ลิขิตรัก 13
อนุคนแรก
“อ๊ะ อื้มมมม” ไม่ทันได้ตอบกลับ ริมฝีปากโดนปิดด้วยริมฝีปากหนาของคนที่คร่อมอยู่ทันที มือของเขาอยู่ไม่นิ่ง จับร่างกายไปทุกส่วน ข้าสะดุ้งทันทีที่เขาจงใจกดร่างกายท่อนล่างกับส่วนนั้นของข้าทั้งที่ตัวเองยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้
“อื้มมม” เขาครางกระหึ่มอย่างพอใจและยิ่งกระหายในกายข้ามากยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งจับมือนิ่มของข้าให้เลื่อนลงไปสัมผัสกลางลำตัวที่บัดนี้โป่งพองแข็งสู้มือข้าจนแทบจะระเบิด แต่ดูเหมือนเขาพยายามข่มอารมณ์ไว้คล้ายอยากเล่นสนุกกับร่างกายข้ามากกว่านี้
“อ้าปาก” ดุเสียงเข้มเมื่อข้าปิดปากไม่ให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามาได้อีก
“อ๊ะ!” เขากัดริมฝีปากข้าเมื่อเห็นว่าข้ายังดื้อไม่ยอมเปิดปากตามเขาสั่ง ก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อลิ้นร้ายกาจเข้ามาไล่ต้อนข้าได้อย่างจนมุม
ปากหนายังไซร้คอข้าอยู่และมีทีท่าว่ากำลังจะเลื่อนลงมายังหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่จนล้นมือเขา มือทำหน้าที่ไม่อยู่นิ่ง บีบคลึงหน้าอกอย่างมันมือ ส่วน
ลิขิตรัก 13 อนุคนแรก“อ๊ะ อื้มมมม” ไม่ทันได้ตอบกลับ ริมฝีปากโดนปิดด้วยริมฝีปากหนาของคนที่คร่อมอยู่ทันที มือของเขาอยู่ไม่นิ่ง จับร่างกายไปทุกส่วน ข้าสะดุ้งทันทีที่เขาจงใจกดร่างกายท่อนล่างกับส่วนนั้นของข้าทั้งที่ตัวเองยังมีเสื้อผ้าอยู่ครบ แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้“อื้มมม” เขาครางกระหึ่มอย่างพอใจและยิ่งกระหายในกายข้ามากยิ่งขึ้นเมื่อมือแกร่งจับมือนิ่มของข้าให้เลื่อนลงไปสัมผัสกลางลำตัวที่บัดนี้โป่งพองแข็งสู้มือข้าจนแทบจะระเบิด แต่ดูเหมือนเขาพยายามข่มอารมณ์ไว้คล้ายอยากเล่นสนุกกับร่างกายข้ามากกว่านี้“อ้าปาก” ดุเสียงเข้มเมื่อข้าปิดปากไม่ให้ลิ้นร้อนนั่นเข้ามาได้อีก“อ๊ะ!” เขากัดริมฝีปากข้าเมื่อเห็นว่าข้ายังดื้อไม่ยอมเปิดปากตามเขาสั่ง ก่อนจะครางอย่างพอใจเมื่อลิ้นร้ายกาจเข้ามาไล่ต้อนข้าได้อย่างจนมุมปากหนายังไซร้คอข้าอยู่และมีทีท่าว่ากำลังจะเลื่อนลงมายังหน้าอกหน้าใจที่มันใหญ่จนล้นมือเขา มือทำหน้าที่ไม่อยู่นิ่ง บีบคลึงหน้าอกอย่างมันมือ ส่วน
