“พวกเขาทำเรื่องไม่ดีมาแน่ ๆ”
พอมองตามสายตาเบ็กกี้ อย่างที่เด็กสาวว่า ไม่รู้โคดี้กับเทสซ่าทำอะไรให้เคียนโต้ไม่พอใจถึงเอาแต่เรียกสลับสองคนนี้เป็นคู่ซ้อมทั้งวัน โคดี้น่วมไปทั้งตัว ส่วนเทสซ่าได้แผลฟกช้ำตามแรงปะทะ แต่ทั้งสองกอดคอกันบอกว่า “ไม่เป็นไร”
เป็นสิ คงมีแต่ไมเคิลที่อยากประมือกับเคียนโต้ ครูฝึกสาวอาจไม่ใช่ผู้หญิงตัวใหญ่ แต่แรงดีเกินกว่าผู้หญิงทั่วไปแถมทักษะยังระดับครูฝึก ถ้าเขาได้สู้กับเธอ หมายถึงเป็นคู่ซ้อมกับเธอต้องสนุกมากกว่าประมือกับเพื่อน
อีกเรื่องที่น่าคิดคือโรคติดต่อที่ชื่อว่า ความรัก เมื่อสองอเล็กซ์กุ๊กกิ๊กกันจนเห็นชินตา ต่อมาจัสตินกับเอมมี่แสดงออกว่าคบกัน และต่อมาก็คือโคดี้กับเทสซ่าที่เอาชนะทุกคนด้วยการอวดความหวานไปทั่ว
“เลิกมองคนอื่นแล้วพยายามชกฉันให้ได้ดีกว่า” เขาเตือนสติเบ็กกี้ เด็กสาวจึงเหวี่ยงหมัดเบาหวิวใส่ ไมเคิลขยับตัวนิดเดียวเพื่อหลบ สู้กับเบ็กกี้ไม่ต่างจากสู้กับลม
ให้มันได้อย่างนี้สิ
ตาชำเลืองมองอเล็กซ์ฝึกคราฟมากากับเรมี พวกเขาสู้กันจริงจัง เห็นแล้วน่าอิจฉา เร
“อ้าว” เวดเงยหน้ามองคนทั้งสอง อเล็กซิสเดินกระย่องกระแย่งพร้อมกับไม้เท้าค้ำยันหนีบใต้รักแร้ เขามักเห็นเวดเล่นเกมบนจอสกรีนเสมอ ไมเคิลอยากลองเล่นเหมือนกัน เห็นว่าเป็นเกมแนววางแผน “แล้วหน้าโดนอะไรมา รอยข่วนนี่นา”“ข้อเท้าแพลงระหว่างซ้อม ส่วนตรงแก้มก็ระหว่างสู้” อเล็กซิสมองจอสกรีนในมือเวด “นายติดเกมมากเลยนะ”“ลองเล่นสิ” เขาเอื้อมตัวจะลากโต๊ะกินข้าว ไมเคิลอาสาเลื่อนให้เอง“นายนั่งลง” เขาแปะมือตรงที่ว่าง ไมเคิลจึงหย่อนก้นลงข้างเพื่อนสาว เวดหมุนจอมาทางอีกสองคนแล้ววนนิ้วตรงมุมขวาล่าง “ตรงนี้คือสถานะของเรา พอกดตรงนี้มันจะขึ้นภารกิจที่ต้องทำ อย่างอันนี้คือการตามหาสปายที่เข้ามาสอดแนมในเมือง”“เกมนี้เกี่ยวกับอะไร”“ปกป้องอาณาจักรจากกลุ่มผู้รุกราน” เวดเลื่อนหน้าจอกลับไปกลับมา คล่องมือ “มันจะมีสปายเข้ามาในอาณาจักรเพื่อหาข้อมูล จุดอ่อน อะไรพวกนี้ นี่คือสถานะของฉัน เห็นไหม คะแนนสูงสุดเลย” เขาหรี่เสียงลง “คนที่เหลือโคตรอ่อน”อเล็
“นายมีอะไรอยากบอกฉันหรือเปล่า”อเล็กซิสถามขึ้นมา เธอไม่ได้ถามไมเคิลแต่ถามอเล็กซ์ พวกเขายืนอยู่ในลิฟต์กันสามคนเพื่อลงไปรับประทานอาหาร ชายตัวสูงยกมือโอบไหล่แฟนสาว ไมเคิลมองออกไปนอกกระจก รู้สึกกดดัน“ไม่นี่ ทำไมเหรอ”“นายกับเทสซ่าดูตกใจมาก เหมือนกลัวว่าฉันต้องนอนห้องพยาบาล”ไมเคิลมองเงาทั้งสองผ่านกระจก อเล็กซ์หันมาจูบหน้าผากเธอแต่สายตาจ้องผ่านภาพสะท้อนในกระจกเหมือนต้องการบอกให้รู้ว่าไมเคิลเป็นส่วนเกิน “ถ้าเธอนอนห้องพยาบาลแปลว่าเธอเจ็บหนักไม่ใช่เหรอ”แม้แต่เวดยังไม่กันเขาออกไปขนาดนี้ ตรงกันข้าม นับวันหมอนั่นยิ่งเห็นเขาเป็นเพื่อนมากขึ้นทุกวันตลอดช่วงเย็น ทุกคนพูดคุยกันปกติ ยกเว้นเทสซ่ากับโคดี้ที่มักแลกเปลี่ยนความนัยผ่านสายตาเสมอ ซึ่งไม่ใช่สายตาน้ำเชื่อมแบบทุกที“ฉันใจไม่ดีเลย” อเล็กซิสพูดขึ้นเมื่ออเล็กซ์ลุกออกไปหยิบของหวานเพิ่ม “นายว่าไหมว่าตั้งแต่ฉันล้ม พวกเขาเอาแต่แสดงอาการแปลก ๆ มันแปลกไปหมดเลย”เขาพยักหน้าแล้วสะกิดให้เธอเห็นว่าแฟนตัวเองกำลังกลับมาที่โต๊ะ
ชายหนุ่มกดหยุดลิฟต์ทันที ก่อนจะหันมามองเขาด้วยแววตาหาเรื่อง “นายรู้ได้ไง”“ไม่สำคัญหรอก ทำไมนายไม่บอกคนอื่น ไม่สิ ทำไมนายไม่บอกอเล็กซิส”ดวงตาสีเข้มส่งไอเย็นยะเยือก พวกเขาไม่เคยคุยกันมาก่อน แต่พอคุ้นหน้าตากันพอสมควรเพราะเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในโปรแกรม และที่สำคัญ ชื่อของเขาอยู่ในลำดับถัดจากทายาทโวลคอฟ ก่อนหน้านี้อเล็กซ์ไม่ได้มีทีท่าเป็นปฏิปักษ์ถึงขนาดนี้ ออกจะตรงกันข้าม“นายห้ามบอกเธอเด็ดขาด” ชายหนุ่มย้ำ“ไม่ได้ อเล็กซิสต้องรู้” ไมเคิลไม่ยอม“ห้ามบอกสกาย*”เขามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ฉุกใจว่าสกายน่าจะมาจากชื่อคน “ฉันพูดถึงอเล็กซิสต่างหาก”รอยยิ้มเช่นคนเหนือกว่าปรากฏบนใบหน้าเจ้าตัว ไมเคิลค่อนข้างสับสนกับอารมณ์คนคนนี้ ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้อเล็กซิสแทบไม่มีสมาธิ ยิ่งเธอชอบเขาด้วย เซลล์สมองคงทำงานหนัก“ใช่ คนเดียวกัน”อ้อ เพื่อนตัวเองเรียกแบมบี้ ตัวเองเลยเรียกสกายสินะ เขาพอเห็นความเหมือนระหว่างเบน
“อเล็กซิส เดวิส เบ็กกี้ ควินน์”ไมเคิลหันมายิ้มพลางขยับปากบอกว่า “แล้วเจอกัน”“แล้วเจอกัน” เธอกระซิบตอบ หากแต่สายตาชำเลืองมองอเล็กซ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ระหว่างอาคุสะและจัสติน พวกเขาสบตากันเพียงชั่วครู่ อีกฝ่ายก้มหน้าลง เหมือนดวงใจในอกหล่นหายไปในหลุมดำ ทำไม เหตุใดใจมนุษย์ถึงแปรเปลี่ยนภายในชั่วข้ามคืน ทำไมความรู้สึกของเขาจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้“เดวิส?”เธอก้าวขายืนเคียงข้างเบ็กกี้ สองคนแรกที่จะได้เข้าไปในทอยซิตี้“พวกเธอสองคนเดินเข้าไปในอุโมงค์ตรวจร่างกาย เดินไปไม่ต้องหยุด ระบบจะสแกนเพื่อให้แน่ใจว่าพร้อมเข้าไปอยู่ในทอยซิตี้ จากนั้นรับกระเป๋าและบรรจุชิปลงในนาฬิกาข้อมือ รับทราบนะ”“รับทราบค่ะ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน“เอาละ ถึงเวลาแล้ว เพื่อนคนอื่นจะได้ตามเข้าไป พร้อมนะ”เคียนโต้ยื่นมือทั้งสองข้างมาเช็กแฮนด์กับเด็กทั้งสอง อีกไม่กี่นาที พวกเธอจะได้เห็นท้องฟ้าของจริงก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน“ทองคำจริง
ระหว่างรอลิฟต์ถึงที่หมาย อเล็กซิสยืนหมุนข้อเท้าตัวเองไปมา แน่ใจว่าถ้าเขวี้ยงไม้ค้ำยันและเดินเท้าเปล่าคงเดินได้ตามปกติเนื่องจากกระดูกไม่ได้รับความเสียหาย แต่เพื่อความปลอดภัยเธอจึงรอให้หมอตรวจสอบก่อนเด็กสาวหัวเราะกับตัวเอง เวดคงตกใจอีกเช่นเคยที่เห็นเธอขึ้นมาเร็ว สีหน้าของเขาช่วงนี้ สดชื่นมากเพราะได้คุยกับเพื่อนมากกว่าช่วงอื่นตรงกันข้ามกับเมื่อวาน เมื่อมาถึงที่หมายกลับไม่มีคนไข้อยู่ในห้องสักคน อเล็กซิสกวาดตามองสำรวจไปทั่ว ทุกเตียงว่างเปล่า ไม่มีม่านกั้น หากข้าวของแสดงความเป็นเจ้าของยังอยู่ เธอคงไม่ตกใจ แต่ทุกเตียงอยู่ในสภาพรอคนใหม่ แม้แต่พยาบาลยังหายไปหมด“ไง เดวิส มาเช็กข้อเท้าใช่ไหม”คุณหมอในชุดเสื้อคลุมสีขาวโผล่หน้าออกมาจากออฟฟิศส่วนตัวมันมีลักษณะปิดทึบแทรกอยู่ในมุมหลืบด้านใน พวกหมอจะประจำอยู่ที่นี่เกือบตลอด มีอยู่สามคนวนไปตามกะ เนื่องจากไม่มีป้ายชื่อ แต่ทุกคนเรียกคุณหมอท่านนี้ว่า ดอกเตอร์เฮนดริกซ์ หรือบางครั้งลุงแก่เฮนดริกซ์ (เวดเป็นคนเริ่ม) เพราะเขามีอายุเยอะที่สุดในกลุ่มหมอ“ทุกคนหายไปไหนหมดคะ” เธอถาม ยังคงมึนงงกับภาพตรงหน้า มันเหมือนกับว
สี่ห้ามือมาจากไหนไม่รู้ดึงตัวเธอออกจากหมอได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่สองนายล็อกแขนเธอไว้คนละข้าง ส่วนอีกหนึ่งยกปืนขู่หมอร่างเล็กปัดฝุ่นออกจากตัว “อย่าซ้ำรอยเฮซ”เฮซ... “โคดี้?”“ใช่ เขาเสียตาเพราะอาละวาดแบบนี้ไง เดวิส ฉันขอให้เธอสงบสติอารมณ์แล้วเข้าใจเหตุผลของพวกเรา”อเล็กซิสนิ่งลง ไม่ใช่เพราะเข้าใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร น้ำตาแห่งความเสียใจและพ่ายแพ้ไหลเงียบ ๆ “คุณก็รู้ว่าเขารอดแล้ว เขารอคอยที่จะออกไป แม้อาจต้องออกไปช้ากว่า ทำไมทำแบบนี้”“ปล่อยเธอ” ชายตรงหน้ากล่าวกับเจ้าหน้าที่ที่เหลือ“แต่ว่า ท่านครับ”“เธอไม่เป็นอันตรายแล้ว” เขาโบกมือเฮนดริกซ์พูดถูก อเล็กซิสหมดแรงล้มไปกองกับพื้น เมื่อวานพวกเขายังคุยกันเรื่องทอยซิตี้อยู่เลย เวดแค่อดทนรอ จู่ ๆ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เบ็กกี้เคยบอกว่าซอมบี้สวมนาฬิกานี่นา“พวกคุณจะเปลี่ยนเขาให้เป็นศพเดินได้ใช่ไหม” เธอกัดฟันถามหมออาวุโสหัวเราะด้วยอารมณ์ ขำความคิดไร้สาระของเด็ก “เราไ
