หน้าอาคารเรียน ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เต็มไปด้วยนักศึกษาที่นั่งจับกลุ่มใต้ร่มไม้บังแดด บ้างก็นั่งจิบกาแฟ บ้างเปิดโน้ตบุ๊ก พูดคุยเสียงดังสลับกับเสียงแจ้งเตือนจากแอปต่าง ๆ ที่เด้งขึ้นมาไม่หยุด
บรรยากาศดูเหมือนเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่ไม่ใช่สำหรับมีนา
มีนาเดินช้า ๆ เข้ามาในพื้นที่ที่เธอเคยคุ้น แต่ไม่เคยรู้สึกเป็นของตัวเองอีกเลยหลังจากวันนั้น
เสื้อช็อปคณะตัวใหม่ที่เธอสวม ดูไม่เข้ากับบุคลิกนิ่ง ๆ ของเธอสักเท่าไหร่ ผมถูกมัดรวบไว้แบบไม่ตั้งใจ ใบหน้าเธอดูอิดโรยกว่าคนอื่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนอนไม่พอ...แต่เพราะเธอนอนไม่หลับเลยเมื่อคืน
“เจอหน้ากันอีกแล้วเหรอวะ...” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ เมื่อสายตาเธอกวาดผ่านโต๊ะไม้ตัวยาวข้างต้นพิกุลหน้าตึก และเห็น เขา นั่งอยู่ตรงนั้น
ดนุ
ในเสื้อโปโลคณะสีกรมท่าตัวเดิม ผมยุ่งนิด ๆ แบบที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่ดันดูดีแบบคนไม่พยายาม เขากำลังนั่งอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง โดยมีเด็กปีหนึ่งสองสามคนนั่งอยู่ไม่ไกล คุยกันคิกคักเหมือนชื่นชมพี่ปีสี่สุดเท่
มีนารีบหันหลังกลับ พยายามเลี่ยงเหมือนคนที่เห็นผีแล้วไม่อยากถูกมองเห็น แต่สายเกินไป
“มีนา” เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่มันดังก้องในใจเธอ
เธอหยุดนิ่งเท้าไปครึ่งวินาที ก่อนจะเดินเร็วขึ้นเหมือนคนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีนา เดี๋ยวสิ” เขาเรียกอีกครั้ง คราวนี้มีเสียงลุกจากเก้าอี้ตามมาด้วย
บ้าเอ๊ย...อย่าตามมา เธอสบถในใจ พยายามเดินให้เร็วขึ้นแต่ไม่ถึงกับวิ่ง
“มีนา เธอจะหนีไปถึงเมื่อไหร่?”
เธอหยุดเดินทันที ราวกับคำพูดนั้นสะกดเธอไว้ เพื่อให้หันกลับไป ดนุยืนอยู่ห่างจากเธอแค่ไม่กี่ก้าว ใบหน้าเขายังคงสงบเหมือนเดิม แต่ในแววตาเหมือนมีบางอย่างที่กำลังเรียกร้อง...หรืออาจแค่สั่นไหว
“ไม่ได้หนี” เธอตอบเสียงเรียบ
“เธอไม่มองหน้า ไม่คุย ไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่วันนั้น... แล้วจะให้ฉันคิดว่าไง?”
