นับตั้งแต่วันที่อาคมมาเป็นการ์ดส่วนตัว อีหนูก็ดูจะสงบเสงี่ยมมากขึ้นจนน่าสงสัย ตื่นเช้าไปเรียน แวะเที่ยวกับเพื่อนบ้างแต่ก็เป็นแค่การกินข้าวธรรมดาแล้วตรงกลับตึกมาให้ป๋าเอ็นดู เหล่าผู้มากวัยรู้ได้ทันทีว่าเจ้าตัวดีต้องวางแผนป่วนเอาไว้ แต่เลือกที่จะนิ่งเฉยเพื่อรอดูท่าที
แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด พอการ์ดสองคนนอกจากอาคมเริ่มชะล่าใจ อาทิตย์ต่อมาปัญหาเกิด มิทรี่ไปเรียนตามปกติพอถึงเวลากลับดันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย การหลบหนีของเด็กคนนี้นับว่าสูงจนน่าทึ่ง หากเป็นพวกวัยรุ่น แก๊งอันธพาล พวกผู้ดี(พอ)มีเงินจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแน่นอน แต่มันไม่ใช่กับมืออาชีพอย่างพวกเขา “วันนี้คุณหนูสลัดการ์ดอีกแล้วครับ แต่ยังอยู่ในเขตของเรา ช่วงค่ำๆ น่าจะกลับมาที่ตึก” หนุ่มไทยร่างสูงใหญ่ ยืนรายงานเจ้านายหลังโต๊ะทำงานอย่างนอบน้อม เสียงพลิกเอกสารกับแอร์เย็นฉ่ำ ชวนให้รู้สึกกดดัน ยิ่งเวลาทำงานผิดพลาดความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเท่าทวี การ์ดสองคนก้มหน้าตัวหดเหลือสองนิ้ว ในขณะที่อาคมยังคงนิ่งขรึมเช่นเดิม “ครั้งที่หกแล้วใช่มั้ย” ไนท์ที่ยืนเป็นเลขาเลิกคิ้วถามขึ้น อาคมพยักหน้าตอบรับแบบง่ายๆ “ครับ” ปึก! เสียงปิดแฟ้มให้สองการ์ดใจกระตุกวูบ ลูเซียสเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองก่อนเท้าคางยกยิ้มมุมปากเหมือนจะพอใจมากกว่าโกรธ สองการ์ดเลยหายใจหายคอได้สะดวก “จิ้งจอกซนซะจริง คิดเหรอว่าประท้วงแบบนี้จะช่วยอะไรได้” “จะเอาไงต่อบอส ช่วงนี้เสี่ยนั่นเริ่มจะเคลื่อนไหวก่อกวนเราหนักข้อขึ้น ฉันคิดว่า...” ไนท์ไม่ทันพูดจบประโยค บอสใหญ่ยกมือดักไว้ก่อน “นายจะบอกว่าเด็กนั่นอาจเป็นเป้าหมายของพวกมันสินะ” น้ำเสียงเรียบเฉยราวกับกล่าวถึงคนที่ไม่มีความสำคัญ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ติดเด็กจะเป็นจะตาย มือหนาวางบนโต๊ะไม้เนื้อดี นิ้วยาวขึ้นข้อชัดเจนดูแข็งแกร่งเคาะโต๊ะเป็นจังหวะพลางครุ่นคิด ก่อนจะเอนกายพิงพนักอย่างผ่อนคลาย ทุกคนเลือกที่จะเงียบเพื่อรอคอยคำตอบ “ไม่ต้องทำอะไร แค่คอยจับตาดูไว้ก็พอ มีอันตรายถึงชีวิตค่อยเข้าไปช่วย คงถึงเวลาที่เด็กน้อยจะได้รับบทเรียนราคาแพงสักที” ท้ายประโยคกดเสียงต่ำ บรรดาลูกน้องพากันขนลุกซู่ ความเด็ดขาดเย็นชาเปี่ยมไปด้วยอำนาจคือสิ่งที่ลูกน้องทุกคนรู้ดียิ่งกว่าใคร ไนท์กลอกตาไม่แปลกใจกับคำตอบของลูเซียส ฝั่งอาคมในใจลึกๆ ก็นึกค้านเพราะยังไงเสียเด็กคนนั้นก็เป็นเพียงแค่เด็กธรรมดาที่โชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธคำสั่งจึงรับคำโดยดี การเป็นเด็กมาเฟียไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งบอสถูกใจขนาดนี้ มีแนวโน้มว่าจะเลี้ยงดูในระยะยาว