แสงไฟสีขาวสาดส่องเหนือศีรษะ เธอรองแก้วกับก๊อกน้ำจนมันเต็ม กรอกใส่ปาก กลั้วคอแล้วบ้วนยาสีฟันลงอ่าง ทำวนไปสามครั้งจึงวางแปรงสีฟันลงในช่อง มีเสียงเป่าแห้งจากนั้นฝาช่องเลื่อนปิด เธอล้างหน้าอยู่นาน และเมื่อเงยหน้ามาจึงเห็นว่าเทสซ่ายืนกอดอกอยู่ข้างหลัง“ฉันรู้ว่าเธอโกรธ”“เปล่า” อเล็กซิสตอบทันทีดวงตาสีเงินคล้ายมีแสงแฟลชในดวงตาส่งประกายวาววับเมื่อน้ำใสเอ่อล้นคลอเบ้าขับให้ใบหน้าหวานซึ้ง ทว่าเทสซ่าไม่ได้ร้องไห้ออกมาแต่อย่างใด “เธอไม่พูดกับใครเลย”“ตอนแรกโกรธ ตอนนี้ไม่”เทสซ่าถอนหายใจ เพราะท่าทางของอเล็กซิสคงคล้ายกับหุ่นยนต์ แน่นอนว่าตัวเธอรู้ดี เพราะเงาในกระจกมันสะท้อนแบบนั้น“ฉันขอโทษ”“ไม่ต้อง” อเล็กซิสชะงักก่อนจะปรับเสียงตัวเอง “ฉันแค่ไม่มีอารมณ์จะพูดอะไร แต่ไม่ต้องขอโทษแล้ว ฉันไม่ได้โกรธ”เธอหมายความแบบนั้นจริง ๆ“แม้แต่อเล็กซ์ เธอยังไม่คุยเลย”“ฉันไม่อยากคุยหรือทำอะไรทั้งนั้น นั่นคือความจริง”สาวผิวเข้มเ
คนในอ้อมกอดขยับตัวจนอเล็กซิสจำต้องคลายมือลง เขาเขยิบออกห่างเหมือนเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าเข้าใกล้ ณ เวลานั้นหัวใจข้างในเต้นระรัวเมื่อมันรับรู้ได้ว่า เขาไม่เหมือนเดิม“อเล็กซ์?” อย่าทำแบบนี้ ฉันขอร้อง เธออยากจะร้องไห้ แต่น้ำตาได้จ่อปริ่มออกมาแต่แรกแล้ว กอดฉัน ได้โปรดกอดฉันเขากลืนน้ำลาย ไม่ยอมสบตา อเล็กซิสเอื้อมมือจับแก้มแต่เขาขืนไว้ “ฉันไม่น่าจูบเธอเลย ไม่น่าทำแบบนั้น”แน่นอนว่าเธอไม่เข้าใจ แต่กระนั้นหัวใจกลับเหมือนแหลกสลาย อเล็กซิสเหมือนคนโง่ที่คาดหวังว่าเขาจะกอดแล้วจูบปลอบ ทำอย่างไรก็ได้ที่ให้เธอรู้สึกดีขึ้น แต่มันกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้สนใจว่าเธอเพิ่งเสียเพื่อนไปหรือไม่“ทำไม อเล็กซ์เกิดอะไรขึ้น นายโกรธฉันจริง ๆ ใช่ไหม”มันเหมือนกับว่าแทนที่เขาพยายามจะคว้าตัวเธอ กลับเป็นอเล็กซิสที่พยายามเปิดประตูเข้าไปในโลกของเขาอีกรอบ“ถ้าเบนไม่ตาย...เธอจะจูบฉันไหม” เขาหันมาเผชิญหน้าพร้อมกับดวงตาสีเข้ม แต่สายตานั้นกลับแสดงความเจ็บปวด “ฉันชักไม่แน่ใจ”“หา”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหลือบตาขึ้น “อื้อ”“ฉันหมายถึง...” หางตาเด็กหนุ่มเห็นเงาคนแอบฟังอยู่ และคนคนนั้นเป็นผู้หญิง จึงเดินออกมาให้ห่างเพื่อไม่ให้อยู่ในรัศมีที่ได้ยิน “ไม่ใช่เพราะว่าเธอคือคนคนเดียวที่นายเหลืออยู่อะไรแบบนั้นนะ” นี่คือสิ่งที่เขากังวล...เขากลัวว่าอเล็กซ์จะยึดอเล็กซิสแบบที่เขายึด“ไม่ใช่แบบนั้น” ครั้งนี้แววตาของเขาแน่วแน่ ไม่มีลังเล ไมเคิลพยักพเยิดไปทางขวา อเล็กซ์ขยับปากเป็นคำว่า คิตแคต แล้วยักไหล่ไม่ให้สนใจ ไมเคิลจึงขยับเท้าให้เกิดเสียง เงานั้นหายไปเหมือนรีบหลบเขาถอนหายใจ ลังเลที่จะวางมือบนไหล่ชายหนุ่ม แต่สุดท้ายก็วาง “ที่นายสงสัยฉันกับเธอ ไม่มีอะไรนะ ก่อนหน้านั้นฉันไม่ได้คิดกับอเล็กซิสมากกว่าเพื่อน แต่เพราะพวกเราสนิทกันเรื่อย ๆ มันเหมือนมีบางสิ่งที่ดึงดูดฉันให้เข้าไปหาเธอ เธอเป็นคนอบอุ่นมาก”แก้มของชายหนุ่มกระตุกนิดหนึ่ง “อาคุสะบอกว่านายกับเธอมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น มันมากกว่าเพื่อน” ชายหนุ่มว่า“ฉันไม่รู้หรอกว่าอาคุสะจะเห็นอะไร” เขาส่ายหัว
ความโกลาหลชั่วครู่หยุดลง “กลุ่มบีทุกคนปลอดภัย ที่พวกผมดึงมือดีมาไว้ที่กลุ่มเอก็เพราะการปะทะกับหุ่นยนต์นั้นหนักหนากว่ามาก และเมื่อถึงเรดโซน เมื่อนั้นก็จะไม่มีกลุ่มเอและบี แต่จะเป็นกลุ่มเดียวกัน ผมขอให้พวกคุณเข้าใจเหตุผลด้วย ขอให้นึกถึงเพื่อนที่หายตัวไปเข้าไว้ พวกเรามาที่นี่เพื่อหาเหตุผลว่าทำไม พวกเขาถูกจับตัวไป”เมื่อกี้กลุ่มบียังรายงานอยู่เลยว่าเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเรดโซน แผนการไม่ได้ดำเนินไปตามที่วางไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาไม่ชี้แจง ทว่าคำพูดของกลีเมื่อครู่ทำให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ บางส่วนปล่อยให้หน่วยพยาบาลทำหน้าที่ต่อไป บวกกับทหารที่ล้อมเข้ามา กลีสั่งให้พวกเราพักก่อนจะเดินทางไปต่อยังเรดโซน และครั้งนี้พวกเขาประกาศชัดเจนว่ามีโซนติดเชื้อแน่นอน เพราะมันคือศูนย์อนามัยที่อเล็กซิสกับไมเคิลเคยเข้าไปเช่นกัน แต่สำรวจไปไม่เท่าไรก็ออกมา ทั้งห้าคนปรึกษากันโดยปราศจากแม่สาวคิตตี้...หรือคิตแคตแล้ว คนที่เงียบที่สุดกลับเป็นโคดี้ที่ไม่พูดอะไร หากแต่แววตาครุ่นคิดตลอดเวลา มินนี่นั้น...ก็ยังเป็นมินนี่ เธอห่วงเทสซ่า แต่ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก“บางทีเราอ
“เรากำลังจะอธิบาย ไปพักก่อน” หัวหน้าหน่วยรุก ไทรอนกล่าว หมวกนิรภัยของเขายังเปิดอยู่ แต่ไม่ปิดทั้งหน้าเหมือนตอนสู้ “ไทรอน กลุ่มเอ ภารกิจที่ศูนย์บัญชาการกลางเสร็จสิ้น”พวกเขากลับไปสมทบกับสองสาวที่เหลือ ทั้งหมดสบตากันแต่ไม่พูดอะไร เบลินดากับมินนี่ส่งน้ำให้พวกเขาดื่ม หน่วยพยาบาลเริ่มเดินตระเวนเช็กอาการบาดเจ็บทีละคน ขณะนั้น หางตาไมเคิลเห็นกลี หัวหน้าหน่วยพยาบาลปีนขึ้นบนรถถังก่อนจะนั่งลงเต๊ะท่า ทุกคนต่างมองเขาเป็นจุดเดียว เพราะไม่ใช่แค่อากัปกิริยาหากแต่เป็นภาพลักษณ์“ไอ้หมอนั่น กลี” โคดี้บอก ไม่รู้ว่าไมเคิลรู้จักแล้ว “หมอนั่นยืนกรานจะเข้าไปกับพวกหมอในฐานะหมอ ทั้งที่คนอื่นห้าม เขาเป็นหัวหน้าหน่วยพยาบาลก็จริง แต่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าทหารเสียอีก น่าจะเป็นพวกบ้า”“แปลกดีนะ” อเล็กซ์ว่าจู่ ๆ ก็มีสาวผมสั้นสีดำเดินตรงเข้ามาในกลุ่มพวกเขา แต่เธอจ้องแค่อเล็กซ์ “นายเป็นไงบ้าง ฉันเป็นห่วงแทบแย่” มือข้างขวาลูบแขนชายหนุ่ม ทั้งสี่คนมองตาม เมื่อนั้นโคดี้หลิ่วตาให้ไมเคิล เขาจำเธอได้ ผู้หญิงคนนี้เคยวิ่งตา
“คุณยังไม่ได้เปิดไมค์”“ช่างเถอะน่า” ไมเคิลวิ่งถลันไปทางโถงบันได ทันใดนั้นกลุ่มหุ่นยนต์ที่ดักอยู่ข้างหลังปลิวกระเด็นไป ชายคนหนึ่งแตะไหล่เขา ไมเคิลรู้ว่าเป็นฝีมืออเล็กซ์ทันทีเมื่อเห็นดวงตาสีดำผ่านแถบกระจก ชายหนุ่มโยกหัวไปทางบันได เขาผงกศีรษะ ทั้งสองวิ่งลงไปก่อนทหารอีกสี่ห้านายจะตามลงมาประกาศยังคงดังเรื่อย ๆ “ทรอย ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน ย้ำ ส่งกำลังคุ้มครองกลีด่วน”กลี? เขานึกออกแล้ว คุณหมอที่มีรอยสัก นั่นมันระดับหัวหน้านี่นา คนแบบนั้นลงสนามด้วยตัวเองเลยเหรอ ไมเคิลนึกชื่นชมในใจ เขากับอเล็กซ์แทบจะกระโดดลงบันไดในก้าวเดียว“ใครพาเขาเข้ามาในตึกวะ”เสียงแสตนเนอร์ดังก้องในหัว ดูท่าว่าทหารผู้นี้จะลืมปิดไมค์อเล็กซ์ซัดพลังอีกครั้ง พวกเขาถึงชั้นสามอย่างรวดเร็ว เห็นหน่วยพยาบาลสองคนนอนตายจมกองเลือดคาบันไดลงชั้นสองในขณะที่เปลหามร่างผู้ป่วยตกลงข้างกาย ส่วนคนเจ็บกลายเป็นศพขาดครึ่ง เขาเบือนหน้าหนี หน่วยสนับสนุนกำลังปกป้องหมอพยาบาลและคนเจ็บอยู่ เขาไม่รู้ว่าใครคือกลีแม้แยกหน่วยออก เพราะพวกหมอสวมเครื่อง
ด้ามแหลมโลหะฟันฉับตัดข้อต่อ ปืนกลอัตโนมัติหล่นพร้อมกับท่อนแขนเหล็ก ไมเคิลหมุนข้อมือขวาฟันดาบฉับตัดคอก่อนที่ระบบเลเซอร์ทำงาน เขาอุตส่าห์หักข้อมืออีกที กดด้ามดาบแล้วลากยาวจนลำตัวมันขาดครึ่งเพียงแค่อยากได้ยินเสียงคมดาบเสียดสีกับโลหะก็เท่านั้น“เบเลียน กลุ่มบี เป้าหมายถูกประกาศให้เป็นเรดโซนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”อะไรนะ เสียงประกาศดังขึ้นในหัว เขารับมือกับหุ่นยนต์อีกตัวที่โถมเข้ามา เป้าหมายของกลุ่มบีเหรอ คราวนี้มันไม่มีปืนกล และไมเคิลเคยประมือกับเพื่อนฝูงมันมาแล้ว อาวุธที่เขาเลือกเป็นดาบคู่ ไม่แน่ใจว่ามันเหมือนกับดาบของนายทหารที่ตายคนนั้นหรือไม่แต่ด้ามที่เขาถืออยู่คมกริบและใช้งานง่ายไม่ต่างจากครั้งก่อน ปืนสองกระบอกเหน็บข้างเอวและปืนไรเฟิลที่สะพายแปะอยู่กับหลังนั้นกลายเป็นม่าย เด็กหนุ่มสนุกกับการใช้ดาบมากกว่า ทว่า...เรดโซน? ข้อนี้ยังคาใจนัก“เบเลียน กลุ่มบี หน่วยกำกับการป้องกันโรคระบาดถูกเรียกประจำการ”โรคระบาด? เขาทำลายศัตรูอีกตัว เกิดอะไรขึ้นกับที่นั่นกันแน่ นี่เป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด เวลาถูกแยกออกจากอเล็กซิสทำให้สมาธิของเขาครึ่งหนึ่งหายไปกับเธอ เขาอยู่ในหน่วยรุกกลุ่มเอเหมือนกับอเล็กซ์ แ