มีนาเงียบไปชั่วขณะ ลมหายใจเข้าออกไม่สม่ำเสมอ เธอกำเสื้อช็อปตัวเองแน่น
“พี่ควรจะลืมมันไปได้แล้ว มันก็แค่คืนเดียว” เสียงเธอแข็งขึ้น
“แล้วเธอลืมได้จริงเหรอ?” ดนุถามกลับทันควัน “ฉันอาจไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตเธอ แต่ฉันก็ไม่ได้จะใครก็ได้เหมือนที่เธอบอกไว้ในคืนนั้น... ฉันเป็นตัวของตัวเอง ที่ฟังเธอร้องไห้ทั้งคืนโดยไม่ถามสักคำ”
มีนาหลบตาพลางสะบัดหน้าหนี “พอเถอะค่ะ ฉันไม่อยากจำ ไม่อยากคุย ไม่อยากอะไรทั้งนั้น พี่ก็แค่เดินผ่าน ฉันก็เดินต่อ ไม่มีใครเป็นอะไรของใคร... เราไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ และได้โปรดอย่ามาล้ำเส้นหรือคุกคามกันเกินไปค่ะ และฉันไม่อยากรู้จักพี่”
“แต่ฉัน...อยากรู้จักเธอ” คำพูดของเขาทำให้เธอชะงัก
เธอหัวเราะเบา ๆ แบบขื่นขม “สายไปแล้วค่ะพี่ดนุ ตอนนั้นฉันแค่ต้องการใครสักคนที่อยู่ด้วยโดยไม่ต้องพูดอะไร นั่งอยู่เงียบ ๆ ข้างกัน แต่พอถึงตอนนี้...ฉันไม่ต้องการใครแล้ว และไม่อยากรู้จักใครด้วย”
เงียบ...แม้แต่ลมหายใจของคนรอบข้างก็เหมือนหยุดไป
“ฉันไม่ได้อยากเป็นตัวแทนของใคร ฉันแค่อยากเป็นดนุ ผู้ชายธรรมดาคนนึง ที่อยู่ตรงนี้ อยู่ข้าง ๆ ในวันที่เธอล้มลงหรือวันที่เธอต้องการใครสักคนไว้พึ่งพิงในยามที่เหนื่อยล้า หรืออาจจะต้องการไหล่ใครสักคนซบในวันที่เธอร้องไห้เสียใจ ก็แค่นั้นเอง”
มีนาหลับตาแน่น
แสงแดดยามบ่ายสาดผ่านใบไม้ด้านหลังเขา เงาไหว ๆ พาดทับใบหน้าเธอและเขา เหมือนโลกทั้งใบกำลังกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ
ก่อนที่จะเอ่ยพูดเสียงแผ่ว แต่ทุกถ้อยคำกลับเหมือนกรีดลึกลงไปกลางใจ
“พี่รู้ไหม...ว่าฉันร้องไห้ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฝน”
ดนุชะงัก เหมือนคำพูดของเธอพาเขาย้อนกลับไปยังห้องเงียบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเสียงสะอื้นของใครบางคนในคืนนั้น
มีนายิ้มบาง ทว่าดวงตากลับแดงจัด
“เพราะมันเตือนให้ฉันจดจำได้ว่า… ฉันเคยจ่ายเงินหนึ่งล้านบาท เพื่อซื้อความรักที่ไม่มีอยู่จริง”
เธอกลืนน้ำลายฝืด ๆ เหมือนพยายามกลืนความขมขื่นทั้งชีวิตลงคอ
“ตอนนั้น ฉันโคตรอยากลืมเขา อยากให้พี่มาแทนเขา อยากแค่หลับไปพร้อมความรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่ข้างฉันบ้าง...แม้จะต้องจ่ายเงินซื้อก็ตาม”
เธอหัวเราะในลำคออย่างขื่น ๆ แล้วกัดริมฝีปากแน่น “แต่มันแย่ตรงที่...พี่ไม่ได้เป็นเขา และเขาก็ไม่เคยเป็นของฉันเลย”
เสียงรอบข้างเริ่มจางลงจนเหมือนเหลือแค่พวกเขาสองคนท่ามกลางลานกว้างหน้าคณะ
“ฉันแค่ไม่อยากร้องไห้เพราะใครอีกแล้ว ไม่อยากหวัง ไม่อยากให้ใครเดินเข้ามาแล้วทิ้งฉันไว้กับคำว่าเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก...เข้าใจไหม?”
ดนุไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยืนนิ่ง สองมือข้างลำตัวกำแน่น และสายตายังคงมองเธอด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้น
“ฉันสัญญาว่าจะไม่เป็นแบบนั้น จะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจ ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ เธอก็พอ”เขาเอ่ยตอบกลับ แม้ว่าจะหวาดหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ดวงตาคมจับจ้องมองคนตรงหน้าพยายามสื่อความรู้สึกผ่านแววตาของเขา
“แล้วถ้าฉันล้มหรือวันที่ฉันเสียใจอีกล่ะ...พี่จะอยู่ข้างฉันจริง ๆ เหรอ?”เธอเอ่ยถามในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้
“อยู่สิ ถ้าเธอยอมให้ฉันอยู่”
เขาเอื้อมมือมาจับต้นแขนเธอเบา ๆ ทว่าเธอปัดออก
“พอเถอะ ฉันเหนื่อย ฉันไม่อยากรู้จักใคร หรืออยากให้ใครเข้ามาในชีวิตอีก” เสียงเธอสั่น
“เหนื่อยได้ แต่อย่าเดินหนีความจริงสิมีนา”
“พี่คิดว่าอะไรคือความจริง? ความจริงคือฉันเคยจ่ายเงินล้านเพื่อซื้อพี่มาแค่คืนเดียวไงล่ะ! พี่เข้าใจไหม! ฉันซื้อพี่มาเหมือนซื้อสินค้า แล้วตอนนี้พี่จะมาเป็นใครในชีวิตฉัน?”
แม้จะพูดรุนแรงออกไปทว่าเธอก็เจ็บปวดไม่น้อยเช่นกัน เธอเพียงแค่ต้องการให้เขาเลิกยุ่งวุ่นวายก็เท่านั้น
ดนุนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบา ๆ “ฉันอาจเคยเป็นของเธอในคืนนั้น...แต่ตอนนี้ ฉันอยากเป็นคนของเธอในทุกวัน ถ้าเธอจะให้โอกาส”
มีนาหลับตาแน่น เธอไม่ตอบ เธอก้าวถอยหลัง ก่อนจะพูดช้า ๆ
“ไม่ต้องเป็นอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการ ฉันแค่อยากอยู่คนเดียว”
แล้วเธอก็เดินจากมา...
ทิ้งเขาไว้ท่ามกลางเสียงลมเพียงลำพังด้วยคำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจ ว่า ความทรงจำบางอย่าง ถึงพยายามหนีแค่ไหน...ก็ไม่เคยหายไปไหนเลยจริง ๆ
บ่ายวันศุกร์ อากาศร้อนอบอ้าวปะทะกระจกใสของห้องเรียนคณะบริหาร ในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง แสงแดดเจิดจ้า ทว่าในขณะเดียวกัน หัวใจของพัทธดนย์กลับมืดมนและสับสนวุ่นวายกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเขานั่งอยู่แถวหลังสุด ปลายนิ้วเลื่อนไปบนหน้าจอโทรศัพท์ ที่ยังคงปรากฏชื่อเดิม...มีนา ข้อความล่าสุดที่เขาส่งไปเมื่อห้าวันก่อน ยังคงแสดงสถานะ "ยังไม่อ่าน" เช่นเดิมหลังจากวันนั้น วันที่เธอยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าคอนโดของเขา พร้อมกับเอ่ยคำที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาลว่า“ฉันชอบพี่”แต่เขากลับตอบกลับไปด้วยประโยคที่ทิ่มแทงหัวใจของเธอ“พี่ไม่ได้ชอบเรานะ พี่รักมีนาเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง”จากวันนั้น...มีนาก็หายไปจากวงโคจรชีวิตของเขา ไม่มีข้อความ ไม่มีโทรศัพท์ และไม่มีแม้แต่การอ่านข้อความจากไลน์เหมือนที่เคยพัทธดนย์ไม่อยากเชื่อว่าเธอบล็อกเขา แต่สัญญาณที่ได้รับมันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด ๆเธอ...หายไปจากชีวิตเขาแล้ว และเขาก็ไม่เข้าใจเลย...ว่าทำไมพัทธดนย์รู้จักมีนามาตั้งแต่ยังเด็ก ครอบครัวของเขาทำธุรกิจร่วมกับครอบครัวของเธอ ร้านอาหารของบ้านเขาเป็นพันธมิตรกับบริษัทจัดจำหน่ายวัตถุดิบของบ้านเธอมาเป็นเวลาหลายสิบปีแ
บ่ายวันนั้น ห้องเรียนรวมขนาดกลางที่จัดไว้สำหรับคลาสกลุ่ม ถูกปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่พอดีสบาย เสียงเครื่องปรับอากาศเบา ๆ แทรกอยู่ในบรรยากาศคล้ายกล่อมใจ ก่อนจะผสานกับเสียงปลายนิ้วที่พิมพ์ลงบนแป้นโน้ตบุ๊กของนิสิตคนแล้วคนเล่า คลอไปกับเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันจัดการงานกลุ่มซึ่งเด้งขึ้นบนจอ LED กลางห้อง ทั้งหมดนั้นสร้างความรู้สึกสงบแต่แฝงไว้ด้วยความวุ่นวายของวันที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติมีนาเลือกนั่งชิดริมสุดของห้อง ติดกับผนังโปร่งแสงที่เปิดมุมมองสู่สวนเล็ก ๆ ระหว่างคณะ ข้างตัวเธอวางไอแพดไว้หนึ่งเครื่อง พร้อมชีทเรียนที่เพิ่งพิมพ์ออกมาจากระบบกลางของคณะไม่ถึงสิบนาทีหลังจากนั้น ดนุก็เดินเข้ามาในห้องเขาเห็นเธอตั้งแต่ก่อนก้าวผ่านประตูสแกนเข้าเรียน แต่ไม่ได้เดินตรงเข้าไปหาตามเคย หากเลือกนั่งอยู่แถวถัดหลังเธอหนึ่งแถวพอดี ทิ้งระยะไว้อย่างตั้งใจ ราวกับจะบอกเธอผ่านความเงียบว่า...เขาจะไม่ก้าวล้ำไม่มีคำทัก ไม่มีเสียงเรียก มีเพียงความรับรู้ที่วางตัวนิ่งอยู่ในบรรยากาศระหว่างกัน เป็นช่องว่างที่เขาเว้นไว้ เพื่อให้เธอได้หายใจอย่างเป็นอิสระมีนาเหลือบมองเขาผ่านเงาสะท้อนจากจอแท็บเล็ต ก่อนจะถอนหายใ
หลังจากวันนั้น...แม้มีนายังคงต้องเข้าเรียนตามปกติทุกวันเหมือนเดิม ทว่าเธอกลับไม่เคยย่างกรายผ่านใต้ตึกนั้นอีกเลยเธอเปลี่ยนที่นั่งในห้องเรียน เปลี่ยนเส้นทางเดิน ยอมอ้อมไกลกว่าเดิม เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องสบตากับใครบางคน แม้แต่เวลาพัก เธอยังหลีกเลี่ยงคาเฟ่หน้าตึกซึ่งเคยเป็นมุมโปรดในทุก ๆ วันทุกสิ่งที่เธอทำ...เป็นเพียงความพยายามหลีกเลี่ยงผู้ชายคนหนึ่งไม่ใช่เพราะเธอเกลียดเขา แต่เพราะเธอไม่อยากรู้สึกอะไรอีก เธอไม่ต้องการให้หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นหน้าเขา ไม่อยากเผลอยิ้มเพียงเพราะความทรงจำ ไม่อยากยอมรับว่าบางอย่าง...ยังค้างคาอยู่ในใจยิ่งหลีกเลี่ยง...ยิ่งคิดถึงยิ่งไม่อยากเจอ...ใบหน้าเขายิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีในหัวและทั้งหมดนั้น ทำให้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะแบกรับไหวเหนื่อยกับการแสร้งว่าไม่เคยรู้จักกัน เหนื่อยกับการทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ทั้งที่ในความจริง เขายังคงอยู่เต็มหัวใจของเธอ ไม่เคยเลือนหายไปไหนเลยสิ่งเดียวที่เธอไม่สามารถเปลี่ยนได้...คือหัวใจตัวเอง ที่ยังคงสั่นไหวทุกครั้งที่ได้ยินชื่อเขาด้านดนุเองก็นิ่งเงียบหลังจากวันนั้น ไม่ติดต่อ ไม่เข้าหา ไม่แม้แต่จะพูดอะไรเพิ่มเติม...ราวกับเขาเข้า