ยังไงก็ต้องรู้ถึงสถานะของตัวเองเอาไว้บ้าง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวมิทรี่เอง การกระทำเอาแต่ใจมีแต่จะทำให้ตายไวขึ้นเท่านั้น ระหว่างที่ทางนี้กำลังพูดคุยกันด้วยบรรยากาศอึมครึม อีกด้านเหมือนหนังคนละม้วน เด็กน้อยผู้เป็นเป้าหมายยังคงเที่ยวเล่นไม่รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา ยามถึงเวลากลับ เจ้าตัวนึกแปลกใจที่ไม่มีการ์ดคนไหนมาตามตัวอย่างทุกที ใจพาลนึกไปว่าคงจะเริ่มเอือมระอากับเด็กแบบเขาแล้วมั้ง ผมสลัดความคิดไร้สาระในหัวทิ้ง เดินเข้าตึกขึ้นไปยังห้องลูเซียสเมินเฉยต่อสายตาแปลกๆ จากเหล่าชายชุดสูท ต่อให้ไม่มีวิชาอ่านใจก็เดาออก คนพวกนี้คงกำลังดูถูกผมอยู่หรือไม่ก็เวทนาสงสาร ซึ่งผมไม่ต้องการความรู้สึกพวกนั้น ดูถูกแล้วยังไง สงสารแล้วทำไม เห็นมานักต่อนักแล้ว แค่ความรู้สึกมันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ สิ่งที่จะช่วยได้คือเงินต่างหาก ลิฟต์เปิดออก เผยทางเดินและห้องรับรองขนาดย่อม ประตูไม้แบบสองบานอยู่เบื้องหน้า ผมเปิดแง้มฝั่งหนึ่งแทรกตัวเข้าไปพบกับความเย็นของแอร์ที่แตกต่างจากอุณหภูมิด้านนอกเหมือนอยู่คนละโลก กลิ่นบุหรี่เจือจางคละเคล้ากลิ่นเหล้าดีกรีแรงดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของที่นี่ไปแล้ว “เที่ยวเล่นสนุกมั้ย” ดวงตาสีอ่อนหันไปตามต้นเสียง ร่างกำยำนั่งเอนกายเหยียดขาสบายบนเก้าอี้ตัวยาวสุดนุ่ม ความรู้สึกหมั่นไส้พุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ก็งั้นๆ” ตอบแบบไว้ตัวเรียกเสียงหัวเราะทุ้มในลำคอ เจ้าบ้านกระดิกนิ้วเรียกให้เข้าไปหา ถึงเวลาที่ผมต้องทำหน้าที่ของตัวเอง… เสียงครางแผ่วดังสะท้านในห้องกว้าง ลูเซียสไม่เคยเลือกที่ นึกพอใจตรงไหนก็ทำตรงนั้น ร่างสูงเพรียวโยกขย่มอยู่บนกายหนา กางเกงสแล็คถูกถอดทิ้งบนพื้น ท่อนบนยังคงเป็นเสื้อนศ.หลุดลุ่ย กระดุมทุกเม็ดโดนปลดออกเผยแผงอกขาวเนียนปรากฏรอยจูบแดงประปราย สะโพกสอบมีแต่รอยแดงของนิ้วมือ “ฮ้า...ขอพักหน่อย” “ฮืมม พักสิ” ปากบอกอนุญาตแต่พลิกกายมาอยู่ด้านบนทั้งยังสอดคา สองแขนแกร่งช้อนข้อพับขาให้เปิดกายรองรับอีกครา อีกครา และอีกครา...ผลสุดท้ายอีหนูผู้น่าสงสารก็ถูกใช้งานจนหมดแรง นอนหอบหายใจเหนื่อยอ่อนอยู่บนเก้าอี้ ลูเซียสฟื้นพลังจูบหนักๆ ที่ลำคอขาวแล้วกัดดูดจนเป็นรอยจ้ำแดง “ให้เวลาพักสองชั่วโมง ฉันจะกลับไปทำงานต่อ” สิ้นคำก็เดินตัวปลิวเข้าห้องทำงานไป ทิ้งซากแห่งกามอารมณ์ไว้เบื้องหลัง ผมผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ ยกมือเสยผมชื้นเหงื่อที่ปรกหน้า สองชั่วโมงงั้นเหรอ ยังไม่พอที่จะขยับตัวออกจากตรงนี้ด้วยซ้ำ! ท่าทางนิ่งเฉยเหมือนไม่โกรธเคืองเรื่องที่ผมสลัดการ์ดเป็นว่าเล่น แต่มาเอาคืนทบต้นทบดอกแบบนี้มันชวนกระอักตายเป็นบ้า พรุ่งนี้ไม่มีเรียนด้วย ถูกขังอยู่ใต้ร่างลูเซียสทั้งวันแน่นอน รู้งี้เที่ยวให้เต็มอิ่มก่อนกลับมาก็ดี “หมดสภาพเลยสิ” คนที่กล้ากล่าววาจาเยาะเย้ยเด็กบอสใหญ่แบบนี้ ทั้งตึกมีอยู่คนเดียวเท่านั่นแหละ “ว่างงานแล้วเหรอถึงมาทับถมกันได้คุณมือขวา” อ่า...