ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้
เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้
ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร
แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน
อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง
อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ
“ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย
“ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำเนิด”
“แล้วตรงนี้หมายความว่าอะไร?” อาร์ตี้ไล้นิ้วมือไปตามตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำทะมึน ที่ติดแน่นอยู่บริเวณหน้าอกข้างซ้ายของดันเต้
“เมื่อวานนายก็ถามฉันไปแล้ว ฉันเบื่อจะบรรยาย… โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้”
“อย่าหงุดหงิดไปเลยน่า” อาร์เต้ออดอ้อนพลางจับมือหนาใหญ่วางไว้บนเอว ส่วนสะโพกก็เด้งรับสัมผัสอันเร่าร้อน
“ฉันเปล่า! ฉันเข้าใจได้ที่นายลืมอะไรไปอย่างรวดเร็ว” ดันเต้ยักคิ้ว “บางทีมันก็ยากถ้าอยากมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ เพราะพวกเขามักลืมอะไรง่ายดาย แต่ก็ว่าไม่ได้… ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา”
“ฉันไม่ลืมนายหรอก”
“ปากดีเหลือเกินพ่อหนุ่มน้อย” มือหยาบกร้านเชยคางเชิดแหลมขึ้น
ดันเต้รับรู้ถึงความปราณาดีกับอาร์เต้พูดออกมา แต่เขาก็รับรู้เรื่องราวที่วนซ้ำมานับพันๆรอบเช่นกัน มันเริ่มต้นอย่างไรและจะจบอย่างไร ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้จนกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อ
ชายร่างยักษ์บรรจงมอบรอยจูบแห่งพิษเพื่อเป็นการปลอบประโลมเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เด็กหนุ่มเปิดโพรงปากดูดกลืนน้ำลายข้นเหนียวเจือกลิ่นหอมละมุนเอาไว้อย่างเต็มใจ โดยไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่ถูกป้อนเข้าปากจะส่งผลต่อการร่างกายและจิตใจโดยตรง
“อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม?” มนุษย์ผู้คลั่งรักถอนรอยจูบ ยื่นข้อเสนอหมายจะยื้อสิ่งที่เกินเอื้อมเอาไว้ในมือ
“เพื่อนเหรอ… เราจะเป็นเพื่อนได้ยังไงถ้านายจ้องจะขย่มดุ้นของฉันทุกครั้งที่ลืมตาตื่น”
“เรามีเพื่อนไว้ใช้งานได้หลายรูปแบบนะ เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว หรือเพื่อน… เยส!”
“ฉันชอบความคิดนายนะ แต่ทุกคนที่ฉันอยากเป็นเพื่อนด้วยหวังจะมีอะไรกับฉันกันหมด” ดันเต้ตบเบาๆลงบนแก้มพองกลมของอาร์เต้ ก่อนจะจรดปลายนิ้วลงบนท้องน้อยของเด็กหนุ่ม “เรื่องไร้สาระพวกนั้นช่างมัน เรามาทำหน้าที่กันดีกว่า”
ประกายไฟอุ่นๆแล่นจากปลายนิ้วกลมใหญ่เข้าสู่ร่างขาวเนียนอย่างรวดเร็ว ลมหายใจของอาร์เต้หนักหน่วงโดยพลัน
ทุกอย่างในหัวเหมือนถูกรีเซตใหม่ทั้งหมด อาร์เต้แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดอะไรต่อ จุดประสงค์เดียวของเขาในตอนนี้กลายเป็นความต้องการของดันเต้ไปจนสิ้น
“นายว่าฉันเซ็กซี่ไหม?”
คำออดอ้อนแผ่วเบามาจากเด็กหนุ่มผู้เยาว์วัยกว่า เขาหวังเพียงคำตอบที่กำลังจะได้ยินช่วยเติมเต็มความสุขในใจให้พลุ่งพล่าน
“ไม่ใช่ว่านายกำลังเล่นกับคำตอบอยู่เหรอ”
รอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากชายร่างสูงใหญ่ โดยเฉพาะเวลาที่เขากำลังตื่นเต้นกับการเก็บเกี่ยวจากการเสพสังวาสกับมนุษย์ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม
อุ้งมืออ่อนโยนของอาร์เต้คว้าหมับแท่งเนื้อแข็งแกร่งดุดันของดันเต้เอาไว้ เขาสัมผัสถึงความลื่นเหนียวได้จากส่วนปลาย ความอบอุ่นและสัญญาณการกระตุกสั่นถูกส่งไปยังฝ่ามือของเด็กหนุ่ม
ประตูสวาทสีชมพูและอ่อนนุ่มของอาร์เต้เริ่มตอบสนอง มันเปียกชื้นเป็นประกายราวกับกำลังรอกลืนกินบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆ
หัวใจเริ่มเต้นระรัวผิดจังหวะ เลือดลมสูบฉีดไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง แก้มทั้งสองอุ่นร้อนคล้ายอาการเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
กลิ่นกายของชายตรงหน้ารุนแรงขึ้นมาก เป็นกลิ่นที่อาร์เต้ก็อธิบายไม่ถูกและไม่เคยรับรู้มันมาจากไหนมาก่อน สิ่งที่พอจะช่วยให้นึกถึงได้ คงเป็นยางไม้หรือเปลือกไม้หอมอะไรสักอย่าง มันให้สัมผัสที่อบอุ่นแต่ซ่อนแฝงความร้อนรุ่มเอาไว้บางจุด อีกทั้งยังมีความเยือกเย็นเจือจางอยู่อีกด้วย
“ถ้านายอยากให้ฉันหลงเสน่ห์ นายต้องทำมากกว่านี้” ดันเต้เห็นอาการของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขารู้ได้ทันทีว่าการเก็บเกี่ยวกำลังเริ่มต้น
ไม่เพียงแต่เป็นปีศาจแห่งตัณหา ชายร่างยักษ์ยังเป็นจอมละโมบอีกด้วย เขาท้าทายเด็กหนุ่มผู้พร้อมยกทุกอย่างให้เป็นเครื่องสังเวยด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์
“มากกว่านี้เหรอ?” ความตื่นเต้นบีบรัดต้นขาของอาร์เต้จนสั่น เขายกตัวขึ้นเล็กน้อยจับส่วนหัวที่เกินตัวจ่อเข้ากับปากทางอันคับแคบ “ถ้าแบบนี้ล่ะ”
เด็กหนุ่มกดร่างตัวเองลงไปจนสุดในครั้งเดียว รูสวาทที่รัดแน่นดูดกลืนท่อนยักษ์ของดันเต้ มันห่อหุ้มแท่งนั้นอยู่ภายในอย่างอ่อนโยน
แรงดันอันหนักหน่วงและรวดเร็วทำให้ชายทั้งคู่ตัวสั่นกระตุก เมือกขาวใสเจือกลิ่นหอมอ่อนๆถูกบีบคั้นให้หลั่งอยู่ภายใน
“ซี้ด… อืม…” ดันเต้ครางกระเส่า ดวงตาเกือบปิดสนิทจากความเสียวซ่าน “นายเจ็บหรือเปล่า? นายไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“ไม่! มันรู้สึกดีมาก”
ปากทางที่โดนขยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ละทิ้งความเจ็บปวด อาร์เต้เม้มปากนั่งแช่ตัวอยู่บนตักของดันเต้ ภายในพยายามทำความคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามาอีกครั้ง
“อย่าทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นนายจะทำตัวเองเจ็บตัว” ดันเต้พยายามทำหน้าขึงขัง แต่ก็ได้เพียงขบกัดฟันกรามอย่างอดทน
“นายเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ นายเองก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“ฉันบอกนายแล้ว ว่าฉันไม่ใช่ปีศาจอำมหิต”
“แต่สำหรับฉันนายอำมหิต… ของของนายมันอำมหิตและเลือดเย็น” อาร์เต้เริ่มขยับร่างกาย ลมหายใจถูกผ่อนเพื่อคลายแรงกดดันจากภายใน “ฟู่”
“ส่วนนายคงเป็นมนุษย์ที่อำมหิตที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ… อึก”
“เหรอ?”
“รู้ไหมการทรมานปีศาจไม่ได้ทำกันง่ายๆ แต่กับนาย… เหลือเชื่อเลย”
เอวคอดบางของอาร์เต้โยกเป็นวงกลม ท่อนเนื้อน่ารักสีสว่างของเขาตีเข้ากับหน้าท้องแข็งแกร่งของดันเต้ เสียงกระทบกันของผิวหนังดังสลับกับเสียงกระเส่า
ถึงจะคุ้นชินมาสักพักแต่ขนาดที่ใหญ่ยักษ์ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของอาร์เต้มีข้อจำกัด ข้างในหดตัวบีบรัดเมื่อเจ้าแท่งเนื้อกระทุ้งโดนจุดอ่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ
พื้นที่ที่คับแคบแน่นขนัดมากขึ้นไปอีก ขาอันแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มเริ่มอ่อนระทวย
“ฉันว่าเรามาเริ่มปิดฉากตอนนี้กันดีกว่า”
เสียงนุ่มทุ้มดังก้อง มันเหมือนเสียงกระซิบไหลเวียนมาจากทุกทิศทาง นัยน์ตาของชายร่างใหญ่เปล่งประกายอยู่ในเงามืด
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด