ทุกอารมณ์และการเคลื่อนไหวถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ ความสนใจพุ่งตรงไปยังชายหน้าใหม่ผู้ซ่อนตัวไม่มิดอยู่หลังเป็นเอก
นอกจากจะสูงเด่นเกือบสองเมตรแล้ว ผิวสีน้ำตาลทองที่เนียนละเอียดยังขับให้ทั่วทั้งร่างดูโดดเด่นเมื่อต้องกับแสงไฟ ขนาดเทวดาทั้งสามผู้เป็นตัวท็อปของอมอร์ยังไม่อาจละสายตาทิ้ง
ชายผู้มีใบหน้ามาดมั่นยืนอวดรอยยิ้มอยู่ด้านหลังของผู้จัดการร้าน เขี้ยวซี่ขาวยาวทะลุริมฝีปาก ชวนให้นึกถึงใครสักคนที่กำลังอยากทำเรื่องไม่ชอบมาพากล
ดวงตากลมโตของมิวพินิจพิจารณาพนักงานใหม่ตั้งศีรษะจรดเท้า เขารู้สึกคุ้นเคยอยากบอกไม่ถูก ทั้งส่วนสูงและสีผิวทำให้ทรวงอกร้อนรุ่ม
ถึงจะพอสร้างข้อมูลกระจัดกระจายเอาไว้ในหัวได้ ทว่ามิวก็ไม่กล้าประติดต่อปะต่อเรื่องราวทุกอย่างรวมกัน ด้วยสิ่งที่เขาคิดนั้นมันเหนือความเป็นจริงไปมาก ชายหนุ่มจึงทำได้แค่จ้องมอง
“ปกติเด็กใหม่มาไม่เห็นจะต้องพามาแนะนำให้พวกเรารู้จัก” เจษยิงคำถามในขณะที่เริ่มแต่งหน้า หางตาแอบเหล่มองพนักงานตัวสูงใหญ่อย่างระแวดระวัง “ทำไมจู่ๆพี่เป็นเอกถึงพาคนนี้มา”
“ก็พามาให้เด็กมันเห็นว่าพวกพี่ๆตัวท็อปของร้านเขาอยู่กันยังไง จะได้มีกำลังใจทำงาน” เป็นเอกพูดพลางตบหลังของดันเต้เบาๆ
“ก็คือง่ายๆอยากให้พวกเราสามคนเร่งทำยอดว่างั้น” เจษกระแทกแดกดัน เขาอยู่ที่นี่มานานมากพอจะรู้ไส้รู้พุงของผู้จัดการหน้าเลือด
มิวและอาร์เต้อดขำท่าทางของเป็นเอกตอนถูกเจษหักหน้าไม่ได้ สองคนนี้ทะเลาะกันบ่อยกว่าใครในร้าน ราวลิ้นกับฟันก็ไม่ปาน
ถึงจะปากร้ายบ้างในบางครั้ง แต่ด้วยความเป็นพี่ใหญ่ ลึกๆเจษจึงมีความรู้สึกอยากปกป้องน้องๆ อาจด้วยทั้งสามคนมีจุดเชื่อมโยงคล้ายคลึงกันด้านครอบครัว จึงทำให้มีความเห็นอกเห็นใจ
“คิดมากน่า! พวกนายเป็นสามคนเป็นทรินิตี้แองเจิ้ลที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่อมอร์เคยมีมาแล้ว… ตีกันยังไงสุดท้ายก็เห็นกลับมารักกันเหมือนเดิม”
“เราเพิ่มเป็นสี่แองเจิ้ลเลยได้ไหม?” อาร์เต้พูดอย่างร่าเริง “เอาโต๊ะเครื่องแป้งผมไปใช้ก็ได้นะ ผมนั่งแต่งหน้าบนโซฟาเอง”
“ขอบคุณสำหรับความใจดีนะอาร์ นายเอาเวลามาใจดีกับคนอื่นไปห่วงยอดของตัวเองเสียนะ ไม่อย่างนั้นทั้งโต๊ะเครื่องแป้งหรือโซฟา นายก็จะไม่ได้ใช้มัน” เป็นเอกยิ้มขู่ “กล้ามากนะที่กล้าหยุดงานติดกันเกือบอาทิตย์”
“พี่เป็นเอกไม่น่ารักเลย!” อาร์เต้หน้ามุ่ย
เมื่อพูดถึงเรื่องหยุดงาน มิวก็มองอาร์เต้สลับกับมองดันเต้ เขาเหมือนคิดอะไรออก…
มิวพาความทรงจำของตัวเองกลับไปยังวันที่แวะไปหาอาร์เต้ที่คอนโด ชายคนที่เขาพบนั้นตัวใหญ่โตจนเด่นสะดุดตาเหมือนดันเต้ ซึ่งความสูงในระดับนี้ไม่ได้มีเกลื่อนให้เห็นทั่วไป