ลิขิตรัก 12 หลอกใช้เพล้ง !“เป็นอันใดหรือเจ้าคะท่านพี่เฟยหลง” เสียงหวานเอ่ยถามชายคนรัก เมื่อเห็นร่างสูงปล่อยความกดดัน จนแจกันแตกเป็นเสี่ยงๆ“มิเป็นอันใด ต้องขออภัยเหมยเอ๋อร์ด้วยแล้วที่ทำให้เจ้าตกใจ” ชายหนุ่มหันมองหญิงคนรักที่เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ สบถในใจที่เผลอใช้พลังจนอาจเกือบทำให้หญิงคนรักบาดเจ็บ“น้องมิเป็นอันใดเจ้าค่ะ ว่าแต่ผู้ใดหนอที่ทำให้ท่านพี่อารมณ์ไม่ดีเช่นนี้”“เรื่องงานหน่ะ” ร่างสูงไม่ได้โกหก ทุกคืนเขาจะออกไปตรวจในเมืองโดยรอบ จนบางวันปะทะเข้ากับพวกนอกด่านแทบไม่ได้นอน แต่ส่วนหนึ่งคิดไปถึงต้นตอที่ทำให้ตนเป็นเช่นนี้อีกเรื่อง อยากจัดการกับหญิงไร้ยางอายนั่นเด็ดขาด แต่ทำไมใจมันถึงสั่นตลอดเมื่ออยู่กับนางอาคเนย์ที่นางใช้เรียกเขานั้นไม่รู้เป็นชายใด แต่พอนางพูดชื่อนี้ ใจเขามันหงุดหงิดทุกครั้ง แทบอยากกระชากร่างบางให้หยุดเรียกชื่อนั้น แล้วจดจำเพียงชื่อเขา พลันความคิดต้องหยุดชะงักลงยามเขาได้จับไปที่สร้อยท
ลิขิตรัก 11 ไร้ยางอาย “อุ้ย พี่เฟยหลง”“เดินระวังๆสิ เหมยเอ๋อร์” เสียงทุ้มที่เดินตามหลังประคองร่างบอบบางของคนรักไว้ในอ้อมกอดอย่างทะนุถนอม สายตาคมดุคนในอ้อมแขนไม่จริงจังนัก“คิกๆ เหมยเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ปล่อยให้เหมยเอ๋อร์เป็นอันใด” เสียงหวานใสตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม“พี่อยู่กับเจ้าได้มิตลอด เจ้าก็ต้องระวังตัวให้มาก” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเป็นห่วง พลันครุ่นคิดเรื่องที่ได้ยินมาตลอดเวลา ศัตรูย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร้นหาจุดอ่อน หากพวกมันรู้ว่าเขามีคนรักต้องหาทางทำร้ายนางเป็นแน่“อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างงั้นสิเจ้าคะ เหมยเอ๋อร์มิเป็นอันใดง่ายๆหรอกนะ” นางบอกคนรักที่ทำหน้ากลัดกลุ้มใจอย่างชัดเจน“พี่ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”“จริงสิ สร้อยที่น้องให้...”“พี่ใส่ติดตัวไว้ตลอดเลยล่ะ” หยางหลงสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไปก่อนจะยกแขนข้างขวาที่สวมสร้อยลูกปัด ซึ่งคนรักร้อยเองกับมือขึ้นมาให้ดู เขาใส่ต
ลิขิตรัก 10ไม่เชื่อใจ“เจิ้นมิเคยเห็นเจ้าทำหน้าเครียด มีเรื่องทุกข์ใจอันใดหรือ” ชายหนุ่มบนบัลลังก์เอ่ยถามสหายที่ยามนี้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว“หามิได้พะย่ะค่ะ” ร่างหนาผู้ถูกถามตอบกลับคล้ายปฏิเสธกลายๆ“อืมม หรือเจ้ากำลังคิดถึงหญิงนางนั้น” สายตาคมปราดมองอย่างหยอกล้อ หญิงนางนั้นที่ว่าคงหนีไม่พ้นนางที่ลานประลองแคว้นเฟิง“กระหม่อมมิสนผู้ใจนอกจากเหมยฟาง” และเขาก็ยังคงกล่าวออกมาเช่นเดิม สายตาเย็นชาช่างราบเรียบคล้ายเหนื่อยหน่ายกับทุกสิ่ง จนผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นต้าเช่นเขานึกอยากเห็นว่าจะมีหญิงใดในหล้าทำให้แม่ทัพใหญ่ผู้นี้เปลี่ยนไปได้หรือไม่ ซึ่งแม้กระทั่งคู่หมายที่เป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ยังมิอาจทำได้“หึ ๆ เจิ้นก็ยังตรัสคำเดิมว่าจะรอดู”“หากหวงช่างเชิญมาเพียงเท่านี้ กระหม่อมขอลา” ชายหนุ่มลุกขึ้นโดยยังไม่ได้รับอนุญาต หน้าตานิ่งเฉยบ่งบอกว่าไม่เกรงกลัวอาญาเลยแม้แต่น้อย“ดะ เดี๋ยวเจิ้นมีเรื
ลิขิตรัก 9พบเจอหนึ่งชั่วยามผ่านไปจบเสียที…กี่ตัวกันนะ 10 ตัว 50 ตัว หรือมากกว่านั้น ข้าทิ้งตัวลงนอนที่พื้นอย่างคนหมดแรง เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด คิดว่าถ้ากลับไปต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าชั่วยามกว่าจะล้างมันออกหมด ตามร่างกายมีรอยกรงเล็บที่ร่างกายสมานบาดแผลไม่ทันเนื่องจากมันมีเยอะเกินไปโฮกกกกกเหลืออีกตัวหรือ ข้าหันไปมองทางต้นเสียง เห็นมันหนึ่งตัวขู่คำราม เห็นเขี้ยวแหลมคมที่สามารถฉีกร่างกายมนุษย์พร้อมกินอย่างไม่เหลือแม้แต่กระดูก มันทำท่าพร้อมกระโจนเข้ามาทุกเมื่อ แต่ข้าหมดแรงแล้วนะ คิดในใจทว่าสมองสั่งให้ลุกขึ้น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้งแขนขาขยับได้อย่างยากลำบากอาจเป็นเพราะนี่มันเลยขีดจำกัดของความเป็นมนุษย์มามากแล้ว สุดท้ายจึงล้มตัวลงนอนที่เดิม จบแล้วสินะ ชีวิตข้าคงมาได้เพียงเท่านี้ ข้าขอโทษท่านพ่อท่านแม่ที่มิอาจกลับไปหาพวกท่าน ลาก่อนท่านอาค
ลิขิตรัก 8 เทพเซียนยามจื่อ (23.00 - 24.59 น.)“ฝั่งนั้นมีกี่ตัว” ข้าสวมชุดสีดำทะมัดทะแมง พร้อมผ้าคาดผืนบาง เหลือเฉพาะดวงตา มองไปมาเหมือนนักฆ่าไม่มีผิด“2 ตัวขอรับ” ฮุ่ยเฉินที่แต่งตัวไม่ต่างจากข้าเอ่ยบอก ตอนนี้บาดแผลเขาสมานกันดีแล้ว เหลือเพียงรอยขีดข่วนจากกรงเล็บที่แขนนั่นนิดหน่อย พละกำลังก็เหมือนจะฟื้นตัวแล้วด้วย ข้าคงลืมบอกอีกอย่างสินะ เลือดของข้าหน่ะ นอกจากจะรักษาบาดแผลแล้วยังฟื้นฟูพลังตบะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้ เพราะข้าเกลียดความวุ่นวาย“จัดการ” ข้าบอกเขาเสียงเรียบก่อนที่ตัวเองจะปรี่ตัวเข้าไปจัดการอีกฝั่งที่มี 5 ตัว ลักษณะของมันแตกต่างจากซือเป่าลิบลับ เหมือนสัตว์อสูรกายมากกว่าเป็นสัตว์อสูร มันมองมาอย่างหิวโหยแต่ก่อนที่มันจะกระโจนใส่ ข้าชิงเรียกดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาก่อนจะฟันไปที่ลำตัวของมันจนเลือดสีดำคล้ำสาดกระเด็นเปื้อนชุดข้าและนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เลือกหยิบชุดสีน