ลิขิตรัก 11
ไร้ยางอาย
“อุ้ย พี่เฟยหลง”
“เดินระวังๆสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เดินตามหลังประคองร่างบอบบางของคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม สายตาคมดุคนในอ้อมแขนไม่จริงจังนัก
“คิกๆ เหมยเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ปล่อยให้เหมยเอ๋อร์เป็นอันใด” เสียงหวานใสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่อยู่กับเจ้าได้มิตลอด เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พลันครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินมาตลอดเวลา ศัตรูย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร้นหาจุดอ่อน หากพวกมันรู้ว่าเขามีคนรักต้องหาทางทำร้ายนางเป็นแน่
“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างงั้นสิเจ้าคะ เหมยเอ๋อร์มิเป็นอันใดง่ายๆหรอกนะ” นางบอกคนรักที่ทำหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างชัดเจน
“พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
“จริงสิ สร้อยที่น้องให้...”
“พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเลยล่ะ” หยางหลงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะยกแขนข้างขวาที่สวมสร้อยลูกปัด ซึ่งคนรักร้อยเองกับมือขึ้นมาให้ดู เขาใส่ติดตัวไว้ตลอดไม่เคยถอดเลยสักครั้งตั้งแต่ได้รับมา
“พวกเขารักกันมากใช่หรือไม่” ข้าถามพลางมองภาพทั้งคู่ประคองกอด ส่งยิ้มให้กันด้วยแววตาเจ็บปวด
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพมิเคยมองหญิงใดนอกจากคุณหนูเหมยฟาง” สาวใช้ที่ท่านอาคเนย์คอยสั่งให้ดูแล(จับตาดู)เอ่ยด้วยท่าทีเรียบๆเสมือนบอกกลายๆว่าเจ้านายของตนจะไม่มองหญิงใดนอกจากหญิงผู้นั้น
“แต่ข้ามิถอยหรอกนะ” ยิ้มเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ลองต่อสู้เพื่อชะตารักครั้งนี้สักตั้ง ให้สมกับเดินทางมาไกลแสนไกล
“ท่านเป็นหญิงงดงาม หากท่านแม่ทัพเมตตาต้องได้รับความเอ็นดูเป็นแน่เจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกอย่างให้กำลังใจข้า สายตาไม่มีเค้าความไม่พอใจ ทว่าทำให้ข้าแปลกใจถึงกับต้องขมวดคิ้วยุ่นเพราะเจ้านายของหญิงรับใช้ผู้นี้มีคนรักอยู่แล้ว หากตนเข้ามายุ่งก็เหมือนกำลังเป็นหญิงไม่ดีที่คิดจะแย่งคนรักผู้อื่นไม่ใช่หรือ
“ทำไมเจ้าไม่ต่อว่า ข้ากำลังจะ…”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ตามธรรมเนียมแล้วชายสามารถมีฮูหยินเอกเพียงคนเดียวได้ก็จริงแต่สามารถมีอนุเท่าใดก็ได้เจ้าค่ะ” หลังจากได้ฟังทำให้ข้ารู้สึกไม่พอใจ ข้าโตมากับท่านพ่อที่มีท่านแม่เป็นภรรยาเพียงคนเดียว ทั้งๆที่มีนางปีศาจหลายตนพยายามยั่วยวน แต่ท่านพ่อก็มั่นคงไม่คิดจะทำให้ท่านแม่เสียใจ
นั่นทำให้ข้าฝังใจมาตลอดว่าการรักใครสักคนนั้นไม่ใช่แค่ใช้ความรู้สึก แต่ต้องยอมละทิ้งกิเลสทั้งหมดเพื่อที่จะมีเพียงคนเดียว ชายมักมากไม่ยอมละทิ้งกิเลสตัณหาก็เหมือนบุคคลล้มเหลวที่รู้จักความรักทว่ากลับไม่รู้จักดูแล
“แล้วฝ่ายหญิงล่ะ” ข้าไม่เข้าใจวิถีชีวิตมนุษย์เลยสักนิด คงมีเรื่องที่ข้าต้องเรียนรู้อีกมาก
“มีได้เพียงคนเดียวเจ้าค่ะและหากเป็นหญิงม่ายจะไม่สามารถมีใครได้ตลอดชีวิต”
ผู้ชายมีเท่าใดก็ได้ ในขณะที่ผู้หญิงสามารถมีได้เพียงคนเดียว หึ โคตรไม่ยุติธรรม!!
“แล้วถ้าฝ่ายหญิงขอหย่า…”
“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะผู้หญิงอย่างเรามิสามารถฟ้องหย่าได้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทน หากเดาไม่ผิดนางก็คงรู้สึกไม่ต่างจากข้านัก
“ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าคิด” มองนางอย่างเข้าใจ โลกแห่งนี้ไม่มีอะไรยุติธรรมมาตั้งแต่แรก เริ่มตั้งแต่การแบ่งชนชั้นด้วยยศถาและเงินทอง คนยากจนแทบไม่มีอะไรประทังชีวิต ในขณะที่คนมั่งคั่งกลับใช้ของฟุ่มเฟือย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าโลกมนุษย์นี้ช่างบิดเบี้ยว แต่จะโทษใครก็มิได้ ขนาดปีศาจเองยังมีทั้งดีและชั่วและนางเองก็กำลังเป็นหญิงชั่วที่แย่งคนรักผู้อื่น จะว่าแย่งก็มิถูก ต้องเรียกทวงเสียมากกว่าเพราะคนรักที่ว่าเป็นคนของนางมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่นางจะเลือกเป็นหญิงชั่วดั่งที่ปรามาสไว้งั้นหรือ
หลายวันต่อมา
“ไปไหนหรือเจ้าคะ” ข้าถามชายคนรักที่วันนี้แต่งตัวออกไปข้างนอกเหมือนอย่างวันก่อนๆ แต่พอกลับมาเสื้อผ้ากลับชโลมไปด้วยเลือด จนนางอดเป็นห่วงไม่ได้ จะแอบตามไปก็กลัวเขาจับได้ แล้วจะยัดเยียดให้เป็นสายต่างแคว้นอีก
ผ่านไปไม่นานพบว่าตนเองอยู่ที่นี่มาได้อาทิตย์กว่าแล้ว ส่วนทางบ้านเองก็ได้ให้หมิงซินสาวใช้ที่คอยดูแลข้าตั้งแต่วันแรกนำจดหมายฝากทหารรับจ้างไปให้จึงเบาใจได้ว่าพวกเค้าคงหายเป็นห่วง จะเหลือก็แต่คนรักของข้าที่นับวันยิ่งทวีความเย็นชาใส่
“ถามข้าทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือ” คนตัวสูงชะงัก สายตาราบเรียบตอบกลับมาด้วยท่าทางนิ่งๆคล้ายเบื่อหน่ายเต็มทน
“ไม่เบื่อเลยเจ้าค่ะ ท่านก็รู้ว่าข้าระ…” และข้าก็ตอบกลับไปด้วยประโยคเดิมๆ
“หยุดพูดคำนี้เสียที !!” เขาตะคอกเสียงดังแต่ข้าหาสนใจไม่
“ทำไมหรือเจ้าคะ ข้ารักท่านมันผิดมากหรือ” เลิกคิ้วถามด้วยความยียวน ตอนแรกก็รู้สึกเจ็บกับท่าทีหมางเมินของเขา แต่พอนานวันเข้าข้าก็เริ่มชิน
กรอด
“เจ้ามันไร้ยางอาย” เขาขบฟันแน่นจนกรามขึ้น ตาวาวโรจน์ทว่าเพียงแวบเดียวที่สั่นไหวจนแทบมองไม่ทัน แต่พอดีข้าตาดีเลยเห็น
“ไร้ยางอายอันใดเจ้าคะ ข้ารู้ว่าท่านก็หวั่นไหว…” ข้าเดินไปใกล้เขา มองด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาด้วยความคิดถึงตัวตนของเขาเฉกเช่นหลายร้อยปีก่อน
“ยะ หญิงชายมิควรชิดใกล้” ผละหน้าออกห่างจากการรุกรานของข้า ทั้งที่เขาสามารถผลักข้าออกเหมือนวันแรกได้แต่ก็ไม่ทำ นั่นทำให้ข้าเริ่มมีความหวังมากขึ้น
“งั้นต้องเป็นอันใดเล่าถึงจะชิดใกล้ได้” ข้าแสร้งทำตัวเป็นหญิงไร้ยางอายอย่างเขาว่า ใช้สายตายั่วยวนชนิดที่ว่าชายใดเห็นเป็นต้องหลง เกิดมายังไม่เคยทำแต่เพื่อทำให้เขาตกหลุมรักอีกครั้งไม่ว่าต้องเสียตัวหรือเสียใจข้าก็จะทำ !!
“อย่างเจ้าคงเป็นได้แค่อนุ !” ก็รู้อยู่แล้วว่าคนปากร้ายต้องตอกกลับด้วยถ้อยคำแสนเจ็บปวด แต่ข้ากลับไม่ล้มเลิกความตั้งใจ คิดเล่นกับไฟ
“งั้นอนุอย่างข้าจะปรนนิบัติทะ…”
หมับ !
“อุ้บบ อื้อออ” ร่างสูงใหญ่กระชากร่างเล็กที่เถียงคำไม่ตกฟากเข้ามาปิดปากอย่างรุนแรง ไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยน กลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ในปาก
ผลัก ! ชายหนุ่มผลักหญิงสาวจนล้มลง
“ท่าน !!”
“ข้าพูดผิดไป อย่างเจ้าเป็นได้แค่หญิงคณิกา !!!”
จุก
นางจุกจนพูดไม่ออก มองแผ่นหลังกว้างของชายคนรักเดินจากไป ได้แต่ทรุดตัวลงด้วยสภาพเวทนา หากข้าไม่รู้ความหมายของคำว่าหญิงคณิกายังจะรู้สึกดีกว่านี้
นี่หรือราชินีปีศาจ นี่หรือผู้ที่ปกครองเหล่าปีศาจตนอื่น ทำไมจึงได้ทำตัวน่าสมเพชเช่นนี้นางคิดในใจพร้อมน้ำตารินไหล
‘ลูกขออภัยท่านพ่อท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะที่ทำตัวเช่นนี้ แต่ลูกขอสาบาน หากเมื่อใดที่ลูกตัดใจจากเขาได้ ลูกจะขอจากไปไม่หวนคืน !’
ลิขิตรัก 13 อนุคนแรก“อ๊ะ อื้มมมม” ไม่ทันได้ตอบกลับ ริมฝีปากโดนปิดด้วยริมฝีปากหนาของคนที่คร่อมอยู่ทันที มือของเขาอยู่ไม่นิ่ง จับร่างกายไปทุกส่วน ข้าสะดุ้งทันทีที่เขาจงใจกดร่างกายท่อนล่างกับส่วนนั้นของข้าทั้งที่ตัวเองยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้“อื้มมม” เขาครางกระหึ่มอย่างพอใจและยิ่งกระหายในกายข้ามากยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งจับมือนิ่มของข้าให้เลื่อนลงไปสัมผัสกลางลำตัวที่บัดนี้โป่งพองแข็งสู้มือข้าจนแทบจะระเบิด แต่ดูเหมือนเขาพยายามข่มอารมณ์ไว้คล้ายอยากเล่นสนุกกับร่างกายข้ามากกว่านี้“อ้าปาก” ดุเสียงเข้มเมื่อข้าปิดปากไม่ให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามาได้อีก“อ๊ะ!” เขากัดริมฝีปากข้าเมื่อเห็นว่าข้ายังดื้อไม่ยอมเปิดปากตามเขาสั่ง ก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อลิ้นร้ายกาจเข้ามาไล่ต้อนข้าได้อย่างจนมุมปากหนายังไซร้คอข้าอยู่และมีทีท่าว่ากำลังจะเลื่อนลงมายังหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่จนล้นมือเขา มือทำหน้าที่ไม่อยู่นิ่ง บีบคลึงหน้าอกอย่างมันมือ ส่วน
ลิขิตรัก 12 หลอกใช้เพล้ง !“เป็นอันใดหรือเจ้าคะท่านพี่เฟยหลง” เสียงหวานเอ่ยถามชายคนรัก เมื่อเห็นร่างสูงปล่อยความกดดัน จนแจกันแตกเป็นเสี่ยงๆ“มิเป็นอันใด ต้องขออภัยเหมยเอ๋อร์ด้วยแล้วที่ทำให้เจ้าตกใจ” ชายหนุ่มหันมองหญิงคนรักที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ สบถในใจที่เผลอใช้พลังจนอาจเกือบทำให้หญิงคนรักบาดเจ็บ“น้องมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ว่าแต่ผู้ใดหนอที่ทำให้ท่านพี่อารมณ์ไม่ดีเช่นนี้”“เรื่องงานหน่ะ” ร่างสูงไม่ได้โกหก ทุกคืนเขาจะออกไปตรวจในเมืองโดยรอบ จนบางวันปะทะเข้ากับพวกนอกด่านแทบไม่ได้นอน แต่ส่วนหนึ่งคิดไปถึงต้นตอที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้อีกเรื่อง อยากจัดการกับหญิงไร้ยางอายนั่นเด็ดขาด แต่ทำไมใจมันถึงสั่นตลอดเมื่ออยู่กับนางอาคเนย์ที่นางใช้เรียกเขานั้นไม่รู้เป็นชายใด แต่พอนางพูดชื่อนี้ ใจเขามันหงุดหงิดทุกครั้ง แทบอยากกระชากร่างบางให้หยุดเรียกชื่อนั้น แล้วจดจำเพียงชื่อเขา พลันความคิดต้องหยุดชะงักลงยามเขาได้จับไปที่สร้อยท