หน้าอาคารเรียน ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เต็มไปด้วยนักศึกษาที่นั่งจับกลุ่มใต้ร่มไม้บังแดด บ้างก็นั่งจิบกาแฟ บ้างเปิดโน้ตบุ๊ก พูดคุยเสียงดังสลับกับเสียงแจ้งเตือนจากแอปต่าง ๆ ที่เด้งขึ้นมาไม่หยุดบรรยากาศดูเหมือนเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง แต่ไม่ใช่สำหรับมีนามีนาเดินช้า ๆ เข้ามาในพื้นที่ที่เธอเคยคุ้น แต่ไม่เคยรู้สึกเป็นของตัวเองอีกเลยหลังจากวันนั้นเสื้อช็อปคณะตัวใหม่ที่เธอสวม ดูไม่เข้ากับบุคลิกนิ่ง ๆ ของเธอสักเท่าไหร่ ผมถูกมัดรวบไว้แบบไม่ตั้งใจ ใบหน้าเธอดูอิดโรยกว่าคนอื่นเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะนอนไม่พอ...แต่เพราะเธอนอนไม่หลับเลยเมื่อคืน“เจอหน้ากันอีกแล้วเหรอวะ...” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ เมื่อสายตาเธอกวาดผ่านโต๊ะไม้ตัวยาวข้างต้นพิกุลหน้าตึก และเห็น เขา นั่งอยู่ตรงนั้นดนุในเสื้อโปโลคณะสีกรมท่าตัวเดิม ผมยุ่งนิด ๆ แบบที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจแต่ดันดูดีแบบคนไม่พยายาม เขากำลังนั่งอ่านเอกสารอะไรบางอย่าง โดยมีเด็กปีหนึ่งสองสามคนนั่งอยู่ไม่ไกล คุยกันคิกคักเหมือนชื่นชมพี่ปีสี่สุดเท่มีนารีบหันหลังกลับ พยายามเลี่ยงเหมือนคนที่เห็นผีแล้วไม่อยากถูกมองเห็น แต่สายเกินไป“มีนา” เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่มันดังก้องในใ
แสงแดดยามบ่ายคล้ายเจือจางลงในวันนั้น ท้องฟ้าสีเทาคลุมคล้ายฝนกำลังมาแต่ยังไม่ตก ลานกิจกรรมกลางคณะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงเรียกชื่อ เสียงแนะนำตัวปนเปกับเสียงดนตรีคลอเบา ๆ จากลำโพงด้านหลังเวทีไม้ที่ถูกตั้งขึ้นชั่วคราวมีนา ยืนอยู่ตรงขอบวงกลมกิจกรรม ในชุดเสื้อคณะสีเลือดหมูตัวเดิมจากสองปีก่อนเธอจำมันได้ดี...เธอเคยอยู่ตรงนี้...รอยยิ้ม เสียงหัวงเราะกับเกมรับน้อง โดนล้อชื่อเล่น โดนพี่ปีสามแกล้งให้บอกรักเพื่อนข้าง ๆ สารพัดกิจกรรมที่เคยทำให้เธอมีความสุขมากที่สุด เป็นอีกวันที่สดใสสำหรับเธอ และได้รับมิตรภาพใหม่ๆ รวมถึงรู้จักรุ่นพี่และได้รับการยอมรับในสังคมใหม่อีกด้วยตอนนั้น เธอรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพร้อมโอบกอดเธอไว้ตอนนั้น...เธอมีรอยยิ้มตอนนี้...เธอกลับยืนเงียบ มองทุกอย่างเหมือนคนภายนอกที่กำลังเฝ้ามองตัวเองในอดีตไม่มีใครรู้ว่า... สองปีที่เธอหายไป ไม่ใช่การย้ายมหาลัยแต่เพราะโรคซึมเศร้ารุนแรงและภาวะว่างเปล่าที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ ในช่วงเวลานั้นหัวใจของเธอแตกสลายจนกว่าจะเยียวยาให้เหมือนเดิมได้อีก ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องผ่านช่วงเวลาอันแสนโหดร้ายเพียงลำพังนั้นทรมานมากแค่ไหน มีเพียบหมอกับพยาบ