บลูรู้แล้วว่าเขาได้อยู่กลุ่มบี แต่ต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้อยู่หน่วยไหน และสุดท้าย “บลู เทอร์นเนอร์” เขาตบบ่าเพียซและโอลิแวนเพื่อไปเข้ากับหน่วยรุก ชายหนุ่มจงใจเดินผ่านลูกบ้านสาวตาน้ำเงิน เธออยู่กลุ่มบีกับเขา แต่น่าจะเป็นหน่วยสนับสนุน สีหน้าเด็กสาวบ่งบอกว่าประหลาดใจเมื่อเห็นบลู แค่นั้นเขาพอใจกลุ่มของเขาจะบุกตึกร้าง ซึ่งบลูไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนเพราะไม่ได้เข้าอบรมเหมือนคนอื่น แม้เขาเคยเห็นราซาในสภาพเมืองที่มีชีวิตมาก่อนเมืองร้าง แต่ในเมื่อมันเป็นเมืองร้าง ตึกทุกแห่งย่อมร้างผู้คน รถถังเคลื่อนทัพนำไปก่อน ภายในใจเริ่มปล่อยวางเมื่อเห็นว่าพวกทหารเป็นฝ่ายห้อมล้อมกลุ่มอาสา หาได้ปล่อยให้พวกเขาเป็นแนวหน้าไม่ แม้จะอยู่ในหน่วยรุก พวกเขายังรอฟังคำสั่งจากหัวหน้าหน่วยอยู่ดี และพวกทหารจะเป็นฝ่ายเปิดคอยระแวดระวังให้ก่อน กลุ่มอาสามาเพิ่มกำลังให้จริงดังคำเชิญชวน บลูค่อนข้างเหงานิดหน่อยเพราะโอลิแวนและเพียซอยู่แถวหลัง ๆ แม้บางคนเขารู้จักแต่แค่เพียงผิวเผิน บลูจึงผูกสัมพันธ์กับรีเวอร์ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มต้องสงสัยไม่กี่คนในหน่วยนี้ เขาเรียกว่าไรดี การต่อสู้คราวนั้นก่อให้เกิดมิตรภาพได้ ด
“ถ้างั้นเลือกสักอย่างเผื่อไว้” เจ้าหน้าที่กดปุ่มบนโต๊ะ ตัวแผ่นพลิกขึ้นเผยให้เห็นคลังอาวุธข้างใน ทว่าแม้บลูจะพอเดาได้ว่าอันไหนปืน อันไหนมีด แต่เขาใช้ไม่เป็นเลยสักอัน จึงสุ่มเลือกมีดสั้นด้ามหนาขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนมีดพกธรรมดา เขาถนัดของเบสิก“อันนี้สามารถเสียบไว้ใต้แขน”ชายหนุ่มหงายแขนตัวเองขึ้น เห็นที่เสียบเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ “ใช้ยังไงเหรอ”ทหารหนุ่มจับมีดแล้วตวัด ใบมีดโผล่ออกมา “เหมือนมีดพกก็จริง” เขาตวัดกลับ ใบมีดกลับเข้าไปข้างใน บลูจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อใช้นิ้วโป้งกดตรงสัน ใบมีดโค้งโผล่ออกมาจากปลายทั้งสองด้าน และเมื่อมันถูกเขวี้ยงออกไปกลับแล่นกลับมาหาเจ้าของคล้ายกับบูมเมอแรงนั่นเอง “ลองดู”บลูมองมีดในมือแล้วตวัดไปตวัดมา จากนั้นลองใช้แบบบูมเมอแรง อุปกรณ์นั้นใช้ง่าย อาจเป็นเพราะมันมีระบบอัตโนมัติติดตั้งเอาไว้ให้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญมากนัก“มีสองที่ ก็เอาไปสอง” เขาหงายมือแล้วเสียบมีด จากที่ตัวเบาก็เริ่มพะรุงพะรังขึ้นนิดหน่อย “หมดแล้วใช่ไหม” เขาถาม&ldqu
หน้าประตูเหล็กสีดำ นายทหารสองนายยืนประจำการเฝ้าอยู่ พวกเขามองไปรอบ ๆ แปลกใจที่ไม่เห็นกลุ่มคนเลยทั้งที่นาฬิกาบ่งบอกเวลาว่าเพิ่งเจ็ดโมงยี่สิบเจ็ดนาที ในใจบลูหวาดกลัวว่ามันอาจเป็นกลลวง และเอมอนอาจตกอยู่ในอันตรายจึงปรี่เข้าไปหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง พอเห็นชายสองคนตรงเข้ามา ทั้งสองนายพร้อมใจกันยกมือให้พวกเขาหยุด “อาสาสมัครใช่หรือไม่ ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้”“พวกเราไม่ได้ลงทะเบียน” เขาตอบ “พวกเขาไปกันแล้วเหรอ”ทั้งสองคนมองหน้ากัน คนหนึ่งพยักหน้า ชี้นิ้วโป้งไปทางประตู “เตรียมตัวอยู่ข้างใน ถ้างั้นพวกนายก็กลับไปซะ”“เดี๋ยว” อีกคนยั้งเพื่อนไว้ ทำมือบอกพวกเขาให้รอตรงนี้ทหารคนนั้นทาบมือกับบานประตู แผ่นเหล็กเลื่อนลงเผยให้เห็นช่องทึบข้างใน บลูจะชะโงกหน้าดู แต่เมื่อเห็นอีกคนที่เฝ้าอยู่เหล่มองก็ก้มหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา “บอกชื่อพวกนายมา” เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับริงโก้ แล้วตอบไป“บลู เทอร์นเนอร์”“โบธิสต้า ซานโดวอล”นั่นคือจริงของริงโก้ เขาไม่รู้ที่มาว่าทำไมชายคนนี
บลูสลัดมือแล้วเช็ดเสื้อชายหนุ่ม เวลาเขาอยู่ข้างริงโก้ทีไรรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์บอบบางที่พยายามล้มช้างแมมมอธ พอโดนแกล้งคืน ริงโก้ฮึดฮัด บลูยิ่งหัวเราะสะใจ “ฝากที่เหลือด้วยนะจ๊ะที่รัก” แล้วคว้าลังเบียร์เดินออกไปเลย ใครจะอยู่ฟังคำสบถแสลงหูเล่าดาดฟ้ากลายเป็นที่ประจำของบลูไปเสียแล้ว มือหนึ่งดีดฝาไฟแช๊ก อีกมือหยิบบุหรี่ ปากคาบแล้วจุดลมเย็นพัดผ่านร่าง หากไม่ได้สวมเสื้อแจ็กเกตกันหนาวคงสะท้านน่าดู ไม่ทันที่เขาจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เอมอนเปิดประตูเหล็กอย่างแรง มือหนึ่งถือกล่องกระดาษ อีกข้างถือแผ่นพับกระดาษ “เล่นกันไหม”“เออ จัดเลย”น้องชายกางตารางกระดาษลงบนโต๊ะ เทของข้างในออกจากกล่อง มันเป็นฝาขวดที่เขาสะสม จากนั้นวางมันลงแทนหมากบนตาราง “ยัยเด็กนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”เอมอนแบมือ เขาส่งซองบุหรี่ให้ “อย่างที่ริงโก้ว่า เธอใช้ยาระงับอาการ ตอนริงโก้เคาะเลยเปิดให้ไม่ได้ ตอนนี้เดสก็ทดลองถอนพิษให้อยู่” ชายหนุ่มหยุดคิด “แต่ไม่น่าจะทำได้”ดูเหมือนว่าความล้มเหลวทำให้เอมอนเลิกโลกสวย “แ