ลิขิตรัก 11 ไร้ยางอาย “อุ้ย พี่เฟยหลง”“เดินระวังๆสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เดินตามหลังประคองร่างบอบบางของคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม สายตาคมดุคนในอ้อมแขนไม่จริงจังนัก“คิกๆ เหมยเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ปล่อยให้เหมยเอ๋อร์เป็นอันใด” เสียงหวานใสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม“พี่อยู่กับเจ้าได้มิตลอด เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พลันครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินมาตลอดเวลา ศัตรูย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร้นหาจุดอ่อน หากพวกมันรู้ว่าเขามีคนรักต้องหาทางทำร้ายนางเป็นแน่“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างงั้นสิเจ้าคะ เหมยเอ๋อร์มิเป็นอันใดง่ายๆหรอกนะ” นางบอกคนรักที่ทำหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างชัดเจน“พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”“จริงสิ สร้อยที่น้องให้...”“พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเลยล่ะ” หยางหลงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะยกแขนข้างขวาที่สวมสร้อยลูกปัด ซึ่งคนรักร้อยเองกับมือขึ้นมาให้ดู เขาใส่ต
ลิขิตรัก 10ไม่เชื่อใจ“เจิ้นมิเคยเห็นเจ้าทำหน้าเครียด มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ” ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยถามสหายที่ยามนี้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“หามิได้พะย่ะค่ะ” ร่างหนาผู้ถูกถามตอบกลับคล้ายปฏิเสธกลายๆ“อืมม หรือเจ้ากำลังคิดถึงหญิงนางนั้น” สายตาคมปราดมองอย่างหยอกล้อ หญิงนางนั้นที่ว่าคงหนีไม่พ้นนางที่ลานประลองแคว้นเฟิง“กระหม่อมมิสนผู้ใจนอกจากเหมยฟาง” และเขาก็ยังคงกล่าวออกมาเช่นเดิม สายตาเย็นชาช่างราบเรียบคล้ายเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่ง จนผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นต้าเช่นเขานึกอยากเห็นว่าจะมีหญิงใดในหล้าทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้เปลี่ยนไปได้หรือไม่ ซึ่งแม้กระทั่งคู่หมายที่เป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ยังมิอาจทำได้“หึ ๆ เจิ้นก็ยังตรัสคำเดิมว่าจะรอดู”“หากหวงช่างเชิญมาเพียงเท่านี้ กระหม่อมขอลา” ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยยังไม่ได้รับอนุญาต หน้าตานิ่งเฉยบ่งบอกว่าไม่เกรงกลัวอาญาเลยแม้แต่น้อย“ดะ เดี๋ยวเจิ้นมีเรื
ลิขิตรัก 9พบเจอหนึ่งชั่วยามผ่านไปจบเสียที…กี่ตัวกันนะ 10 ตัว 50 ตัว หรือมากกว่านั้น ข้าทิ้งตัวลงนอนที่พื้นอย่างคนหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คิดว่าถ้ากลับไปต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วยามกว่าจะล้างมันออกหมด ตามร่างกายมีรอยกรงเล็บที่ร่างกายสมานบาดแผลไม่ทันเนื่องจากมันมีเยอะเกินไปโฮกกกกกเหลืออีกตัวหรือ ข้าหันไปมองทางต้นเสียง เห็นมันหนึ่งตัวขู่คำราม เห็นเขี้ยวแหลมคมที่สามารถฉีกร่างกายมนุษย์พร้อมกินอย่างไม่เหลือแม้แต่กระดูก มันทำท่าพร้อมกระโจนเข้ามาทุกเมื่อ แต่ข้าหมดแรงแล้วนะ คิดในใจทว่าสมองสั่งให้ลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งแขนขาขยับได้อย่างยากลำบากอาจเป็นเพราะนี่มันเลยขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์มามากแล้ว สุดท้ายจึงล้มตัวลงนอนที่เดิม จบแล้วสินะ ชีวิตข้าคงมาได้เพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านพ่อท่านแม่ที่มิอาจกลับไปหาพวกท่าน ลาก่อนท่านอาค
ลิขิตรัก 8 เทพเซียนยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว” ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด“2 ตัวขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย“จัดการ” ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่ ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีน