LOGINเช้าวันใหม่มาถึงอย่างเงียบสงบ
มีนาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ รู้สึกถึงร่างกายที่หนักอึ้งผิดปกติ เธอยังไม่ได้ลุกขึ้นทันที แต่เลือกที่จะนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงอีกสักพัก ปล่อยให้ตัวเองค่อยๆ ปรับตัวกับความรู้สึกที่ยังสับสนอยู่ในหัว
ผ่านไปพักใหญ่ เธอค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น ผ้าห่มเลื่อนหลุดจากไหล่ เผยให้เห็นรอยจางๆ บนผิวเนียนเหนือเนินไหล่ รอยที่ชัดเจนพอจะย้ำว่า...สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ใช่ความฝัน
มีนาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่ ร่างสะท้อนตรงหน้าทำให้เธอชะงัก ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแดงระเรื่อ และเส้นผมยุ่งเหยิงอย่างที่ไม่ได้เกิดจากแค่การนอนหลับธรรมดา แต่เป็นร่องรอยจากเรื่องราวที่เธอไม่อยากนึกถึงแต่ก็ไม่อาจลบเลือนไปจากใจได้ง่ายๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวเธอ เป็นเสียงของดนุที่ยังคงสะท้อนชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
“ก็แค่ตัวแทน…แล้วทำไมเราถึงรู้สึกมากขนาดนี้”
เธอหลับตาลงช้าๆ ถอนหายใจเงียบๆ พยายามบอกตัวเองว่านี่คือความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมีความหมายอะไรเลย แต่คำว่า “แค่” กลับไม่เคยช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้นเลยสักนิด
มีนาเดินกลับมานั่งลงที่เตียงอีกครั้ง สายตาของเธอสะดุดเข้ากับกระดาษโน้ตเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงตั้งแต่เมื่อคืน
ลายมือที่เขียนด้วยตัวอักษรชัดเจนทำให้เธอแทบหยุดหายใจ
“คืนนี้ ถ้าอยากลืมอีก ผมจะรออยู่ที่เดิม”
มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะถือกระดาษใบนั้นไว้ เธอขยำมันเบาๆ เหมือนต้องการจะลืม แต่สุดท้ายกลับค่อยๆ คลี่ออก พับใหม่อย่างระมัดระวัง แล้วเก็บลงไปในช่องลับของกระเป๋าสตางค์
…
ตรอกแคบหลังบาร์ลิโอจิน
เมฆฝนดำทึบตั้งเค้าอยู่เหนืออาคารสูง เสียงลมพัดเบาๆ พากลิ่นชื้นของฝนและควันจากท่อไอเสียรถยนต์เก่าเข้ามาในตรอกแคบ รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่กลางตรอก กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลงช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของณภัทรที่เย็นชา แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นอย่างชัดเจน
ดนุเดินตรงเข้ามาหาอย่างไม่รีบร้อน เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาใส่อยู่ปลิวไสวเล็กน้อยตามสายลม เขาหยุดเดินเมื่ออยู่ห่างจากรถไม่กี่ก้าว แล้วมองตรงเข้าไปในดวงตาของณภัทรด้วยท่าทีท้าทายเล็กๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ไม่ต้องมองแรงขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่ได้ขโมยอะไรของคุณไปเลยนะ เธอเดินมาหาผมเอง”
ณภัทรกัดฟันแน่นจนกรามขึ้นสัน เขาเปิดประตูรถก้าวลงมาอย่างแรงจนประตูกระแทกเสียงดังลั่นตรอก บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังรีบก้าวเข้ามาเตรียมพร้อมทันที
“แกเป็นใคร?” เสียงของณภัทรต่ำลึก กดอารมณ์ไว้เต็มที่ แต่ฟังแล้วข่มจนบรรยากาศทั้งตรอกเงียบกริบ
ดนุยกมือขึ้นนิดๆ เหมือนจะบอกให้ใจเย็น แต่คำพูดที่ออกมากลับสวนทาง
“ผมก็แค่ผู้ชายขายตัวที่โชคดีนิดหน่อย ได้แตะต้องผู้หญิงที่คุณไม่กล้าแตะ ทั้งที่เฝ้ามองเธอมาตลอด”
ณภัทรพุ่งตัวเข้าไปหาทันที ทว่าบอดี้การ์ดสองคนก้าวเข้ามาขวางไว้อย่างรวดเร็ว
“คุณภัทร ใจเย็นก่อนครับ มีคนถ่ายคลิปอยู่” บอดี้การ์ดพูดเตือนเสียงเบาๆ
ณภัทรชะงักเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างข่มอารมณ์ ก่อนจะจ้องตาดนุอีกครั้ง
“อย่าคิดว่าแค่หน้าคล้ายฉัน แล้วแกจะเป็นฉันได้” ณภัทรพูดลอดไรฟันอย่างโกรธเคือง
“ผมไม่เคยอยากเป็นคุณ” ดนุพูดตอบนิ่งๆ แต่แววตากลับท้าทายอย่างชัดเจน
ณภัทรกำมือแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้นชัดเจน เขาพยายามควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงอยู่ในอกก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“มึงจะยั่วโมโหกูไปถึงเมื่อไหร่”
ดนุยักไหล่เล็กน้อย สายตานิ่งเฉย แล้วพูดกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมแค่อยากจะบอกว่า.... คุณช้าไปแล้ว พลาดแค่ก้าวเดียว ผู้หญิงของคุณก็ตกมาเป็นของผม ผู้ชายขายตัวที่ไม่มีอะไรสู้คุณได้เลยสักนิด”
…
กลับมาที่ห้องของมีนา เธอเพิ่งกลับถึงห้องและปิดประตูอย่างเงียบเชียบ วางกระเป๋าลงบนโซฟา ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างรับลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาเบาๆ เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอย่างลังเล แล้วเปิดช่องลับออกอีกครั้ง หยิบกระดาษโน้ตใบเดิมออกมาอ่านข้อความซ้ำ แม้เธอจะจำได้ขึ้นใจอยู่แล้วก็ตาม
“คืนนี้ ถ้าอยากลืมอีก ผมจะรออยู่ที่เดิม”
เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ อย่างลังเล “แล้วถ้าไม่อยากลืมแล้วล่ะ?”
เธอค่อยๆ พับกระดาษโน้ตใบนั้นกลับเข้าช่องเดิม กอดกระเป๋าสตางค์ไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อจะตัดสินใจบางอย่างที่สำคัญที่สุดในคืนนี้
ข่าวใหญ่ระเบิดขึ้นมาโดยไม่มีใครตั้งตัว... มันเริ่มต้นจากสำนักข่าวออนไลน์เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ได้รับไฟล์ข้อมูลนิรนามซึ่งถูกเข้ารหัสไว้อย่างแน่นหนา นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งใช้เวลาทั้งคืนในการถอดรหัสไฟล์นั้น... และสิ่งที่เขาค้นพบก็ทำให้เขาแทบหยุดหายใจมันคือหลักฐานชุดสุดท้ายที่หน่วยเงาของดนุรวบรวมไว้ก่อนที่จะยุติบทบาทลง... คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไปของโศกนาฏกรรมตระกูลพัชรลักษณ์ทั้งเส้นทางการเงินที่โยงใยไปยังบุคคลลึกลับ, คลิปเสียงบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ถูกบันทึกไว้ในอดีต, และคำให้การของพยานที่เคยถูกข่มขู่ให้ปิดปาก... หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่บุคคลคนเดียวกัน... คนที่ไม่มีใครเคยคาดคิดอำภา... อดีตภรรยาของพัชรลักษณ์ และผู้หญิงที่ณภัทรเรียกว่า ‘แม่’ มาทั้งชีวิตภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทุกสำนักสื่อ พาดหัวข่าวตัวใหญ่ปรากฏขึ้นบนทุกแพลตฟอร์ม: ‘อำภา: นางพญาหลังม่านเลือด?’, ‘เปิดโปงจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย: เบื้องหลังโศกนาฏกรรมตระกูลพัชรลักษณ์’, และ ‘จากเหยื่อ... สู่ผู้สมรู้ร่วมคิด?’สังคมตกอยู่ในความสับสน... ภาพลักษณ์ของหญิงสูงศักดิ์ที่น่าสงสารและถูกสามีกดขี่ บัดนี้ได้พังทลายลงในชั่ว
ความเย็นเยียบของห้องเก็บศพที่แผนกนิติเวชกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของดนุไปแล้ว เขากำลังใช้ผ้าชุบแอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดเตียงสแตนเลสที่ว่างเปล่าอย่างเงียบๆ การทำงานบริการสังคมของเขาที่นี่คือการเผชิญหน้ากับความตายในรูปแบบที่สงบและเป็นธรรมดาที่สุด... มันคือการมอบเกียรติครั้งสุดท้ายให้กับร่างไร้วิญญาณที่ไม่เคยมีใครแสดงความอาลัยท่ามกลางความเงียบนั้นเอง... โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่นขึ้นเบาๆ ในกระเป๋ากางเกงมันเป็นอีเมลฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาถึงเขาโดยตรง... คำเชิญจากรายการออนไลน์เล็กๆ ที่ชื่อว่า “เราคือคนที่เปลี่ยนได้ไหม”ดนุเหลือบมองชื่อรายการและรายละเอียดคร่าวๆ ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า... ‘รายการสนทนาเชิงลึกที่จะเชิญบุคคลที่เคยผ่านจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตมาพูดคุยถึงการเดินทางภายใน’... เขาไม่มีความปรารถนาที่จะกลับไปอยู่ใต้แสงไฟหรือตอบคำถามของใครอีกแล้ว โลกใบนั้นมันได้ตายไปจากเขาแล้ว... เขาจึงกดลบอีเมลนั้นทิ้งไปในทันทีแต่ในคืนนั้นเอง... ขณะที่เขากำลังนั่งอ่านรายงานความคืบหน้าของเด็กๆ ในโครงการทุนการศึกษา ‘ชีวิตใหม่’ ที่ออฟฟิศของมูลนิธิ เขาก็ได้เปิดอ่านจดหมายจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พ่อของ
ดนุลืมตาตื่นขึ้นก่อนที่แสงแรกของวันจะมาถึง เขานั่งนิ่งๆ อยู่บนระเบียงไม้ของ ‘เรือนเยียวยา’ ปล่อยให้สายลมเย็นๆ ของภาคเหนือลูบไล้ใบหน้า ในความเงียบสงบยามเช้า เขานึกย้อนไปถึงชีวิตที่ผ่านมา... ชีวิตที่เคยอยู่ในเงามืด, ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความแค้น, และชีวิตที่เพิ่งจะค้นพบความหมายที่แท้จริง เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายของลุงกร... ‘พอได้แล้วกับการทำลาย... จากนี้ไป จงใช้ชีวิตเพื่อเยียวยา’ วันนี้... คือวันแรกของการ ‘สร้าง’ อย่างเป็นทางการแสงแดดในวันนั้นดูสว่างและอบอุ่นกว่าวันไหนๆ ทุ่งนาสีเขียวขจีรอบเรือนเยียวยาต้องแสงจนกลายเป็นสีทองอร่าม สายลมที่พัดผ่านนำพาเอากลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงหัวเราะของผู้คนให้ลอยไปทั่วบริเวณวันนี้คือวันเปิดศูนย์เรือนเยียวยาอย่างเป็นทางการงานถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและเป็นกันเอง ไม่มีพิธีรีตองที่หรูหรา ไม่มีนักการเมืองหรือสื่อมวลชนกระแสหลัก มีเพียงผู้หญิงจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาที่นี่... ผู้หญิงที่เคยมีบาดแผล, ผู้หญิงที่กำลังมองหาความหวัง และผู้หญิงที่พร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเธอนั่งพูดคุยกันบนเสื่อที่ปูไว้ตามลานดิน แลกเปลี่ยนเรื่องราวและมอบรอยยิ้มให้แก่กันและกัน
เช้าวันนั้นที่ ‘เรือนเยียวยา’ ดนุไม่ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดหรือเตรียมอาหารเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้เขามีภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตรออยู่ เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เรียบง่ายที่สุดและกางเกงสีเข้ม ขับรถกระบะคันเก่าที่ใช้ในมูลนิธิออกเดินทางไปยังตัวอำเภอเพียงลำพังถนนหนทางที่เขาขับผ่านเต็มไปด้วยภาพชีวิตที่แสนจะธรรมดา... เด็กนักเรียนปั่นจักรยานไปโรงเรียน, ชาวบ้านที่ตั้งแผงขายของในตลาดเช้า, และข้าราชการที่กำลังเดินทางไปทำงาน... มันคือภาพที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคย ‘มอง’ อย่างแท้จริง วันนี้... ทุกอย่างกลับดูคมชัดและมีความหมายอย่างน่าประหลาดสำนักงานเขตในบ่ายวันนั้นอบอ้าว เสียงพัดลมเพดานหมุนเอื่อยๆ เจ้าหน้าที่นั่งทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ผู้คนเดินเข้าออกทำธุรกรรม... มันคือสถานที่ราชการที่แสนจะธรรมดา แต่สำหรับดนุแล้ว... วันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขานั่งรออยู่บนเก้าอี้พลาสติกอย่างสงบเสงี่ยม ไม่รีบร้อน ไม่หงุดหงิด เขาเพียงแค่มองดูทุกอย่างรอบตัว เขามองเห็นแม่คนหนึ่งที่กำลังปลอบลูกน้อยที่ร้องไห้งอแง, เห็นชายชราที่กำลังค่อยๆ บรรจงประทับล
เสียงออดเลิกเรียนคาบเช้าดังขึ้นบาดหู ณภัทรสะดุ้งเล็กน้อยกับความดังของมัน เขาหันไปมองภาพนักเรียนที่กำลังทยอยเดินออกจากห้องเรียนกันอย่างจอแจ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังสะท้อนไปทั่วทางเดินของอาคารเรียนที่ดูเก่าแก่แต่สะอาดสะอ้านของโรงเรียนมัธยมเล็กๆ แห่งหนึ่งนอกกรุงเทพฯเขายืนนิ่งอยู่หน้าต่างห้องพักครูที่อบอ้าว ในมือยังคงถือแก้วกาแฟที่เย็นชืดไปแล้ว เขาไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขาเพียงแค่ยืนมองและรับฟัง... พยายามทำความคุ้นเคยกับโลกใบใหม่ที่เขาเลือกเดินเข้ามาด้วยตัวเองหลังจากการแถลงข่าวครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนั้น... เขาก็ได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ทั้งตำแหน่ง ความมั่งคั่ง และเกียรติยศจอมปลอมของตระกูลพัชรลักษณ์ เขาใช้เวลาพักใหญ่จัดการเรื่องกฎหมายและช่วยถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ ให้กับโครงการ ‘ฟอกระบบ’ ของดนุ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเอง... เส้นทางที่ไม่มีใครคาดคิดเขาไม่ได้หันไปเล่นการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่เคยคิดไว้ แต่เขาเลือกที่จะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นที่เล็กที่สุด... นั่นคือการเป็น ‘ครู’ณภัทรเริ่มต้นงานใหม่ในฐานะอาจารย์พิเศษสอนวิชา
ก่อนที่ประตูแกลเลอรีจะเปิดในเย็นวันนั้น มีนายืนอยู่กลางห้องที่เงียบสงัดเพียงลำพัง แสงไฟสีนวลถูกปรับให้ส่องกระทบผลงานแต่ละชิ้นอย่างลงตัว พื้นไม้ขัดมันสะท้อนเงาของเธออย่างเลือนราง เธอยกข้อมือซ้ายขึ้นมา... นิ้วโป้งลูบไล้ไปบนรอยสักรูปผีเสื้อเบาๆ มันคือเครื่องเตือนใจ... คือแผนที่การเดินทางที่ผ่านมาทั้งหมดของเธอสายลมแรกของฤดูใบไม้ร่วงในกรุงเวียนนาพัดพาความเย็นที่สดชื่นมาพร้อมกับเสียงระฆังจากโบสถ์ที่อยู่ห่างไกลออกไป ประตูแกลเลอรีเปิดออก ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามา... ทั้งนักวิจารณ์ศิลปะ, นักศึกษา, จิตแพทย์ที่เธอรู้จักจากคลาสเรียน, และผู้คนทั่วไปที่สนใจในชื่อนิทรรศการที่เรียบง่ายแต่กลับสะดุดใจ“Wounds and Wings” มีนาถอยกลับไปยืนเงียบๆ ที่มุมหนึ่งของห้อง เฝ้ามองผู้คนที่เคลื่อนตัวไปตามผนังสีขาวสะอาดอย่างช้าๆ บรรยากาศในแกลเลอรีเต็มไปด้วยความเงียบที่ให้เกียรติ มีเพียงเสียงฝีเท้าเบาๆ และเสียงกระซิบกระซาบเป็นครั้งคราว เธอเห็นบางคนหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าภาพวาดเป็นเวลานาน, บางคนยกมือขึ้นปิดปากด้วยความสะเทือนใจ, บางคนหันไปกอดคนที่มาด้วยเบาๆ... เธอรู้สึกว่าความเจ็บปวดส่วนตัวของเธอ บัดนี้ได้กลายเป็นภาษาสากลที่ทุ





![บำเรอรักบอดี้การ์ดของคุณพ่อ [ Love Slave ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

