉันรู้ว่าพี่เป็นห่วง แต่ถ้าฉันเลือกผิดจริงๆ ฉันก็อยากจะเรียนรู้มันด้วยตัวเอง พี่ปกป้องฉันได้ไม่ตลอดหรอกนะซีซวน"
คำพูดของหลินซี ทั้งมุ่งมั่น และหนักแน่น พี่ชายของเธอจึงทำได้แค่ยอมแพ้
"ฉันไม่ชอบปลอบคนร้องไห้นะบอกไว้ก่อน"
"ฉันไม่เคยร้องไห้เสียหน่อย..."
"..."
"..."
ไม่ต้องบอกน้ำมนต์ก็เชื่อว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ทั้งหน้าตา นิสัย และบรรยากาศกดดันที่แผ่ออกมาจากทั้งคู่ทำเอาคนนอกอย่างน้ำมนต์รู้สึกเหมือนถูกห้อมล้อมด้วยภูเขาหิมะอันหนาวเหน็บ...
"เอ่อ...สวัสดีครับพี่ชายของหลินซี" น้ำมนต์ใช้โอกาสนี้กล่าวทักทาย
ซีซวนหันขวับมองต้นเสียง สีหน้าของเขาดูแปลกใจเล็กน้อย ราวกับว่าเพิ่งสังเกตเห็นการมีตัวตนอยู่ของน้ำมนต์ทั้งที่ก่อนหน้านี้ซีซวนเพิ่งเบียดน้ำมนต์ตัวแทบปลิวไปหยกๆ
"นี่ใคร?" พี่ชายเอ่ยถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอีกครั้ง
"น้ำมนต์ไง...เขาเป็นเพื่อนในคณะของฉัน เคยเล่าให้ฟังไปแล้วไม่ใช่หรือ หัดจำอย่างอื่นนอกจากอนาโตมี่กับชื่อโรคบ้าง" หลินซีหันมาทางน้ำมนต์ "นี่พี่ชายฉันเองชื่อซีซวน"
"สะ สวัสดีครับพี่ซีซวน ผมชื่อน้ำมนต์เป็นเพื่อนของหลินครับ" น้ำมนต์รีบยกมือไหว้ทักทายและแนะนำตัวตามมารยาท
ชายหนุ่มขยับเแว่นเล็กน้อย สายตากวาดขึ้นลงช้าๆ พิจารณาน้ำมนต์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยื่นมือออกมา ราวกับจะทักทายแบบชาติตะวันตก น้ำมนต์รีบเปลี่ยนไปจับมือทักทายซีซวนแทน ทว่าทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสกัน ซีซวนก็จับฝ่ามือของน้ำมนต์หงายขึ้น ก่อนจะออกแรงกดบนฝ่ามือเล็ก สายตาจ้องมองราวกับกำลังพิจารณาบางอย่าง
หลินซีที่เห็นนิสัยเสียของพี่ชายกำเริบถึงกับกุมขมับ
"มือนาย นุ่มดีนะ...ผู้ชายแน่เหรอ?" ซีซวนเขยิบเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งเชยคางน้ำมนต์ให้เงยหน้าขึ้น "แทบจะมองไม่เห็นลูกกระเดือกแล้ว มิน่าทำไมเสียงเล็กขนาดนี้...แขนขาก็..."
"ขอโทษนะน้ำมนต์ พี่ชายฉันติดนิสัยสำรวจร่างกายคนอื่นแบบนี้แหละ ถึงเขาจะเพี้ยนๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ" หลินซีส่ายหน้า เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรแก้นิสัยของพี่ชายอย่างไรดี
น้ำมนต์เข้าใจสิ่งที่เพื่อนสาวพูด แต่ที่เขาต้องการตอนนี้ไม่ใช่คำอธิบายถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของซีซวน แต่คือวิธีการเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ต่างหาก
"ตาโตมากด้วย..." ซีซวนยังไม่หยุดสำรวจ
"เอ่อ คือ..."
ก่อนที่น้ำมนต์จะถูกว่าที่นายแพทย์สำรวจร่างกายลึกไปมากกว่านี้ คุณใสก็กลับมาพอดิบพอดี
ภาพชายแปลกหน้าที่ทำตัวใกล้ชิดกับเจ้าหอยทากน้อยทำเอาคุณใสเลือดขึ้นหน้า เขาพุ่งปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อซีซวนอย่างเอาเรื่อง
"อย่ามาแตะต้องคนของฉัน!"
“หลิน! ฟังก่อนได้ไหม เพราะเธอเอาแต่ปฏิเสธฉันแบบนี้ไงฉันถึงได้ไปมีคนอื่น”คำพูดของคนหน้าด้านหน้าทนทำให้หลินซีเดือดปุดๆทีแรกก็ว่าจะรวมพลังไปหาถึงที่ ใครจะคิดว่าแค่ส่งข้อความพร้อมคลิปหลักฐานไป หมอนี่ก็โผล่มาทันที แล้วยังเอาแต่พ่นคำแก้ตัวปัญญาอ่อนนี่ต่อหน้าเธอไม่หยุด“ได้ งั้นในเมื่อเป็นแบบนี้ก็จบกัน แล้วแยกย้ายซะ” หลินซีตัดบทสรุปอย่างง่ายดาย“ไม่นะหลิน นี่หลิน ฟังฉันสิ!”เมื่อคำออดอ้อนใช้ไม่ได้ผลเหมือนทุกครั้ง ธีร์จึงเริ่มใช้ความรุนแรง เขาจับแขนของหลินซีแน่นเสียจนเป็นรอยเขียวช้ำถ้าคิดว่าหลินซีจะยอมอยู่ฝ่ายเดียวละก็ คิดผิดแล้วทว่าก่อนที่หญิงสาวจะทันได้ใช้วิชาป้องกันตัวที่เรียนมาจากคุณพ่อที่เป็นสารวัตรตำรวจ รองเท้าผ้าใบข้างหนึ่งก็ลอยข้ามหลังหัวของเธอไปกระแทกเข้ากับหน้าหนาๆ ของธีร์เข้าอย่างจังพลั่ก!“โอ๊ย! อะไรวะเนี่ย!”ก่อนที่ธีร์จะทันได้โวยวาย ลูกเตะขาคู่ของคุณใสก็ยันเอาร่างของนักศึกษาแพทย์ลอยปลิวไปชนกำแพงน้ำมนต์รีบวิ่งไปดูหลินซี เธอสะดุ้งเมื
“คิดว่าผู้หญิงคนนั้น จะยังอยากมองหน้าพวกนายต่องั้นเหรอ หลังจากที่โดนคนประเภทนั้นแย่งคนรักไป”“แน่นอน” คุณใสพูดอย่างมั่นใจ “ถึงยัยนั่นจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่แยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร ถ้านายคิดว่าตัวเองยั่วยุให้ยัยนั่นแตกคอกับพวกเราได้สำเร็จแล้วละก็...หึ นายคิดผิดถนัด”นิ้วมือและกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของยูเรเกร็งเพราะความเดือดดาล ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นกับตา แค่เพียงได้ยินคำพูดนั้นจากปากของคุณใส ยูเรก็รู้สึกว่าตนได้พ่ายแพ้แล้วจริงๆนาฬิกาข้อมือของยูเรหนักอึ้ง ราวกับสวมหินขนาดใหญ่ไว้ที่ข้อมือทำไมถึงเป็นเช่นนี้...มันเป็นความผิดของใครกัน ยูเรนึกคิดในใจ“กลับกันได้แล้ว...อย่าลืมไปขอโทษน้ำมนต์ด้วยล่ะ”น้ำมนต์...แค่เพียงได้ยินชื่อนั้นยูเรก็รู้สึกเกรี้ยวโกรธ ราวกับลาวาปะทุ ใบหน้าเกร็ง คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม ชื่อนี้นี่เองที่เป็นตัวการทำลายความสุขของเขาห่างออกไปที่ด้านหลังของคุณใส ชายผู้เป็นตัวการคนนั้นกำลังวิ่งตรงเข้ามา บนใบหน้าเต็มไปด้
คลิปวิดีโอของชายหนุ่มสองคนที่กำลังกอดจูบลูบคลำกันใต้แสงไฟสลัวในสถานเริงรมย์ ทำเอาใบหน้าของหญิงสาวที่ปกติแทบไม่แสดงอารมณ์ บัดนี้กลับบิดเบี้ยวเพราะความเศร้าโศกเสียใจเหตุเพราะยูเรเลือกที่จะเปิดคลิปที่เขาบังเอิญเจอธีร์กำลังมีสัมพันธ์กับชายอื่น ซึ่งเป็นการนอกใจ และนอกกายอย่างไม่น่าให้อภัย“ขอโทษนะหลิน ไม่ได้อยากทำให้เสียใจนะ แต่พอมาคิดดูแล้ว ก็จริงอย่างที่น้ำมนต์พูดเมื่อวาน บางเรื่องมันก็จำเป็นต้องพูดจริงๆ ” ยูเรเอ่ยพลางก้มหน้าก้มตารู้สึกผิดน้ำมนต์มองใบหน้าเศร้าสร้อยของเพื่อนสาวแล้วรู้สึกเจ็บปวด สายตาว่างเปล่าของหลินซีดูน่าเป็นห่วงเอาการ แม้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่น้ำมนต์ก็จับมือเพื่อนสาวเอาไว้ตลอดเวลา“ไอ้เวรนั่น ว่าแล้วเชียว!” คุณใสกัดฟันกรอด “แค่เห็นหน้าครั้งแรกก็ไม่สบอารมณ์แล้ว นี่หลินให้ฉันไปต่อยมันสักทีดีมั้ย!”หยาดน้ำตาใสไหลอาบแก้มของหญิงสาว!!!น้ำมนต์กับคุณใสแทบช็อก ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่หลินซีแสดงด้านอ่อนแอของเธอให้เห็น ครั้นจะพยายามหยุดน้ำตาของเธอก็ไม่ได้ การร้
“นายมองเห็นดวงวิญญาณเนี่ยนะ” ยูเรเอ่ยถาม เขาดูไม่เชื่อคำพูดของน้ำมนต์เสียเท่าไรเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่กับคนที่น่าสงสัยว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุด ดันออกตัวพูดทำให้เรื่องเล่าของน้ำมนต์ดูไม่มีน้ำหนักเช่นนี้ ยิ่งทำให้ความสงสัยในใจของน้ำมนต์เพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าหลินซีพิจารณาสิ่งที่ได้ยินด้วยเหตุผล เธอรู้ดีว่าน้ำมนต์ไม่ใช่คนโป้ปด ถึงกระนั้นสิ่งที่เขาพูดก็ยากที่จะเชื่อ เธอจึงตัดสินใจไม่พูดอะไร เพื่อรอคำอธิบายเพิ่มเติม“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ” นิ้วมือของน้ำมนต์ประสานเข้าด้วยกัน“ที่นายไม่สบายครั้งก่อน เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้หรือเปล่า” หลินซีถามน้ำมนต์พยักหน้า นัยน์ตาเหลือบมองปฏิกิริยาของเพื่อนทั้งสอง“ที่ฉันเล่าให้ฟัง เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน เรื่องนี้เป็นปัญหากับฉันพอสมควร ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้พวกนาย...”“มั่นใจนะว่านายไม่ได้คิดไปเอง...”คำถามของยูเรทำให้แววตาของคุณใสเย็นเยียบ ร่างสูงกระแอม&ldquo
"มาๆ นั่งตรงนี้เลย" พนักงานหนุ่มลูกชายเจ้าของร้านวาดแขนเป็นการเชื้อเชิญด้านในของร้าน เป็นโต๊ะอาหารที่อยู่ใต้หลังคา ซึ่งแทบจะอยู่ติดกับเวทีการแสดง แม้จะไม่ได้เป็นห้องปิดหรือมีเครื่องปรับอากาศ แต่ก็นับได้ว่าเป็นโต๊ะระดับ VIPกลุ่มนักศึกษาสี่คนนั่งลงที่โต๊ะไม้ใหญ่ ชาร์ปทำงานอย่างกระฉับกระเฉง ทั้งแนะนำเมนูทั้งยกน้ำมาเสิร์ฟ บริการผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้ากันเพียงไม่กี่วินาทีได้ดีกว่าบริการเพื่อนสนิทอย่างคุณใสเสียอีกไม่นานอาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ทว่าจานอาหารของหลินซีกับถูกตกแต่งอย่างสวยงามราวกับอาหารในร้านหรู ช้อนส้อมก็เงาวับอย่างกับของใหม่แกะกล่อง ที่สำคัญใต้ขวดน้ำดื่มของหลินซียังมีกระดาษโน้ตที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ และชื่อของชาร์ปเอาไว้ด้วยคุณใสแทบสำลัก...เขาหันไปกระซิบกับน้ำมนต์ที่นั่งข้างๆ"เมื่อก่อนฉันไม่ได้จีบนายด้วยวิธีเห่ยๆ แบบนั้นใช่ปะ ดูแล้วน่าขนลุก"น้ำมนต์ส่งยิ้มอันตรายจนแฟนหนุ่มถึงกับปากหุบในทันทีใช่สิ...ก่อนหน้านี้อย่าเรียกว่าจีบ คนที่เอาแต่กลั่นแกล้ง ฉวยโอกาส ล่วงละเมิดทางเพศน้ำมนต์อย่างคุณใสน่ะ ไม่มีสิทธิ์มาพู
ยามว่างของหลินซีเป็นอะไรที่แสนเรียบง่ายและน่าเบื่อหญิงสาวพบว่าพี่ชายของเธอไม่กลับบ้านอีกแล้ว เรียกได้ว่าคอนโดห้องนี้แทบจะถูกเธอยึดครองอย่างสมบูรณ์แบบ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ เธอสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ มีพื้นที่ส่วนตัวและห้องเงียบสงบเป็นของตัวเอง ข้อเสียคือ เธอต้องรับหน้าที่เป็นผู้จัดการงานบ้านงานเรือนทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียวเอาเถอะ...ก็สมเหตุสมผลดีหลินซีก้มลงมองข้อความในโทรศัพท์ที่ถูกส่งมาจากคนรักของเธอ'หลินวันนี้ไม่ว่างนะ ต้องติวหนังสือต่อ ไว้วันหลังค่อยไปดูหนังด้วยกันนะ''ได้ พี่อย่าแอบอู้แล้วกัน''ครับผมมมมมมม'การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น เป็นเรื่องปกติสำหรับคู่รักของเธอ ธีร์เรียนแพทย์ บทเรียนต่างๆ ทั้งยากและยังต้องศึกษาอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะพี่ชายของเธอเองก็มีพฤติกรรมบ้าเรียนไม่ต่างกัน เธอจึงเข้าใจได้ ไม่ทำตัวงี่เง่าให้คนรักต้องทิ้งสิ่งที่เขาชอบเพื่อมาเอาอกเอาใจเธอหลินซีเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตเอาล่ะ...วันนี้เป็นวันว่างของจริงแล้วเธอกวาดตามองไ