ผมทำหน้าที่ ‘เด็กป๋า’ มาได้สองอาทิตย์แล้ว มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือ ไม่มีอีหนูคนไหนทำงานหนักเท่าผมอีก...
ปัง!
“ไอ้บอสเวร!!” ไนท์เปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ใช้เท้าถีบประตูอย่างแรงตวาดเรียกบอสเป็นภาษารัสเซียด้วยความหัวเสีย ภาพที่เห็นตรงหน้ายิ่งทำให้ความโกรธพุ่งทะลุปรอท
บนเตียงขนาดคิงไซส์ปรากฏร่างชายสองคนกำลังนอนหลับอุตุหลัง หลังเล่นกีฬาในร่มมาอย่างยาวนาน คนตัวใหญ่กอดคนที่แทบตัวแห้งหมดแรงตายจนเห็นเพียงหัวยุ่งๆ โผล่พ้นจากอ้อมแขนใต้ผ้าห่มผืนหนา เพราะอุณหภูมิในห้องที่เย็นจัดราวกับจะเปิดไว้เลี้ยงนกแพนกวิ้น
“มีอะไร” เจ้าของห้องส่งเสียงถามปรือตามองอย่างหัวเสียเพราะถูกขัดจังหวะฝันหวาน
“นี่แกเป็นได้ถึงขนาดนี้เลยหรือไง? โดนเด็กมันป้าย...อะไรนะ น้ำมัน...น้ำมันอะไรวะอาคม” คนด่าหาแนวร่วมเป็นบอดี้การ์ดที่เดินตามเข้ามาตามคำสั่งรองหัวหน้า เขาเป็นหนุ่มไทยร่างหนาผิวแทน ใบหน้าคมเข้มแบบคนไทย
“น้ำมันพรายครับคุณไนท์” หนุ่มใหญ่ตอบเสียงนอบน้อม
“เออ นั่นแหละ! น้ำมันพรายหรือไงหา?” ยังจะอุตส่าห์ต่อประโยคเดิมที่พูดค้างไว้ ก่อนด่ากราดต่ออีก “หลงขาอ่อนเด็กมันจนหน้ามืดตามัวงานการไม่ทำ” มือยกชี้หน้าหากไม่มีอาคมคอยรั้งไว้ได้มีรายการถีบบอสตกเตียงชัวร์ ส่วนคนฟังขมวดคิ้วอย่างรำคาญตอบหน้าตาย
“ฉันไม่ได้หลงขาอ่อนเด็กมันซะหน่อย ฉันหลงสะโพกต่างหาก”
“อ๊ากกกก! ฉันด่าให้นายสำนึกว้อย!!” ไนท์แทบพ่นไฟ
“นายก็รู้ว่าต่อให้ด่ายังไงฉันก็ไม่สน แล้วจะเปลืองน้ำลายไปทำไม? เอาเวลาด่าฉันไปทำงานของวันนี้แทนฉันดีกว่า” บอสใหญ่ยักไหล่สุดชิว ไม่สำนึกแถมโยนงานใส่หน้าลูกน้องดื้อๆ เพราะมัวแต่ติดอีหนูงอมแงม ถึงงั้นหากเป็นเอกสารจำเป็น หรืองานสำคัญลูเซียสยังคงเป็นผู้เซ็นและตรวจทานอยู่ดี ไนท์ลูบหน้าพรืดถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทะเลาะกับเด็กโค่งอายุขึ้นเลขสาม
“น้ำครับคุณไนท์”
อาคมช่างรู้ใจ เดินไปรินน้ำเปล่ามาส่งให้เจ้านายดื่มดับกระหายหลังตะคอกใส่บอสไปหลายยก ไนท์ไม่คิดปฏิเสธความหวังดี รับน้ำมาดื่มพยักหน้าให้เป็นเชิงขอบใจ
“วุ่นวายจริง วันนี้ฉันจะกลับไปทำงานก็ได้” ลูเซียสพูดตัดรำคาญ ไนท์ผ่อนลมหายใจถลึงตาใส่เป็นเชิงว่าคุณมึงควรจะรู้ตัวเองตั้งนานแล้ว
ผลคือลูเซียสเสด็จออกจากแท่นบรรทม ปล่อยอีหนูนอนหลับฟื้นกำลังต่อไป ส่วนตัวเองอาบน้ำเปลี่ยนชุดมานั่งทานมื้อเช้าฝีมือเชฟประจำตัว พอเสร็จนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่ง โต๊ะเบื้องหน้ากองสูงไปด้วยเอกสารเป็นตั้ง แม้บ้านเกิดเขาจะเป็นมาเฟียเต็มตัว แต่ที่นี่เขามาในมาดของนักธุรกิจเป็นหลัก พกลูกน้องผู้รับผิดชอบมาไม่กี่คนงานเลยเยอะจนน่าปวดหัว
“นายเรียกอาคมมาทำไม”
ลูเซียสพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีลูกน้องอีกคนยืนหัวโด่อยู่ในห้อง ไนท์ที่กำลังยืนคุมบอสทำงานเองทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ ช่างน่าเห็นใจอาคมที่ยืนเป็นรูปปั้นประดับด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“ฉันจะให้อาคมเป็นคนดูแลมิทรี่ นายคิดว่าไง”
ดวงตาคมดุตวัดมองลูกน้องคนสนิท นิ่งเงียบทำงานไปชั่วครู่จึงพยักหน้ารับ
“ดีเหมือนกัน ช่วงนี้เสี่ยนั่นมันชักจะลามปามกับธุรกิจของฉันมากเกินไปแล้ว เรื่องมิทรี่เป็นเด็กของฉันก็ไม่ได้ปิดบังอะไรด้วย”
ที่ลูเซียสพูดไว้ไม่ผิด มิทรี่น่าเป็นห่วงจริงเพราะเป็นเด็กที่ลูเซียสกำลังติดใจอยู่ช่วงนี้ ปกติเจ้าตัวนอนกับผู้หญิงและผู้ชายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่เคยมีคนไหนที่ได้ขึ้นตึกมานอนอยู่ในห้องพักส่วนตัวของตัวเอง คนนอกหากรู้เรื่องนี้ย่อมต้องใช้ประโยชน์จากมิทรี่แน่ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก แค่ข้อมูลน้อยนิดแค่ไหนหลุดไปก็สามารถสืบค้นปะติดปะต่อเป็นเรื่องสำคัญได้
บอดี้การ์ดทั่วไปไม่น่าจะดูแลไหว อาคมเป็นหนึ่งในคนที่มีฝีมือดีที่ลูเซียสและไนท์วางใจ การให้ไปดูแลมิทรี่ย่อมเป็นเรื่องเหมาะสม
“เลือกทีมทำงานอีกสองคนเอาเองแล้วกัน”
บอสใหญ่สั่งทับหลังเซ็นเอกสารไปอีกชุด อาคมโค้งกายรับ
“ถ้างั้นผมขอเดฟได้มั้ยครับ” ภายนอกดูจริงจังแต่แฝงความกวนอย่างลึกล้ำ ลูเซียสปรายตามองทั้งคนขอและผู้ถูกพาดพิงที่กำลังเก็บจานเตรียมอาหารสำหรับมิทรี่อยู่ห้องด้านนอก เสียงพูดคุยแม้จะไม่ดังแต่อยู่ในสถานที่เงียบกริบย่อมได้ยินไปถึงเดฟเป็นธรรมดา
“ไม่ได้ นายจะเอาพ่อครัวส่วนตัวฉันไปไหนฮะ จะให้เดฟใช้กระทะกันกระสุนให้มิทรี่รึไง”
คุณป๋ารับมุกลูกน้องอย่างที่น้อยนักจะทำ ระดับอาคมรู้อยู่ว่าเวลาไหนควรหรือไม่ควร ยามบอสพูดถึงเด็กคนนี้น้ำเสียงจะผ่อนคลายต่างจากปกติ แล้วยังยกมุมปากประดับรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาบ่งบอกว่าเจ้าตัวอารมณ์ดีมากแค่ไหน มากซะจนไนท์หมั่นไส้ อยากลักตัวอีหนูไปปล่อยจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าหลังจากนั้นบอสจะอาละวาดงอแงเหมือนเด็กที่โดนขโมยของเล่นละก็นะ
ในสายตาไนท์อาจจะเป็นแบบนั้น หากเป็นคนอื่นคงเหมือนปีศาจร้ายกำลังอาละวาดมากกว่า
“เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นผมขอเป็นไมค์กับหลง”
“สองคนนั้นไปทำงานให้ลูเซียสยังไม่กลับไทยนี่” ไนท์เลิกคิ้วถาม เจ้าสองหน่อนั้นนับเป็นทีมเดียวกับอาคม จะบอกว่าสามคนที่ฝีมือดีที่สุดก็ไม่ผิดนัก
“ใช่ครับ แต่อีกไม่กี่วันก็จะกลับมาแล้ว ระหว่างนั้นผมจะพาบอดี้การ์ดคนอื่นไปแทนชั่วคราว”
“เข้าท่าดี คนหนึ่งเป็นหมอ อีกคนเป็นนักฆ่า รวมนายอีกเด็กฉันคงถูกคุ้มครองดีกว่าบอสอย่างฉันแน่”
วาจาคล้ายจะประชด แต่สิ่งที่ลูเซียสคิดก็ความหมายตรงตัวนั่นแหละ อาคมทำเพียงแค่ยิ้มบาง ไม่อยากจะพูดเลยว่าลำพังคุณไนท์คนเดียวก็เหนือกว่าพวกเขาสามคนแล้ว นับรวมบอดี้การ์ดอีกทั้งตึก ยังไงบอสก็ยังได้รับการคุ้มครองอย่างแน่นหนารัดกุมที่สุดอยู่ดี
หลังรับหน้าที่ อาคมขอตัวไปเลือกการ์ดที่จะติดตามมิทรี่ไม่รบกวนเวลาทำงานของบอสและรองหัวหน้า พอๆ กับเดฟที่ตามออกไปเมื่อจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคุยกันถูกคอจนกระทั่งประตูปิดสนิท ลูเซียสยังคงปรึกษากับไนท์เรื่องธุรกิจที่ถูกคู่แข่งก่อกวนต่อ
เสียงจากด้านนอกดังลอดเข้ามาภายในห้องเหมือนเสียงงุ้งงิ้งของแมลงอะไรสักอย่าง คนที่เพิ่งได้นอนไม่นานจำต้องละจากหมอนนุ่มด้วยความหิวโหย หนุ่มลูกครึ่งบันตัวลุกผ้าห่มร่นลงจนถึงเห็นเผยร่างเปลือยเปล่าที่มีแต่รอยจูบทั่วตัว ยิ่งช่วงสะโพกกับบั้นท้ายมีแต่รอยแดงจากมือหยาบกร้าน
รู้สึกขัดปนแสบตรงช่วงล่าง ยังดีที่ลูเซียสปรานี ไม่สักแต่จะกินจนร่างพัง ส่วนใหญ่จะลวนลามจนแทบไม่ได้พักมากกว่า
ระหว่างผมกำลังทำกิจวัตรประจำวันของตัวเอง ผมขอเล่าหน้าที่ของอีหนูหน่อยแล้วกัน
หนึ่งวันของผมคือ ตื่นเช้ามาในอ้อมแขนของลูเซียส อาบน้ำแต่งตัวทานมื้อเช้าฝีมือเดฟ ก่อนไปเรียนโดยมีบอดี้การ์ดเป็นคนขับรถไปรับไปส่ง บางครั้งก็แวบร่อนกับพวกซันบ้างเล็กน้อย แต่ต้องอยู่ในสายตาของการ์ดตลอดเวลา ห้ามกลับบ้านดึก จนผมรู้สึกพิลึกในใจชอบกล สมัยก่อนท่องราตรีหาเงินเกือบทุกคืนนี่นะ
พอกลับถึงตึกต้องเข้าไปรายงานตัวกับลูเซียสก่อนเป็นอันดับแรก ปล่อยให้ป๋าลวนลามจนหนำใจ ผมถึงมีเวลาว่างเป็นของตัวเอง รื้อหนังสือบนชั้นหนังสือของลูเซียสมาอ่านบ้าง บางครั้งก็ไปป่วนเดฟในครัว นั่งเล่นแล็ปท็อปและมือถือที่คุณป๋าซื้อให้ใหม่เอี่ยมรุ่นล่าสุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของผมตอนนี้ ลูเซียสเป็นคนซื้อให้ทั้งหมดทั้งสิ้น ยกเว้นพวกตำราเรียน
พอลูเซียสทำงานเสร็จนั่งทานมื้อค่ำแล้วทำหน้าที่บนเตียง บางคืนลูเซียสมีงานติดพันหรือออกไปทำธุระข้างนอก ผมก็จะนอนเหมาเตียงคนเดียว
จากที่ตกลงกันไว้ ลูเซียสจะโอนเงินเข้าบัญชีผมวันที่หนึ่งของทุกเดือน ลำพังสองอาทิตย์ผมใช้ไปแค่ไม่กี่พัน ส่วนใหญ่ลอบส่งไปให้แม่จนหมด โดยมีไนท์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ถึงยังปิดบังลูเซียสได้จนถึงทุกวันนี้
ตัวผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูเซียสจะเบื่อผมเมื่อไหร่ หากวันนั้นมาถึงผมคงจะต้องกลับไปทำแบบเดิม ไนท์เองก็คงไม่ยุ่งกับเด็กอย่างผม
ผมถอนหายใจ ไม่ว่าลูเซียสจะเบื่อผมตอนไหน ช่วงที่ยังชอบอยู่ต้องกอบโกยให้เต็มที่เพื่ออนาคตอันสดใส
“เดฟทำอาหารไม่ถูกปากหรือไง ถึงได้กินไปถอนหายใจไป”
เสียงที่ผมคุ้นจนไม่รู้จะคุ้นยังไงมาพร้อมสัมผัสจากมือหนาวางปุบนหัวผม ลูเซียสเป็นพวกมักมาก ลีลาดี มีอะไรแต่ละทีถึงใจจนแทบกลั้นใจตายก็จริง ถึงงั้นทุกครั้งลูเซียสไม่เคยเล่นแผลงๆ หรือทำผมเจ็บตัวเลยแม้แต่น้อย เว้นฟ้าเหลืองเพราะถูกรีดน้ำเกินขนาด ลำบากไนท์ต้องมาจับแยกผมไปอยู่อีกห้องวันหนึ่งเพื่อพักฟื้น หลังจากนั้นลูเซียสเลยเพลามือลงเยอะ คงหูแฉะจากการโดนไนท์เทศนา ช่างเป็นผู้ชายที่จู้จี้ขี้บ่นอย่างที่ลูเซียสบ่นอยู่เป็นประจำ
“พี่เดฟทำอาหารอร่อยอยู่แล้ว ทำของโปรดมาให้อีกต่างหาก นี่ผมคิดว่าจะไปขอเพิ่มอยู่”
ผมสุภาพกับลูเซียสมากขึ้น หลังรับรู้ความจริงว่าอายุของลูเซียสนั้น...รุ่นพ่อ ส่วนเดฟก็เรียกแทนว่าพี่เพื่อความสนิทสนมเพราะผมคงต้องเข้าไปรบกวนเขาในครัวอีกนาน
“หรือที่มหา’ลัยมีปัญหา” เจ้าตัวนั่งลงตรงข้าง ผมเดินไปที่บาร์รินเหล้ามาเสิร์ฟอย่างรู้หน้าที่ คุณป๋ายิ้มอย่างพึงพอใจ เด็กมันฉลาดช่างเอาใจแบบนี้ไงเขาถึงถูกใจนักหนา ไนท์มันไม่เข้าใจเลยสักนิด
ผมว่าลูเซียสคงพักชั่วครู่หลังทำเอกสารจนตาแฉะ พี่ไนท์เองคาดว่ากำลังจัดเอกสารอยู่ในห้องทำงาน
“ทุกอย่างปกติดี ผมแค่กำลังคิดว่าถ้าป๋าเบื่อผมจะวางแผนใช้ชีวิตยังไงต่อไปดี”
สิ้นคำลูเซียสวางแก้วเหล้านอกดีกรีสูงเลิกคิ้วมองอย่างพิศวง
“จะรีบคิดไปทำไม ในเมื่อทุกวันนี้ฉันก็ยังพอใจในตัวเธออยู่”
“มันก็ใช่ ก็แค่คิดเผื่อไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรมากหรอก” แม้จะยอมอ่อนลง แต่ความห้วนของวาจายังคงเดิม
“งั้นเอาแบบนี้ ต่อให้ฉันเบื่อเธอ ฉันจะส่งเสียให้เงินเธอตามปกติ ไว้โตพอทำงานได้ค่อยเอาเงินมาคืนฉัน แน่นอนว่ามีดอกเบี้ยหรือไม่ก็มาทำงานกับฉันซะ”
ลูเซียสแบมือสองข้างราวกับว่าปัญหาแค่นี้ง่ายนิดเดียว กับเขามันง่ายสิ กับผมที่ไม่มีต้นทุนชีวิตอะไรเลยเนี่ยมันยาก! เอาเถอะ หลังจากอยู่มาสักพัก ผมพอจะรู้ว่าลูเซียสนั่นเอาแต่ใจมากแค่ไหน คนที่กล้าต่อปากต่อคำเห็นมีแค่ไนท์คนเดียว
“เอาแบบนั้นก็ได้”
ลูเซียสดูโอเคกับการตัดสินใจของผม ตูไม่มีทางเลือกนี่หว่า
คุยไปกินไป ทานของคาวเสร็จตามด้วยของหวานคือวุ้นมะพร้าวหอมอร่อย ตั้งแต่รู้ว่าผมชอบมะพร้าว อาหารทุกมื้อแทบจะไม่ขาดสิ่งนี้เลย รู้สึกรักเดฟชะมัด
“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ” จู่ๆ ลูเซียสเปิดประเด็นขึ้นให้ผมละใบหน้าออกจากวุ้นมะพร้าวในลูก
“อาคมเข้ามา” ไม่รู้ว่ามีตาติดไว้ที่ประตูหรือไง ถึงรู้ว่ามีคนอยู่ตรงประตูด้วย ทางนั้นพอลูเซียสเรียกก็เดินเข้าโค้งกายให้บอสส่งยิ้มมาทางผม ผู้ใหญ่ใจดีปรากฏตัวอีกคนแล้ว! ผมชักจะลังเลแล้วนะ หากแต่ละคนไม่สวมสูทดำปี๋และลูเซียสกับไนท์ที่ขู่จะเอาลูกตะกั่วยัดปากอีกฝ่ายสามเวลาหลังอาหาร ผมคงเข้าใจว่าลูเซียสเป็นนักธุรกิจธรรมดา
“ผมเอาข้อมูลของการ์ดที่เลือกมาให้ดูครับ” ชายที่ชื่ออาคมส่งซองน้ำตาลให้บอส ลูเซียสพลิกกวาดตาดูเพียงชั่วครู่พลางแนะนำให้เรารู้จักกัน
“เด็กฉัน มิทรี่ นั่นอาคมจะเป็นคนขับรถและการ์ดของเธอตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
ผมยกมือไหว้ คุณอาคมยกมือรับ ตัวเขาให้อารมณ์เหมือนพ่อผู้เข้มงวด แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นใจดีต่อลูกๆ ยังไงชอบกล ตายล่ะว่า รอบตัวมีแต่หนุ่มใหญ่ ดีนะที่ผมยังเรียนอยู่ได้เจอเด็กวัยรุ่นให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยบ้าง
“สวัสดีครับคุณอาคม”
“สวัสดี ไม่ต้องเรียกว่าคุณหรอกครับ เรียกพี่อาคมดีกว่า” เป็นคนอื่นนี้ผมคงเบ้ปากมองบนใส่ให้เรียกพี่ แบบพี่อาคมนี่ถือว่าเป็นข้อยกเว้นแล้วกัน ต่อให้เรียกพี่ก็ไม่ดูแย่เลยแม้แต่น้อย
“ครับพี่อาคม”
“อีกห้าวันจะมีมือดีอีกสองคนมาเพิ่ม ชื่อหลงกับไมค์ ไว้ให้อาคมแนะนำอีกทีแล้วกัน ช่วงนี้เธอก็ระวังหน่อยอย่าออกนอกลู่นอกทาง”
ผมเลิกคิ้วมองลูเซียส สีหน้าเขาจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แสดงว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นการ์ดมือฉมังมาตามประกบผมพร้อมบอกให้ระวังตัวแบบนี้ ไม่เข้าใจ กะอีแค่เด็กเลี้ยงตัวเล็กๆ อริลูเซียสจะมาสนใจทำไม ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ช่วงแรกผมว่าง่ายยอมเชื่อฟังเพราะยังไม่อยากมีปัญหาและอยู่ในช่วงปรับตัว หลังจากนี้แหละสนุกแน่
ในใจคิดแบบนั้น แต่สิ่งที่แสดงออกมาคือการพยักหน้าบ่งบอกว่ารับรู้แล้ว เชื่อเลยลูกปืนฆ่าคนได้ ลูเซียสกับอาคมเดาท่าทางผมออก ถึงได้จ้องกันซะขนาดนั้น
“งานหนักหน่อยนะ เด็กคนนี้ไม่ปกติ”
มีการสั่งพร้อมให้กำลังใจลูกน้อง เดี๋ยว เป็นคนดีมีเมตตาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สองวันก่อนยังเห็นใช้กระบอกปืนตบลูกน้องหน้าหันอยู่เลย แล้วคำว่าไม่ปกตินั่นหมายควายว่ายังไงไม่ทราบ พี่อาคมเองก็อีกคน รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ คอยดูเถอะจะได้เห็นดีกัน
‘ดาวิดอฟ เฟรคดริก คอลลินส์’ หรือ ‘เดฟ’ คือชื่อของผม ผมเกิดที่รัสเซีย เป็นลูกคนเล็กมีพี่ชายพี่สาวอย่างละคน จบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งด้านโภชนาการที่มอสโก เรื่องรูปร่างหน้าตาก็ปกติธรรมดา(?) ไม่มีส่วนไหนขาดเกิน เส้นผมสีทองเหลือบเงิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียว ผิวขาวจัดแม้ตอนนี้จะเริ่มคล้ำจากแดดในเมืองไทยก็ตาม ส่วนสูงก็...193 cm. สิ่งที่ชอบคืออาหารอร่อย ดอกไม้และคนฉลาด ผมเกลียดพวกไม่รู้คุณค่าของอาหาร กินทิ้งกินขว้างกับคนโง่มากที่สุด อาหารที่ถนัดคือ ซุปโบร์ช (Borshch) , โปลฟ (Pilaf) , ไก่เคียฟ (Chicken Kiev) อาหารรัสเซียและอาหารฝรั่ง ตอนนี้มีความสนใจอาหารไทย ปัจจุบันอายุ 25 ปี ทำงานให้กับบอสลูเซียส มิไรฮอฟ ตระกูลเก่าแก่ที่มีอำนาจมากมายจนน่าตกใจ ถามว่ามาทำงานให้บอสได้ยังไงเหรอ? เรื่องมันเป็นแบบนี้ หลังเรียนจบได้ผลการเรียนที่น่าพอใจ ผมถูกจองตัวจากหลายโรงแรมมีชื่อในมอสโก แต่ผมชอบทำอาหารให้คนที่รักการกินมากกว่าทำเพื่อเอาหน้าตาเลยปฏิเสธงานเหล่านั้นไป แล้วเลือกมาทำงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งแทน ร้านนี้มีความเข้มงวดสูงมาก ไม่
ภายใต้ความหอมหวานของอำนาจ คือความเน่าเฟะที่น่ารังเกียจ... เมื่อพ่อให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นอันดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่พ่อจะแต่งงานกับแม่เพื่อผลประโยชน์ ทั้งที่ตัวเองมีคนรักอยู่แล้ว ก่อนจะพาคนรักเข้ามาหลังจากที่แม่ตรอมใจตาย ฟังดูเหมือนพล็อตของบทละครน้ำเน่า แต่เชื่อเถอะว่า สิ่งเหล่านั้นล้วนอิงมาจากชีวิตจริง เขาเกลียดชังพ่อ รังเกียจผู้หญิงคนนั้น และขยะแขยงครอบครัวของตัวเอง เลยตัดสินใจเข้าโรงเรียนประจำ พอปิดเทอมหากไม่เที่ยวก็หางานพิเศษทำ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับบ้าน ระหว่างนั้นก็ใช้ทรัพย์สินจากพินัยกรรมของแม่ผ่านทางผู้ดูแลที่แม่เลือกมาด้วยตัวเอง ต่อมา เขาสอบเข้าโรงเรียนตำรวจ ติดอันดับหนึ่งของรุ่นจนเรียนจบแล้วเริ่มทำงานจากตำแหน่งระดับล่าง กระทั่งบรรจุเข้าหน่วยปราบปรามและพบลูเซียสระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ลูเซียสในตอนนั้นยังอยู่ในช่วงเริ่มก่อตั้งแก๊ง มีคนติดตามอยู่ไม่กี่คนและเกิดสนใจฝีมือของเขาขึ้นมา เลยยื่นข้อเสนอให้มาทำงานด้วยกัน แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ ไม่ใช่ว่ารักในอาชีพของตัวเอง แต่เขาไม่เคยมีความคิดที
ชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง มีเรื่องที่เสียใจหนักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง เรื่องแรกคือการจากไปของพ่อแม่ด้วยวัยชรา เรื่องที่สองคือความล้มเหลวในฐานะหัวหน้าครอบครัว ระหว่างที่ผมเป็นทหารทำตามความตั้งใจของตัวเองก็ทิ้งลูกเมียไว้ด้านหลังโดยไม่นึกถึงใจของคนเฝ้ารอ กระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาที่แต่งงานกันมาหลายปีเป็นฝ่ายขอหย่า เธอร้องไห้ พร่ำบอกว่าขอโทษที่อดทนรอต่อไปไม่ได้ เธอเข้าใจความต้องการของผม แต่เธอที่มีลูกอ่อนก็ต้องการได้รับการดูแลเอาใจใส่เช่นกัน ผมไม่เคยโทษเธอเลยที่เริ่มมองหาผู้ชายที่ดีกว่า ดังนั้นผมเลยดึงเธอเข้ามากอด ลูบผมเบาๆ พร้อมกระซิบปลอบโยนเธอว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง ‘ชนิศา’ เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง การที่เธอเลือกทางนี้แสดงว่าทุกอย่างมันถึงที่สุดแล้วจริงๆ พอเป็นแบบนี้ก็ไม่อาจฝืนอยู่ด้วยกันอีกต่อไป ผมเลยยอมรับการตัดสินใจของเธอ และมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูให้เธอไป หลังจากนั้นไม่กี่ปีผมก็ลาออกจากราชการทหารเพื่อหางานที่มีรายได้มากกว่าส่งเสียให้ลูกชายได้เรียนโรงเรียนดีๆ ระหว่างนั้นก็ติดต่อกันบ้างเป็นครั้งคราว วันไหนผมมีวันหยุดก็จ
ผมเกิดในซ่อง เติบโตในสลัม มีแม่เป็นโสเภนีที่หลังจากคลอดผมเสร็จก็เอาผมไปทิ้งแถวถังขยะ ก่อนที่คนจรจัดเก็บไปเลี้ยงดูด้วยหวังว่าจะให้ผมดูแลเขาต่ออีกที แต่เขาไม่ได้มอบความรักความเอาใจใส่อย่างที่คนใจบุญพึงกระทำ เพราะเขาเลี้ยงผมเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ถ้ามีอาหารเหลือพอก็จะโยนให้ผมกิน พอแค่ผมไม่ตายไปก่อนที่จะได้ใช้งานเท่านั้น จนบางทีผมก็สงสัยว่าความตายอาจจะดีกว่ารึเปล่า ไม่ต้องทนอดอยากหิวโหย โดนทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ผมเคยคิดที่จะตายอยู่หลายครั้ง หากไม่ติดว่าคนจรจัดที่เก็บผมมาเลี้ยงจะช่วยผมไว้ทันตลอด แล้วจัดการลงโทษอย่างหนักเมื่อผมพ้นขีดอันตราย ให้อดข้าวบ้าง จับขังบ้างหรือบางทีก็โดนซ้อมเป็นเครื่องระบายอารมณ์ แน่นอนว่าการรักษาแต่ละครั้งไม่ได้ไปหาหมอในโรงพยาบาล แต่เป็นหมอเถื่อนที่ไม่มีใบรับรองแถวสลัม ไม่ก็รักษาเอาตามมีตามเกิด และผมดันดวงแข็งจนรอดมาได้เสียทุกครั้ง จะตายก็ตายไม่ได้ จะอยู่ก็แสนลำบาก สุดท้ายได้แต่ฝืนทนกับสิ่งที่เป็น กระทั่งอายุหกปี ชายแก่ที่เลี้ยงดูผมดันไปขัดขานักเลงวัยรุ่นเข้า เลยถูกพวกนั้นซ้อมอย่างคึกคะนอง เสียงตาแก่โหยหวนด้วยความเจ็บปวด ผสมเสียงตุบต