เหนอะหนะไปทั้งตัวโดยเฉพาะช่วงล่าง อยากอาบน้ำแต่ไม่มีปัญญาลุกไป ผมนอนหงายยกแขนก่ายหน้าผากหันมองไนท์ที่เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มปึกหนึ่ง ความอายมันหายไปตั้งแต่ลูเซียสเล่นหนังสดต่อหน้าลูกน้อง ช่างเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง เรียกง่ายๆ ว่าหน้าหนาหน้าทนดีจริงๆ “ว่างที่ไหน โดนกินจนสมองเลอะเลือนรึไง” เลิกคิ้วมองเหมือนผมเป็นพวกไม่เต็ม น่าโมโหทั้งเจ้านายและลูกน้อง “เอ้า เช็ดตัวซะ” ยังมีแก่ใจวางแฟ้มเดินไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำมาโยนให้ผม ความใจดีเล็กๆ ของเขาล่ะ “ไม่คิดจะช่วยกันหน่อยเหรอ” รับผ้าขนหนูมาเช็ดตามตัวปิดท้ายตรงหว่างขากับด้านหลัง แม้ไม่ดีเท่าอาบน้ำแต่ก็ยังดีกว่านอนเลอะอยู่ที่เดิม ไนท์กวาดสายตามองร่างผม ผงกหัวขึ้นลง “เอาตามตรงนะ หุ่นนายนับว่าใช้ได้ ไม่แปลกที่ลูเซียสจะถูกใจ แต่พอดีว่าไม่ใช่สเปกฉัน” โบกมือเหมือนไล่ตัวเหลือบไร เจ้าตัวคว้าแฟ้มเดินเข้าไปในห้องทำงาน จังหวะที่ประตูเปิดออก ใบหน้าคมเข้มอย่างคนต่างชาติ แสยะยิ้มให้ผมก่อนถูกบดบังด้วยประตูตามเดิม แสดงว่าที่ผมคุยกับไนท์คงจะได้ยินหมดทุกอย่าง เอาล่ะ เตรียมตัวเตรียมใจรับศึกหนักอีกสองชั่วโมงให้หลังได้เลย ช่วงเวลาที่อีหนูโดนลงโทษ ไม่ต่างจากสรวงสวรรค์ของเหล่าการ์ดผู้อับโชค ทำงานมาหลายปีดีดัก ไม่เคยปวดหัวเท่าตามดูแลวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่พวกเขาไม่สามารถแตะต้องหรือทำอะไรได้เลย ให้ไปฆ่าคนยังสะดวกใจกว่า ผมโดนขย้ำจมเตียง ไนท์ไม่ยื่นมือมาช่วยใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเข้าใจว่านี่คือบทลงโทษจากความซุกซนของผม วิธีการของลูเซียสไม่ทำให้เจ็บตัวแต่ทรมานแทบขาดใจ กินบ้างไม่กินบ้าง ตอดเล็กตอดน้อย บางครั้งเวลาทำงานช่วงพักดื่มกาแฟก็มาแหย่ผมที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียง นึกคึกหน่อยก็อุ้มเอาไปทำงานด้วย มีอย่างที่ไหนให้ผมสวมชุดคลุมอาบน้ำนั่งตัวสั่นสะท้านเพราะโดนรังแกอยู่บนตัก ส่วนตัวเองตรวจเอกสารสบายใจเฉิบ ไนท์หมั่นไส้จนเกือบจะสาดกาแฟที่พี่อาคมชงมาเสิร์ฟใส่หน้าบอสตัวเอง ถามว่าพอผมหลุดพ้นจากห้วงเวลาแห่งความทุกข์ตรมจะสำนึกไหม ตอบเลยว่าไม่! ผมยังคงสลัดการ์ดทิ้งเป็นว่าเล่นเหมือนเดิม จนพักหลังรู้สึกเหมือนมีใครคอยเฝ้ามองการติดตามของผมตลอด ทีแรกเข้าใจว่าเป็นคนของลูเซียส แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ใช่ คนพวกนั้นมักถอยห่างทันทีที่ผมมีพี่อาคมประกบอยู่ข้างกาย และจะโผล่มาช่วงผมอยู่ตามลำพัง ดูท่าว่าคำสาปของการเป็นอีหนูมาเฟียจะเริ่มสำแดงฤทธิ์ ไม่ว่าคนพวกนั้นต้องการอะไร ต้องไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมและลูเซียสแน่ ด้วยเหตุนี้ แม้ผมจะสลัดการ์ด แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในอาณาเขตของลูเซียสตามที่พี่อาคมพูดกรอกหูมา เจ้าตัวเคยเปรยๆ เอาไว้ว่าหากเกิดเหตุไม่ชอบมาพากล ให้ผมวิ่งเข้าไปในผับหรือกิจการใดก็แล้วแต่ของพวกเขาซะ ไม่รับประกันว่าจะรอดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยของผม แล้วสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานตอนนี้ผมควรจะทำยังไงดี ผมกำลังวิ่งสี่คูณร้อยอยู่ในตรอกซอยใกล้กับผับของลูเซียส เพราะอยู่ในช่วงกลางวันผับเลยยังไม่เปิด คนก็น้อยจนน่าใจหาย จะหนีไปทางอื่นก็ไม่ทันแล้วด้วย ผมจำได้ว่าตัวเองไม่ได้สลัดการ์ดทิ้งไว้ไกลนะ ทำไมคนพวกนั้นถึงยังหาตัวผมไม่เจออีกล่ะ จะย้อนกลับทางเดิมก็ถูกดักหมด การซ่อนตัวอยู่เฉยๆ ก็ไม่ต่างจากเป้านิ่ง สมองหมุนเร็วจี๋ คิดหาวิธีเอาตัวรอดสุดกำลัง สองขายังวิ่งไม่หยุดพัก เสียงฝีเท้าดังไล่หลังเข้ามาใกล้ทุกขณะ ตัวผมเริ่มหนักอึ้ง หยาดเหงื่อไหลชโลมกายจนปอยผมเปียกลู่แนบใบหน้า สภาพร่างกายของผมไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเพิ่งผ่านศึกกับลูเซียสมาไม่กี่วัน ผมวิ่งลุยฝ่ากองขยะ ผลักแผ่นไม้ลังกระดาษที่วางพาดไว้ให้ล้มลงมาขวางทาง ชะลอพวกนั้นให้ถึงตัวผมช้าลงสักหนึ่งวิก็ยังดี อะไรใกล้มือจับขว้างแบบไม่หันหลังมอง เหล่าชายฉกรรจ์ใช้แขนปัดขยะพวกนั้นทิ้งอย่างไม่ไยดี ดวงตาจ้องแผ่นหลังที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้าด้วยความหงุดหงิด เจ้าเด็กบ้านี่มันวิ่งไวอย่างกับจรวด แถมยังรู้ซอยเล็กซอยน้อยเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะพยายามต้อนให้จนมุมยังไงก็รอดออกไปได้เสมอ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งมาว่าให้จับเป็น พวกเขาคงควักปืนมายิงทิ้งให้มันรู้แล้วรู้รอด การจับตัวจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด โอกาสที่ได้รับมาอย่างยากเย็นนี้ต้องทำให้สำเร็จ หากพลาดนั้นเท่ากับอีกฝ่ายไหวตัวทัน คิดจะลักพาตัวหลังจากนั้นคงยากขึ้นเป็นสิบเท่า สายตาเหลือบเห็นเศษอิฐริมกำแพงด้านหน้า พลันเกิดความคิดบางอย่าง เขาหยุดวิ่งให้ลูกน้องนำหน้าไปแล้วหยิบอิฐก้อนนั้นขว้างใส่เป้าหมาย แม้จะไม่โดนเต็มๆ อย่างที่หวัง แต่ก้อนหินลอยเฉียดขาทำให้การวิ่งสะดุดลงชั่วขณะ จังหวะนั้นเองเหล่าลูกน้องโถมกายกระโจนรวบตัวจนร่างเพรียวล้มกระแทกพื้น คนโดนชาร์จใส่ยกแขนกันหัวตามสัญชาตญาณ ความเจ็บร้าวไล่ตามตามท่อนแขนจนถึงหัวไหล่ เสียงร้องโอดโอยไม่ได้รับความสนใจ แขนทั้งสองข้างถูกจับไขว้หลังมัดด้วยเชือก “หนีเก่งนักนะ” ท่อนขาหนักซัดเข้ากลางท้องระบายความหงุดหงิด จุกจนสมองตื้อคิดอะไรไม่ออก ได้แต่สำลักอากาศคายน้ำลาย นอนกองลงกับพื้น “ปิดปากแล้วเอาตัวมันไป เสี่ยรอนานแล้ว” หัวหน้าตะโกนสั่งลูกน้องจัดการใช้ผ้ามัดปากแบกขึ้นบ่าเดินออกจากซอกโดยให้อีกคนคอยดูต้นทาง หลังมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำของพวกเขา รถตู้ที่ถูกจอดรอไว้อยู่เปิดประตูออกรับทุกคนออกจากสถานที่นั้น หารู้ไม่ว่า ทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนคนหนึ่งตลอด มือหยิบโทรศัพท์กดโทรออก รอจนสัญญาณรอสายเงียบไปจึงเปิดปากรายงาน “ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณไนท์คำนวณไว้ครับ พวกมันลงมือทันทีที่พวกเราออกห่าง” /ดี สะกดรอยตามไป จำไว้ หากยังไม่ถึงตายห้ามเข้าไปช่วยจนกว่าฉันจะไปถึง/ เสียงทรงอำนาจดังลอดมาตามสาย บอส คุณช่างเด็ดขาดและเลือดเย็นจริงๆ “ทราบแล้วครับ” อาคมรับคำส่งสายตาให้ขับรถตามไป รอจนกระทั่งอีกฝ่ายวางสายถึงเก็บมือถือพลางยกมือนวดหว่างคิ้ว “ยาพาราสักเม็ดมั้ยครับ” ลูกน้องที่นั่งข้างคนขับหันมาถามคนตำแหน่งสูงกว่าด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้อง...เฮ้อ ฉันคงไม่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าการ์ดเท่าไหร่ ดันใจอ่อนเป็นห่วงเด็กคนนั้น” สองการ์ดยิ้มออกมา คนขับมองผ่านกระจกหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพเทิดทูน “ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เท่าคุณอาคมหรอกครับ” อีกฝ่ายที่เป็นดั่งอาจารย์ของพวกเขาทุกคน เอาใจใส่ลูกน้อง ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด เคร่งขรึมสมเป็นผู้นำ “ใช่ๆ ผมว่าลูกพี่หลงกับลูกพี่ไมค์เองก็คิดแบบเดียวกัน จะว่ายังไงดี เด็กคนนั้นมีเสน่ห์แบบแปลกๆ ไม่ใช่เรื่องอย่างว่านะครับ!” เขาไม่กล้าคิดแบบนั้นกับเด็กของบอสใหญ่ เขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ เพื่อไม่ให้ความหมายดูอันตรายเกินไป เขาเลยเสริมอีกประโยค ”ถ้าให้อธิบาย คงชวนให้รู้สึกเอ็นดู...มั้งครับ” คนขับพยักหน้าเห็นด้วย อาคมมองตาปริบๆ หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยามนึกถึงเด็กจอมซน ทั้งที่ปกติเป็นคนยิ้มยาก ก่อนแววตาจะเปลี่ยนเป็นคมกริบ บรรยากาศจริงจังที่แผ่ออกมาทำให้สองการ์ดไม่กล้าพูดเล่นต่อ นั่นสินะ... คนประเภทเดียวกัน มักดึงดูดกันเอง ในบรรดาลูกน้องทุกคนของบอสส่วนใหญ่มีอดีตไม่ค่อยดีนัก อย่างหลงกับไมค์ ลูกศิษย์สองคนแรกของเขาที่สอนวิชาการต่อสู้และถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตให้ ทุกวันนี้อาคมยังจำวันแรกที่เจอสองคนนั้นได้ดี “เจ้าเด็กสองคนนั้นกลับมาวันนี้ บอสคงให้พวกนั้นลงมือด้วย พวกเราเองก็ต้องทำส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ตามต่อไป อย่าให้อีกฝ่ายรู้ตัว หากทำงานพลาด คงจะรู้นะว่าต้องเจอกับอะไร” “ครับ!!” สองการ์ดกลืนน้ำลายอึก ในความใจดีมีความโหดเหี้ยมซ่อนอยู่ ไม่เช่นนั้นคงเป็นหนึ่งในคนที่บอสใหญ่ไว้ใจไม่ได้ แต่เพราะแบบนั้นแหละที่ทำให้พวกเขาชื่นชมมากกว่าเดิม อาคมออกอาการเอือมเล็กๆ กับสายตาระยิบระยับที่กำลังเจอ เขายังคงจับจ้องไปยังรถคันหน้าเขม็ง แข็งใจไว้นะเจ้าหนู...‘ดาวิดอฟ เฟรคดริก คอลลินส์’ หรือ ‘เดฟ’ คือชื่อของผม ผมเกิดที่รัสเซีย เป็นลูกคนเล็กมีพี่ชายพี่สาวอย่างละคน จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งด้านโภชนาการที่มอสโก เรื่องรูปร่างหน้าตาก็ปกติธรรมดา(?) ไม่มีส่วนไหนขาดเกิน เส้นผมสีทองเหลือบเงิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียว ผิวขาวจัดแม้ตอนนี้จะเริ่มคล้ำจากแดดในเมืองไทยก็ตาม ส่วนสูงก็...193 cm. สิ่งที่ชอบคืออาหารอร่อย ดอกไม้และคนฉลาด ผมเกลียดพวกไม่รู้คุณค่าของอาหาร กินทิ้งกินขว้างกับคนโง่มากที่สุด อาหารที่ถนัดคือ ซุปโบร์ช (Borshch) , โปลฟ (Pilaf) , ไก่เคียฟ (Chicken Kiev) อาหารรัสเซียและอาหารฝรั่ง ตอนนี้มีความสนใจอาหารไทย ปัจจุบันอายุ 25 ปี ทำงานให้กับบอสลูเซียส มิไรฮอฟ ตระกูลเก่าแก่ที่มีอำนาจมากมายจนน่าตกใจ ถามว่ามาทำงานให้บอสได้ยังไงเหรอ? เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังเรียนจบได้ผลการเรียนที่น่าพอใจ ผมถูกจองตัวจากหลายโรงแรมมีชื่อในมอสโก แต่ผมชอบทำอาหารให้คนที่รักการกินมากกว่าทำเพื่อเอาหน้าตาเลยปฏิเสธงานเหล่านั้นไป แล้วเลือกมาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งแทน ร้านนี้มีความเข้มงวดสูงมาก ไม่
ภายใต้ความหอมหวานของอำนาจ คือความเน่าเฟะที่น่ารังเกียจ... เมื่อพ่อให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นอันดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่พ่อจะแต่งงานกับแม่เพื่อผลประโยชน์ ทั้งที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว ก่อนจะพาคนรักเข้ามาหลังจากที่แม่ตรอมใจตาย ฟังดูเหมือนพล็อตของบทละครน้ำเน่า แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนอิงมาจากชีวิตจริง เขาเกลียดชังพ่อ รังเกียจผู้หญิงคนนั้น และขยะแขยงครอบครัวของตัวเอง เลยตัดสินใจเข้าโรงเรียนประจำ พอปิดเทอมหากไม่เที่ยวก็หางานพิเศษทำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็ใช้ทรัพย์สินจากพินัยกรรมของแม่ผ่านทางผู้ดูแลที่แม่เลือกมาด้วยตัวเอง ต่อมา เขาสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ติดอันดับหนึ่งของรุ่นจนเรียนจบแล้วเริ่มทำงานจากตำแหน่งระดับล่าง กระทั่งบรรจุเข้าหน่วยปราบปรามและพบลูเซียสระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ลูเซียสในตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มก่อตั้งแก๊ง มีคนติดตามอยู่ไม่กี่คนและเกิดสนใจฝีมือของเขาขึ้นมา เลยยื่นข้อเสนอให้มาทำงานด้วยกัน แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ ไม่ใช่ว่ารักในอาชีพของตัวเอง แต่เขาไม่เคยมีความคิดที
ชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง มีเรื่องที่เสียใจหนักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง เรื่องแรกคือการจากไปของพ่อแม่ด้วยวัยชรา เรื่องที่สองคือความล้มเหลวในฐานะหัวหน้าครอบครัว ระหว่างที่ผมเป็นทหารทำตามความตั้งใจของตัวเองก็ทิ้งลูกเมียไว้ด้านหลังโดยไม่นึกถึงใจของคนเฝ้ารอ กระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาที่แต่งงานกันมาหลายปีเป็นฝ่ายขอหย่า เธอร้องไห้ พร่ำบอกว่าขอโทษที่อดทนรอต่อไปไม่ได้ เธอเข้าใจความต้องการของผม แต่เธอที่มีลูกอ่อนก็ต้องการได้รับการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน ผมไม่เคยโทษเธอเลยที่เริ่มมองหาผู้ชายที่ดีกว่า ดังนั้นผมเลยดึงเธอเข้ามากอด ลูบผมเบาๆ พร้อมกระซิบปลอบโยนเธอว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง ‘ชนิศา’ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง การที่เธอเลือกทางนี้แสดงว่าทุกอย่างมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่อาจฝืนอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ผมเลยยอมรับการตัดสินใจของเธอ และมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูให้เธอไป หลังจากนั้นไม่กี่ปีผมก็ลาออกจากราชการทหารเพื่อหางานที่มีรายได้มากกว่าส่งเสียให้ลูกชายได้เรียนโรงเรียนดีๆ ระหว่างนั้นก็ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว วันไหนผมมีวันหยุดก็จ
ผมเกิดในซ่อง เติบโตในสลัม มีแม่เป็นโสเภนีที่หลังจากคลอดผมเสร็จก็เอาผมไปทิ้งแถวถังขยะ ก่อนที่คนจรจัดเก็บไปเลี้ยงดูด้วยหวังว่าจะให้ผมดูแลเขาต่ออีกที แต่เขาไม่ได้มอบความรักความเอาใจใส่อย่างที่คนใจบุญพึงกระทำ เพราะเขาเลี้ยงผมเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ถ้ามีอาหารเหลือพอก็จะโยนให้ผมกิน พอแค่ผมไม่ตายไปก่อนที่จะได้ใช้งานเท่านั้น จนบางทีผมก็สงสัยว่าความตายอาจจะดีกว่ารึเปล่า ไม่ต้องทนอดอยากหิวโหย โดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ผมเคยคิดที่จะตายอยู่หลายครั้ง หากไม่ติดว่าคนจรจัดที่เก็บผมมาเลี้ยงจะช่วยผมไว้ทันตลอด แล้วจัดการลงโทษอย่างหนักเมื่อผมพ้นขีดอันตราย ให้อดข้าวบ้าง จับขังบ้างหรือบางทีก็โดนซ้อมเป็นเครื่องระบายอารมณ์ แน่นอนว่าการรักษาแต่ละครั้งไม่ได้ไปหาหมอในโรงพยาบาล แต่เป็นหมอเถื่อนที่ไม่มีใบรับรองแถวสลัม ไม่ก็รักษาเอาตามมีตามเกิด และผมดันดวงแข็งจนรอดมาได้เสียทุกครั้ง จะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็แสนลำบาก สุดท้ายได้แต่ฝืนทนกับสิ่งที่เป็น กระทั่งอายุหกปี ชายแก่ที่เลี้ยงดูผมดันไปขัดขานักเลงวัยรุ่นเข้า เลยถูกพวกนั้นซ้อมอย่างคึกคะนอง เสียงตาแก่โหยหวนด้วยความเจ็บปวด ผสมเสียงตุบต
เรื่องราวต่อจากนี้เป็นเรื่องหลังจากที่ผมเรียนจบมหา’ลัย กรุณาอย่าถามถึงเกียรตินิยม แค่ผมเรียนจบได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ส่วนเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่การงานของตัวเอง ตัวผมเองก็เช่นกัน เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับลูเซียส แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เกิด ย่อมเห็นตื้นลึกหนาบางจนหมดสิ้น เลยอยากให้ผมที่มีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเองหลีกหนีให้ไกลจากมันที่สุด แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่ผมเลือกทำงานไซด์ไลน์และกลายเป็นเด็กเลี้ยงของลูเซียส ตัวผมก็ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการนี้ครึ่งตัวแล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือก ลูเซียสเลยสั่งให้ผมเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารเพื่อมาช่วยดูแลธุรกิจที่ไทยแทน ซึ่งงานนี้ลูเซียสให้ผมเรียนต่อที่รัสเซีย ทุกคนเลยถือโอกาสนี้กลับรัสเซียกันยกทีม เหลือแค่พวกการ์ดอยู่เฝ้าตึกจำนวนหนึ่งเท่านั้น เรื่องพ่ออย่าไปพูดถึง ล่าสุดเห็นว่าออกจากคุกแล้ว แต่จะไปทำอะไรที่ไหนอยู่ยังไงผมไม่สนเพราะอยู่กันคนละประเทศ ส่วนแม่ผมไม่ต้องเป็นห่วง ปัจจุบันร่างกาย
คุณคิดว่าคนคนหนึ่งจะทำเรื่องราวซ้ำๆ กันทุกวันโดยไม่เบื่อได้รึเปล่า ผมคิดว่าได้แต่ยาก เพราะต่อให้กินข้าวอาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม ระหว่างนั้นก็ยังต้องมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาในชีวิตบ้าง อย่างการเปลี่ยนเมนูอาหาร ลองเปลี่ยนกลิ่นสบู่หรือแชมพูใหม่ ดังนั้นไม่แปลกที่มนุษย์จะสรรหาความแปลกใหม่แม้มันจะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตาม อย่างในโซเชียลตอนนี้ ไม่รู้เริ่มฮิตวันป๊อกกี้เดย์ตามประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีผมก็เห็นของพวกนี้ตามมาหลอกหลอนแล้ว แต่บังเอิญว่าผมไม่สนใจ ความคึกคักของเทศกาลนี้เลยถูกผมลืมเลือนไปซะสนิท เพิ่งจะนึกขึ้นได้ตอนเห็นภาพย้อนหลังวันนี้นี่แหละ มิน่าล่ะทำไมเมื่อวานพี่โทริถึงซื้อป๊อกกี้มาให้ หนึ่งในนั้นมีรสมะพร้าวของโปรดผมที่กินหมดไปตั้งแต่เมื่อวาน จะเหลือก็แค่ป๊อกกี้รสดาร์คช็อกที่คาดว่าอยากจะให้ใครบางคนแต่ไม่กล้าเลยต้องส่งผ่านผม ไหนๆ ก็ไหนๆ ป๋าทำงานเครียดๆ ผมควรทำหน้าที่อีหนูที่ดี เป็นลูกชายชั้นยอดด้วยการเข้าไปป่วน แฮ่ม! เข้าไปผ่อนคลายอารมณ์ป๋าดีกว่า “พี่อาคม ป๋าไม่ได้ทำงานสำคัญอยู่ใช่มั้ย” ผมกระซิบถามพี่อาคมท