ลมกลางคืนบนดาดฟ้าของลิโอจินพัดแรงกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ไม่ได้หนาวจัด...แต่อากาศเย็นเฉียบแทรกผ่านผิว ราวกับตั้งใจจะเตือนให้หัวใจตื่นรู้ถึงอะไรบางอย่างที่ยังค้างคา กลิ่นควันบุหรี่ผสมกับกลิ่นแอลกอฮอล์บางเบาเจือจางอยู่ในอากาศ ชวนให้รู้สึกเหมือนกับว่าคืนนี้ไม่ใช่แค่เงียบ แต่ยังเต็มไปด้วยสิ่งที่ยังไม่ได้รับการเอ่ยถึง
ดนุยืนพิงราวเหล็ก ปล่อยให้ลมตีผิวแก้มและปลายเสื้อเชิ้ต เสื้อของเขาปลิวสะบัดเป็นจังหวะเงียบงัน เหมือนจะเต้นไปกับความคิดของเขาเอง แก้ววิสกี้ในมือหนึ่งสั่นน้อย ๆ เพราะแรงลม มืออีกข้างคีบบุหรี่ที่ไหม้เกือบหมด ดวงตาเขามืดครึ้มและลึกเกินกว่าที่ใครจะอ่านออก
แสงไฟจากถนนฝั่งตรงข้ามกระพริบสลับแผ่วเบา ราวกับจะบอกว่าโลกภายนอกยังหมุนไป แต่สำหรับเขา บนดาดฟ้าแห่งนี้ เวลาคล้ายจะหยุดอยู่ตรงจุดที่เธอหายไป เสียงความเงียบแทรกซึมทุกอณูความรู้สึก มิใช่ความว่างเปล่า หากแต่เต็มไปด้วยคำถามที่เขาไม่กล้าถามใครอีก
เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เสียงเข็มวินาทีกระทบกันเบา ๆ ฟังดูชัดเกินเหตุ สองทุ่ม... สามทุ่ม... สี่ทุ่ม...
ไม่มีเงาของเธอบนบันได ไม่มีเสียงฝีเท้า ไม่มีแม้แต่ความหวังที่หลงเหลือ สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ คือความทรงจำและความคาดหวังที่ไม่เคยเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ
ดนุถอนหายใจยาว หัวเราะในลำคอเบา ๆ เหมือนเป็นการระบายที่ไร้เป้าหมาย ริมฝีปากยกขึ้นนิดหนึ่ง รอยยิ้มจาง ๆ
“หนีเก่งไม่เบานะ...” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงเบาหวิว ลอยหายไปกับลม
เขาค่อย ๆ วางแก้ววิสกี้ลงข้างเท้า แก้วกระทบพื้นซีเมนต์ดัง "กึง" เสียงนั้นชัดเจนในความเงียบ ราวกับประกาศบางอย่างที่ไม่มีใครกล้าพูด เสียงนั้นเหมือนจังหวะสุดท้ายของเพลงที่ไม่มีคนฟัง
เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองท้องฟ้าที่ไร้ดาว ตาเขาไม่ได้ค้นหาคำตอบจากฟ้า แค่กำลังพยายามยอมรับว่าไม่มีคำตอบใดอยู่ตรงนั้นเลย
“แต่ถ้าเธอจะหนี...” เขาเอ่ยอีกครั้ง “ก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าจะหนีไปได้ไกลแค่ไหน”
...
ฝั่งตรงข้ามถนน เสาไฟดวงหนึ่งกระพริบช้า ๆ ใต้แสงสีขาวซีด หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งยืนนิ่ง ราวกับโลกทั้งใบไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยนอกจากปลายเสื้อคลุมที่ปลิวตามแรงลม
มีนายืนกำสายกระเป๋าแน่น นิ้วมือเกร็งจนนูนเส้นเอ็น ร่างของเธอดูเล็กลงในยามค่ำคืน แต่แววตายังคงมุ่งมั่น เธอเหมือนคนที่กำลังจะก้าวไป แต่กลับถูกบางสิ่งในใจรั้งไว้อย่างแน่นหนา
เธอเงยหน้ามองตึกสูงตรงหน้า เหม่อมองไปยังดาดฟ้าที่แม้มองไม่เห็น แต่เธอมั่นใจเต็มหัวใจว่าเขายังอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องได้ยิน เธอก็รู้ เพราะบางอย่างในใจเธอยังคงสะท้อนคำตอบนั้นอย่างเงียบงัน
ข้าง ๆ เธอ เพื่อนสาวคนสนิทพิงกำแพงเงียบมานาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่าไปสนใจเลย...ก็แค่ผู้ชายขายตัว”
ประโยคนั้นไม่ได้ดังมากนัก ไม่ได้มีอารมณ์อะไรแฝงอยู่ แต่กลับเฉือนลึกเข้าไปในใจของมีนาอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว ราวกับมีดคมบางเฉือนลงช้า ๆ โดยไม่เจ็บในตอนแรก แต่ทิ้งร่องรอยไว้ให้รู้สึกในวินาทีต่อมา
เธอไม่หันไป ไม่พูดตอบ ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงแต่หลับตาลงช้า ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ความรู้สึกทุกอย่างแน่นอยู่ในอกเหมือนน้ำที่ค้างอยู่ในฝนก่อนเทตกจากฟ้า
ข้างในหัวใจกำลังตีวน วุ่นวายเหมือนพายุที่ไม่รู้ทางออก ไม่มีคำตอบ ไม่มีที่พึ่ง มีเพียงตัวเธอเองที่ยืนเงียบท่ามกลางทุกอย่างที่ไม่ได้เงียบจริง ๆ
จากริมฝีปากที่แทบไม่ขยับ เสียงกระซิบเบาเหมือนจะหายไปกับลม “แล้วทำไมฉันถึงไม่เดินหนีไปจากที่นี่อีกละ...”
เพื่อนสาวหันมามอง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดคราวนี้อ่อนลงจนแทบแทรกอยู่ในเสียงลม
“เพราะเธอไม่ได้แค่รู้สึก...แต่เธอกำลังผูกพันไปด้วย”
คำพูดนั้นเหมือนหยดน้ำตกลงกลางใจเธอไม่แรง ไม่ดัง แต่กลับทำให้ทุกอย่างในใจเธอสั่น ราวกับคลื่นใต้น้ำที่แผ่ไหวโดยไม่มีใครเห็น
มีนาไม่พูดอะไรอีก เธอแค่ค่อย ๆ หันหลังให้ตึก สายตายังทอดยาวอยู่ที่ขอบฟ้าเบื้องบน เธอไม่ละสายตาจากจุดนั้นเลย จนกระทั่งร่างกายเริ่มขยับ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ เริ่มก้าวออกจากจุดนั้น เธอเริ่มเดินเร็วขึ้น ทีละก้าว...เร็วขึ้นอีก เหมือนกลัวว่า ถ้ายังอยู่ต่ออีกนิด เธอจะหันกลับไป แต่ละก้าวเหมือนการตัดสินใจที่ฝืนทั้งตัวและหัวใจ
และเธอไม่มีทางรู้เลยว่า แม้เธอจะเลือกเดินจากตึกนั้นแล้ว แต่บางสิ่งในใจเธอ... ยังยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมขยับไปไหนเลย
เช้าวันนี้ ห้องประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้นบริษัทพัชรลักษณ์ถูกปกคลุมด้วยมวลบรรยากาศอันหนักอึ้งและเงียบงันจนผิดสังเกตโต๊ะประชุมตัวยาวสีเข้มขลับสะท้อนแสงไฟจากเพดานสูง มันถูกจัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสมบูรณ์แบบ บนโต๊ะนั้นมีกองเอกสารหนาเตอะวางอยู่ตรงหน้าของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมก้มสายตาลงอ่านเนื้อหาในนั้นอย่างแท้จริงเสียงกระซิบกระซาบสั้นๆ แทรกตัวขึ้นมาเป็นระยะ ประหนึ่งเสียงรอยร้าวของรากฐานที่กำลังปริแตกอยู่ในความเงียบอันเยียบเย็น เสริมด้วยกลิ่นกาแฟเข้มข้นที่เจือจางในสายลมจากเครื่องปรับอากาศ ซึ่งถูกปรับอุณหภูมิต่ำกว่าปกติจนรู้สึกได้ถึงความเย็นชืดที่เสียดแทงผิวบนเวทีเบื้องหน้า คณะกรรมการบริหารนั่งเรียงแถวกันด้วยท่วงท่าที่เป็นทางการ ทว่าสีหน้าของแต่ละคนกลับปรากฏร่องรอยความตึงเครียดฉายชัดผ่านดวงตาที่แข็งกระด้างและมุมปากที่เม้มแน่น สายตาบางคู่จงใจเบนหลบเลี่ยงกันไปมา ดุจไม่พร้อมจะยอมรับความจริงที่กำลังจะถูกเปล่งออกมาในที่สุด ประธานในที่ประชุมก็เอ่ยขึ้น เสียงของเขาชัดถ้อยชัดคำแต่กลับแฝงด้วยน้ำหนักที่แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด“ตามวาระการประชุมที่หนึ่ง… บริษัทจ
รถแท็กซี่สีเขียวเหลืองค่อยๆ ลัดเลาะขึ้นสู่เนินเขาในจังหวัดเชียงใหม่ ถนนสายเล็กคดเคี้ยวราวกับกำลังพาเธอเดินทางย้อนกลับเข้าไปในความทรงจำของใครบางคน ทิวทัศน์สองข้างทางแปรเปลี่ยนจากตึกสูงและคาเฟ่ทันสมัย เป็นบ้านไม้เก่า ไร่กาแฟ และทิวไม้สูงที่ยืนตระหง่านเงียบงัน ราวกับผู้พิทักษ์ที่เฝ้ามองผู้มาเยือนมีนานั่งชิดริมหน้าต่าง สองมือกอดกระเป๋าสะพายไว้แน่น ไม่ใช่เพราะกลัวของมีค่าสูญหาย แต่เพราะหัวใจที่เต้นระรัวจนต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไออุ่นจากแสงแดดที่ส่องลอดกระจกเข้ามาไม่อาจบรรเทาความเย็นเยียบในอกของเธอได้ ตั้งแต่ได้รับเบาะแสจากธนากรเกี่ยวกับชลธิชา เธอก็รู้ดีว่าการมาที่นี่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เธอเคยรู้... และอาจจะเปลี่ยนชีวิตของดนุไปตลอดกาลรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลที่ปูด้วยหินกรวด ป้ายไม้เก่าที่สลักชื่อ “บ้านร่มลีลา” ปรากฏแก่สายตา ด้านหลังรั้วไม้เตี้ยๆ คืออาณาบริเวณที่สงบร่มรื่น สนามหญ้าสีเขียวสดดูสบายตา ต้นลีลาวดีต้นใหญ่กำลังผลิดอกสีขาวสะพรั่ง กลีบดอกบางส่วนร่วงหล่นโปรยปรายบนพื้นราวกับพรมธรรมชาติอาคารบ้านพักคนชราสีขาวชั้นเดียวดูเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความสงบนิ่งและอบอุ่นมีนาจ่ายค่าโดยสาร
เสียงโห่ร้องและถ้อยคำก่นด่าในห้องประชุมยังคงก้องสะท้อน แต่พัชรลักษณ์กลับยืนนิ่งสงบอยู่บนโพเดียมอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าที่เคยเย็นชาดุจน้ำแข็ง บัดนี้เริ่มปรากฏรอยสั่นไหวที่ไม่อาจซ่อนเร้นดวงตาคมกล้าที่เคยกดข่มทุกคนจนสิ้นฤทธิ์ บัดนี้กลับสั่นพร่าราวกับม่านน้ำตาบางๆ กำลังก่อตัวขึ้น ต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหวอีกต่อไป เขาจ้องลึกลงไปที่ดนุ คู่ปรับคนสำคัญที่ยืนนิ่งอยู่กลางเวที... มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับสู่ความเรียบเฉยที่น่าขนลุกแววตาของพัชรลักษณ์ที่เคยทอประกายแห่งอำนาจ บัดนี้เหลือเพียงร่องรอยความร้าวรานที่ซ่อนอยู่ลึกสุดใจ ริมฝีปากพยายามขยับราวกับอยากจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัดแล้วจู่ๆ...ร่างสูงใหญ่ที่เคยสง่างามของพัชรลักษณ์ก็ซวนเซ มือหนากำขอบโพเดียมไม้เนื้อแข็งแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังขึ้น ก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดฮวบลง... หมดสิ้นสภาพของราชันผู้ยิ่งใหญ่“พ่อ!”ณภัทรตะโกนสุดเสียง ทะยานฝ่าความวุ่นวายและกลุ่มนักข่าวที่เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะได้สัมผัสร่างของบิดา
รุ่งอรุณของวันถัดมา ดนุยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ภาพที่สะท้อนกลับมาคือชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบ แต่แววตากลับไม่ใช่คนเดิม มันคือดวงตาของคนที่ความเจ็บปวดได้หล่อหลอมให้กลายเป็นเหล็กกล้า... แข็งแกร่งและแน่วแน่เขาล้วงมือลงในกระเป๋า สัมผัสม้วนเทปของแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเก็บมันกลับใส่กล่องไม้อย่างทะนุถนอม มันคือคำมั่นสัญญากับตัวเองวันนี้… โลกทั้งใบจะได้ยินเสียงของชลธิชาในเวลาเดียวกัน คฤหาสน์พัชรลักษณ์ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด อากาศหนักอึ้งราวกับมีพายุก่อตัวอยู่ภายใน พัชรลักษณ์ในชุดสูทสั่งตัดอย่างประณีตราวกับชุดเกราะ ก้าวออกจากห้องทำงานด้วยท่าทีสงบนิ่ง แววตาคมกริบฉายชัดถึงความเย่อหยิ่งที่ฝังลึก เขารู้ว่าทุกสายตากำลังจับจ้อง แต่สำหรับเขา… นี่เป็นเพียงอีกเกมหนึ่งที่เดิมพันด้วยทุกสิ่ง และเขาไม่เคยคิดที่จะแพ้ณภัทรเดินตามหลังบิดาเงียบๆ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง “ตั้งสติไว้” พัชรลักษณ์เอ่ยเสียงต่ำ ราบเรียบแต่ก้องกังวาน “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้” ณภัทรทำได้เพียงพยักหน้ารับ โดยไม่กล้าแม้แต่จะสบตาช่วงบ่าย การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทพัชรลักษณ์เริ่มต้นขึ้น พร้อมการ
ตอนที่ 61: ปริศนาน้ำเสียงในเทปเก่าคำปฏิเสธของพัชรลักษณ์ยังคงตามหลอนอยู่ในความคิดของดนุ มันไม่ใช่แค่เสียงที่ก้องกังวาน แต่เป็นเหมือนเศษแก้วที่ทิ่มแทงซ้ำๆ ลงบนบาดแผลเดิม เขาเดินทางกลับมายังบ้านเก่าของแม่ สถานที่ซึ่งความทรงจำและความเงียบงันจับตัวกันแน่นในอากาศ จนแทบจะหายใจไม่เข้าห้องเก็บของที่กาลเวลาได้ผนึกไว้เปิดอ้าออก ฝุ่นละอองลอยวนในลำแสงอาทิตย์ซึ่งลอดผ่านรอยร้าวบนบานหน้าต่าง ดนุนั่งคุกเข่าลงบนพื้นไม้เก่า มือใหญ่ไล่สำรวจกล่องกระดาษทีละใบ จนกระทั่งสายตาของเขาหยุดนิ่งอยู่ที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ...ตุ๊กตาที่ประดับด้วยรอยปะชุนจากฝีมือของแม่เขามองมันนิ่ง สายตาจมลึกลงในความว่างเปล่า... พาความคิดย้อนกลับไปเห็นภาพแม่กำลังนั่งซ่อมมันอย่างใจเย็น ก่อนที่ปลายนิ้วหนาจะค่อยๆ เลาะตะเข็บด้ายบริเวณต้นคอของตุ๊กตา และในโพรงเล็กๆ นั้น… ม้วนเทปคาสเซ็ตต์ขนาดเล็กซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบงันดนุหยิบมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ลมหายใจหนักหน่วงราวกับมีหินถ่วง เขาเสียบเทปลงในเครื่องเล่นเก่า เสียง “คลิก” ดังแผ่วเบา และทันทีที่มันเริ่มหมุน…เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็เล็ดลอดออกมา เสียงที่ขาดห้วงและสั่นพร่า ทุกพยางค์เปียกชุ่มด้วยคว
ตอนที่ 60: พิสูจน์สายเลือด ห้องแถลงข่าวแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ยืน แสงแฟลชสว่างวาบไม่หยุดหย่อนราวกับพายุสายฟ้า เสียงจอแจดังระงมจนอื้ออึง อุณหภูมิในห้องราวกับจะสูงขึ้นทุกวินาทีภายใต้แรงกดดันมหาศาลพัชรลักษณ์ก้าวขึ้นสู่โพเดียมด้วยท่วงท่าสงบนิ่ง แต่แววตาคมกริบดุจมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกคำถาม เขากวาดสายตามองทั่วห้อง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ชัดถ้อยชัดคำ“ในฐานะหัวหน้าตระกูลผมขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน... ชายที่ชื่อดนุ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ กับตระกูลของเราแม้แต่น้อย”เสียงฮือฮาดังกระหึ่มราวกับระเบิดลง แต่พัชรลักษณ์ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง“เขาไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากมิจฉาชีพ ที่ใช้เอกสารปลอมเพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีสิทธิ์!”คำประกาศิตนั้นถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว โลกออนไลน์ลุกเป็นไฟ#ดนุเป็นมิจฉาชีพพุ่งทะยานขึ้นอันดับหนึ่งในเวลาไม่ถึงชั่วโมงในอีกฟากหนึ่งของเมือง ดนุนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพังในห้องสี่เหลี่ยมเงียบสงัด สายตาจับจ้องอยู่ที่กล่องไม้เก่าบนโต๊ะ... กล่องที่กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยไว้เนิ่นนานมือใหญ่ของเขาค่อยๆ เผยอฝากล่องออกอย่างแผ่วเบาภายในมีเพียงฟันน้ำนมซี่เล็กที่ถู