เรื่องราวต่อจากนี้เป็นเรื่องหลังจากที่ผมเรียนจบมหา’ลัย กรุณาอย่าถามถึงเกียรตินิยม แค่ผมเรียนจบได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ส่วนเพื่อนๆ ก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่การงานของตัวเอง ตัวผมเองก็เช่นกัน เพราะผมตัดสินใจแล้วว่าจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับลูเซียส แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่เกิด ย่อมเห็นตื้นลึกหนาบางจนหมดสิ้น เลยอยากให้ผมที่มีโอกาสเลือกเส้นทางของตัวเองหลีกหนีให้ไกลจากมันที่สุด แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่ผมเลือกทำงานไซด์ไลน์และกลายเป็นเด็กเลี้ยงของลูเซียส ตัวผมก็ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการนี้ครึ่งตัวแล้ว ในเมื่อไม่มีทางเลือก ลูเซียสเลยสั่งให้ผมเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารเพื่อมาช่วยดูแลธุรกิจที่ไทยแทน ซึ่งงานนี้ลูเซียสให้ผมเรียนต่อที่รัสเซีย ทุกคนเลยถือโอกาสนี้กลับรัสเซียกันยกทีม เหลือแค่พวกการ์ดอยู่เฝ้าตึกจำนวนหนึ่งเท่านั้น เรื่องพ่ออย่าไปพูดถึง ล่าสุดเห็นว่าออกจากคุกแล้ว แต่จะไปทำอะไรที่ไหนอยู่ยังไงผมไม่สนเพราะอยู่กันคนละประเทศ ส่วนแม่ผมไม่ต้องเป็นห่วง ปัจจุบันร่างกาย
คุณคิดว่าคนคนหนึ่งจะทำเรื่องราวซ้ำๆ กันทุกวันโดยไม่เบื่อได้รึเปล่า ผมคิดว่าได้แต่ยาก เพราะต่อให้กินข้าวอาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิม ระหว่างนั้นก็ยังต้องมีอะไรแปลกใหม่เข้ามาในชีวิตบ้าง อย่างการเปลี่ยนเมนูอาหาร ลองเปลี่ยนกลิ่นสบู่หรือแชมพูใหม่ ดังนั้นไม่แปลกที่มนุษย์จะสรรหาความแปลกใหม่แม้มันจะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตาม อย่างในโซเชียลตอนนี้ ไม่รู้เริ่มฮิตวันป๊อกกี้เดย์ตามประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีผมก็เห็นของพวกนี้ตามมาหลอกหลอนแล้ว แต่บังเอิญว่าผมไม่สนใจ ความคึกคักของเทศกาลนี้เลยถูกผมลืมเลือนไปซะสนิท เพิ่งจะนึกขึ้นได้ตอนเห็นภาพย้อนหลังวันนี้นี่แหละ มิน่าล่ะทำไมเมื่อวานพี่โทริถึงซื้อป๊อกกี้มาให้ หนึ่งในนั้นมีรสมะพร้าวของโปรดผมที่กินหมดไปตั้งแต่เมื่อวาน จะเหลือก็แค่ป๊อกกี้รสดาร์คช็อกที่คาดว่าอยากจะให้ใครบางคนแต่ไม่กล้าเลยต้องส่งผ่านผม ไหนๆ ก็ไหนๆ ป๋าทำงานเครียดๆ ผมควรทำหน้าที่อีหนูที่ดี เป็นลูกชายชั้นยอดด้วยการเข้าไปป่วน แฮ่ม! เข้าไปผ่อนคลายอารมณ์ป๋าดีกว่า “พี่อาคม ป๋าไม่ได้ทำงานสำคัญอยู่ใช่มั้ย” ผมกระซิบถามพี่อาคมท