ฝนตก...อีกแล้วเหมือนในทุกคืนที่เธอรู้สึกว่าโลกนี้ไม่เหลือใครกรุงเทพฯ ยังคงเปียกปอนไปด้วยแสงไฟสลัว น้ำฝนไหลเป็นเส้นเล็ก ๆ บนกระจกบานใหญ่ของบาร์ลับชั้นดาดฟ้า “ลิโอจิน” กลิ่นเปียกชื้นผสมกับความหรูหราเบาบางของเหล้าวิสกี้และน้ำหอมแพง ๆ คลุ้งอยู่ในอากาศมีนา นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง VIP มือของเธอกำแน่นรอบแก้วไวน์แต่ไม่ได้จิบสักหยด ริมฝีปากแตะแก้วเพียงเพื่อกลบอาการสั่นไหวของความรู้สึก แววตาของเธอไม่มองอะไรเลยนอกจากจอโทรศัพท์ที่ยังเปิดอยู่“พัทธดนย์ ควงคู่หมั้นเปิดตัวกลางงานแฟชั่นวีค”ภาพข่าวบาดตา บาดลึกยิ่งกว่ามีดเล่มไหน เพราะผู้หญิงคนนั้น...ใส่นาฬิกาเรือนเดียวกับที่มีนาเคยใช้เงินเก็บทั้งปีซื้อให้เขาเธอกดปิดหน้าจอ แล้วหันไปทางผู้จัดการบาร์ที่เดินเข้ามาเงียบ ๆ“ที่นี่มีอะไร...ที่ลบความรู้สึกเจ็บปวดตอนนี้ได้ดีกว่าเหล้าไหม?” เธอถามเสียงแผ่ว เบาเสียจนแทบกลืนลงคอไม่หมดผู้จัดการหญิงยิ้มบางอย่างรู้ทัน เธอไม่พูดมาก เพียงยื่นแฟ้มหนังสือเล่มหนึ่งให้มีนาเปิดแฟ้มอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งมาถึงหน้า ๆ หนึ่ง... มือของเธอก็หยุดนิ่งในรูปถ่าย ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตดำยืนพิงผนังอย่างไม่ใส่ใจ แววตาในภาพเหมือนก
เวลาผ่านไปสิบปีกรุงเทพฯ ยังคงจอแจและเร่งรีบเหมือนเดิม แต่สำหรับมีนา ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้วหญิงสาวในวัยสามสิบปลาย ก้าวออกจากรถลีมูซีนสีดำหน้าศูนย์ประชุมแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เธอสวมเดรสผ้าไหมสีครีมเรียบหรู ผมถูกรวบขึ้นหลวม ๆ เผยให้เห็นแววตาที่ผ่านทั้งน้ำตาและความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วนนี่ไม่ใช่แค่การเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ แต่คือ “การกลับบ้าน” ที่เธอหลีกเลี่ยงมาทั้งชีวิตหนังสือเล่มนั้นชื่อว่า เงารักกลางลวงใจ และในวันนี้…มันคือกระแสนิยายอันดับหนึ่งของประเทศภายในห้องประชุมหรู แสงไฟอบอุ่นสาดส่องเวทีที่จัดตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เสียงปรบมือกึกก้องดังกระทบผนังห้องเมื่อพิธีกรกล่าวชื่อของเธอ มีนาเดินขึ้นเวที ยิ้มอย่างอ่อนโยน“ขอบคุณที่ยังรอฉันนะคะ”เธอกล่าวสั้น ๆ ขณะนั่งลงบนโซฟาสีเบจตรงกลางเวที ผู้ดำเนินรายการเริ่มถามถึงแรงบันดาลใจ เนื้อหา ความตั้งใจ คำถามที่เธอเตรียมตัวมาตอบทั้งหมดจนกระทั่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งแถวหน้า เธอสวมแว่น มีหน้าตาเรียบร้อยแต่ดวงตาคมชัด นั่นอาจเป็นนักข่าว หรืออาจเป็นเพียงผู้อ่านที่กำลังแบกรักบางอย่างไว้เหมือนกับที่มีนาเคยทำ"ขอโทษนะคะ" หญิงสาวถาม "ฉันอยาก