แต่ก็ติดตรงที่หากเป็นคนเดียวกันจริงๆ ทำไมท่าทางของอาร์เต้ถึงแสดงออกมาราวกับไม่รู้จักกัน หากไม่ใช่เพราะว่าลืมไปแล้วจริงๆ ก็คงแสร้งตบตาเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง
ไม่แน่บางทีอาร์เต้อาจจะเป็นคนชวนเด็กใหม่คนนั้นเข้ามาทำงานที่อมอร์ และก็แอบสร้างสัมพันธ์หรือโครงการอะไรลับๆกันอยู่ มิวพยายามสร้างทฤษฎีสมคบคิดในหัว
“ดันเต้! คนที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั่นเจษเป็นเบอร์สองของอมอร์” เป็นเอกพยายามทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงผู้คนในห้อง “ส่วนเด็กที่นั่งหน้างิ้วหน้างอคอหัก ตัวเล็กที่สุดในห้องนี้คืออาร์เต้… เป็นเบอร์สามของอมอร์”
พนักงานใหม่พยักหน้าพลางสั่นหัวปลกๆ แววตาขึงขังจับจ้องไปที่มิวไม่ว่าเป็นเอกจะเอ่ยชื่อใครก็ตาม
“ส่วนคนที่นั่งข้างอาร์เต้เป็นมือหนึ่งของที่นี่… มิว” เป็นเอกพูดต่อพลางหันมือตาม “เป็นเบอร์หนึ่งที่นานที่สุดของเรา ณ ช่วงเวลานี้”
“สวัสดีครับ! ในห้องนี้หอมจังเลย” คำทักทายของดันเต้ค่อนข้างแปร่งหูสำหรับมิว “แค่ได้เข้ามาอยู่กับทุกคนในนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก”
“ทำไมช่วงนี้มีแต่คนจมูกดี” เจษทักท้วง
“หรือพวกเราใส่น้ำหอมกันเยอะไป” อาร์เต้ขอมีส่วนร่วม
“ไม่งั้นการรับกลิ่นคงดีกว่าจมูกคน” เจษว่าพลางหัวเราะคิกคัก
“เจษ” เป็นเอกปราม
“อะไรครับพี่เป็นเอก” เจษทำหน้ายู่ “ผมพูดอะไรก็ไม่เข้าหูพี่สักอย่าง”
“ก็นายชอบพูดจาแซะฟ้าแซะฝนไปเรื่อยแบบนี้ไง… พวกเด็กใหม่ถึงชอบเอานายไปพูดลับหลังให้เสียๆหายๆ”
“รู้หรอกน่า! ก็แค่เสียงของพวกขี้แพ้”
เรื่องหยุมหยิมพวกนี้เจษก็พอรู้อยู่ แต่สำหรับเขา… การดูแลลูกค้าก็เหนื่อยพอแล้ว จะต้องมานั่งเอาใจพนักงานในร้านเกือบร้อยคนอีก คงจะเป็นบ้าพอดี
อีกอย่างเจษรู้ดีว่าตราบใดที่เขายังทำเงินให้อมอร์ได้ ไม่ว่าจะมีนิสัยอย่างไร… อมอร์จะคอยโอบอุ้มเขาอยู่ดี ตราบเท่าที่ยังได้รับผลประโยชน์
“ดูท่าพี่น่าจะต้องอยู่เคลียร์อะไรต่ออีกหน่อย” เป็นเอกพูดพลางเกาหางคิ้ว “มิว… ฝากพาดันเต้ไปทัวร์พวกห้องวีไอพีหน่อย เด็กมันจะได้รู้ข้อมูลเอาไว้ เผื่อลูกค้าถามจะได้เชียร์ถูก”
“ครับ” มิวลุกขึ้นรับคำสั่งอย่างง่ายดาย
“ผมล่ะ… ให้ผมไปด้วยไหม?” อาร์เต้ชูมือสูงจนสุด
“นายอยู่นี่! มาเคลียร์กันเรื่องลูกค้าที่เจษเปิดประเด็นค้างเอาไว้กันต่อดีกว่า”
“แต่ผมไม่มีปัญหาอะไรนะ” อาร์เต้งอแง “เคลียร์กันสองคนไปสิ ผมไม่รู้เรื่อง”
เป็นเอกทำหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนปัดมือไล่มิวกับดันเต้ให้ออกนอกห้อง “พวกนายสองคนออกไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวขกจะเริ่มทยอยมากันแล้ว”
“ครับ”
มิวตอบรับก่อนจะเดินนำหน้าดันเต้ออกจากห้อง
เสียงคารมสาดใส่กันดังทันทีที่บานประตูปิดลง มิวค่อนข้างคุ้นชินกับการเรียกคุยหรือทะเลาะกันแบบนี้ เพราะหลังจบปัญหาทุกคนก็หัวมายิ้มให้กัน ก่อนจะสร้างปัญหาใหม่กันอีกรอบ วนเวียนกันเป็นวัฐจักรการทำงาน
พื้นที่ของอมอร์ไม่ได้ใหญ่โตหรือซับซ้อนนัก หากแต่แบ่งตามพื้นที่ใช้สอย บางจุดจึงไม่สามารถเดินดุ่มๆเข้าไปหากไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากลูกค้าบางคนต้องการความเป็นส่วนตัวสูง การคุ้มกันในบางพื้นที่จึงพิเศษกว่าส่วนอื่น
ถึงแม้มิวจะทำงานที่นี่มาหลายปี แต่เขาก็ยอมรับว่าบางพื้นที่เขาเองก็ยังไม่เคยเข้าไป เห็นจะมีแต่เป็นเอกกับเจ้าของบาร์โฮสต์ที่มิวไม่เคยเห็นหน้าเท่านั้นที่เข้าถึงทุกพื้นที่
อันที่จริงมิวเคยได้ยินข่าวลือด้วยว่าอมอร์มีพื้นที่ใต้ดินเอาไว้ขังพนักงานด้วย มิวเคยได้ยินพวกนักบัญชีของร้านพูดคุยเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงร้านที่น่าสงสัย ทว่าเขาก็ฟังเอาไว้เป็นแค่เรื่องสนุก
ผ่านโถงทางเดินแคบๆ มิวเดินนำหน้าโดยมีชายร่างโตเดินไล่หลังหลังมาติดๆ
ความรู้สึกแบบแปลกๆยามดันเต้เดินตามข้างหลัง มันทั้งคุ้นเคยและน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก คลับคล้ายคลับคลาเหมือนโดนสะกดรอยจากผู้ล่า
“ดันเต้ใช่ไหม?” มิวชะลอฝีเท้าเพื่อให้ทั้งคู่เดินเคียงข้างกัน เขาพยายามหาเรื่องคุยเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดที่ความเงียบสร้างเอาไว้ “อายุเท่าไหร่แล้ว?”
“อายุมากกว่านาย”
คำพูดที่สนิทสนมชวนให้มิวตงิดใจ เขาไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน พวกคนประเภทที่ดูไม่สนใจอะไรในสังคมเท่าไหร่นัก และดันเต้ก็เหมือนคนประเภทนี้ไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งใบหน้าและท่าทางดูหยิ่งจองหอง ถึงจะมีเสน่ห์ชวนมองทว่านิสัยกลายเป็นส่วนที่คอยไล่ให้คนหนีห่าง มิวได้แต่หวังว่าตัวเองจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับดันเต้แบบลึกซึ้ง
“อ้อ! แล้วเคยทำงานแบบนี้มาก่อนไหม? แบบที่ต้องคอยดูแลลูกค้าอะไรพวกนี้”
“ก็ไม่เชิงนะ แต่ฉันมีความสามารถเฉพาะตัว เรื่องพวกนี้ไม่น่าจะเกินความสามารถ”
‘ไอ้ความมั่นใจพวกนี้มันคืออะไรกัน’ มิวได้แต่นึกสงสัยในใจ ‘ทำไมหมอนี่มันดูกวนโอ๊ยจังวะ’
“ของจริงกลิ่นพีชจากตัวนายชัดกว่าในฝันอีก”
“อะ… อะไรนะ” มิวหยุดกึก เขาไม่แน่จว่าตัวเองหูฟาดหรือเปล่า “กลิ่น พะ… พีชอะไร”
“ก็พีชต้องห้ามในสวนบาบิโลนไง”
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด