LOGINออสโล่และอเล็กซิสยิ้มน้อย ๆ ทำท่าราวกับเข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังอดขำไม่ได้ และเมื่อพวกเขาหัวเราะใส่เธอเกินพอดี โทสะเริ่มเดือด และพอมันเดือด เธอห้ามปากตัวเองไม่อยู่
“มันไม่ตลกนะ! บางครั้งฉันเห็นเหตุการณ์ผ่านภาพในหัว มันผุดขึ้นมาเอง” หยุดพูดได้แล้วเบ็กกี้ หยุดพูด “ฉันพูดความจริง ฉันเคยฝันถึงเพื่อนคนหนึ่ง ฉันอยู่ในร่างของเธอ เห็นทุกสิ่งผ่านดวงตาของเธอ เธอลืมล็อกประตูห้องนอนและพ่อเลี้ยงก็เข้ามา ฉันพยายามเตือนเธอแล้ว แต่เธอบอกว่าฉันมันบ้า ประสาท เพี้ยน ฉันไม่ใช่เพื่อนของเธอ และพ่อเลี้ยงของเธอก็เข้ามาในห้องนอนจริง ๆ สุดท้าย เพื่อนคนนั้นก็เอาแต่โทษว่าฉันสาปแช่งเธอ”
บรรยากาศเปลี่ยนไปทันทีเหมือนครั้งเรมี เสียงหัวเราะหายไป แต่พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดเหมือนที่เชื่อเรมี สีหน้าของพวกเขาบ่งบอกว่าเห็นใจ แต่เธอไม่ต้องการความเห็นใจนั้น เด็กสาวร้องไห้ในใจ ทำไมถึงไม่หุบปากให้สนิท เธอรู้ว่าพวกเขาคิดอะไร พวกเขาคงนึกถึงสายรัดข้อมือเมื่อครู่และคงคิดว่า อ้อ อย่างนี้นี่เอง เธอเป็นคนป่วย เธอสมควรอยู่ที่นั่นต่อไป
“เธอเป็นแม่หมอเหรอ”
“ไม่ใช่สักหน่อย” เธอตวาดใส่เวด เขานิสัยไม่ดีเหมือนกับคนตาสีอำพัน ถึงจะร้ายน้อยกว่าแต่ก็ยังนิสัยไม่ดีอยู่ดี
“เธอทายอนาคตของฉันได้ไหม” เทสซ่าถามแต่น้ำเสียงแฝงนัยล้อเลียน เบ็กกี้แน่ใจว่าสิ่งที่เธอคิดในตอนแรกถูกต้อง คนกลุ่มนี้ไม่ต่างอะไรจากพวกแก๊งอันธพาลในโรงเรียน พวกเขาแกล้งเธอเหมือนกับที่พลูทักซ์ทำ
“ฉันทำนายอนาคตไม่ได้ ฉันแค่เห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ฉันไม่สนหรอก ถ้าหากพวกเธอจะไม่เชื่อฉัน”
“เฮ้ ใจเย็น ๆ” เรมีกระตุกแขน เขาเป็นคนเดียวในนี้ที่เธอรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วย แต่พวกเขาเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมง เธอจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปเหมือนคนพวกนี้ แต่เพราะตัวเธอไม่มีเพื่อนคนอื่นแล้ว จะผิดหรือไม่หากเธอหวังว่าเขาจะอยู่ข้างเธอ
“เบ็กกี้ นั่นอะไรเหรอ” มินนี่ชี้นิ้วไปยังรอยแผลเป็นที่คอ “รอยช้ำหรือเปล่า”
“เห็นมาตั้งนานละ มีรอยแบบนั้นใต้แขนเธอด้วยนะ” เบนเสริม
เบ็กกี้ลุกขึ้นยืน
“นี่ ไม่มีอะไรหรอกน่า ใจเย็นก่อน”
“ฉันไม่ใช่คนบ้านะที่นั่งเฉย ๆ แล้วปล่อยให้คนพวกนี้ปากพล่อยพูดอะไรก็ได้”
“โห...แรงนะนั่น” ใครสักคนว่า
“ขอโทษ พวกเราขอโทษ ไม่มีใครอยากให้เธอรู้สึกแบบนั้น พวกเขาหัวเราะฉันเหมือนกัน เรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่า อย่าเพิ่งโมโหเลย” อเล็กซิสทำเหมือนปลอบแต่คำพูดไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้น เบ็กกี้รู้ดีว่ามันเป็นการแสดง บางครั้ง คนบางคนก็หยิบยื่นน้ำใจ ปากบอกว่า “ฉันเข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไร” แต่จริง ๆ แล้ว พวกเขาแค่พยายามสร้างภาพให้ดูดีขึ้นมาเท่านั้น
“อย่าเสแสร้งเลย คนอย่างเธอยังถือปืนคิดฆ่าคนได้ ดวงตาเธอมันไร้ความรู้สึก เย็นชาราวกับน้ำแข็ง ฉันเห็นตัวตนของเธอทุกอย่าง อย่าแกล้งทำเป็นปลอบ ข้างในเธอก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ”
ทุกคนเงียบไปนานก่อนที่เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรอบ เบ็กกี้คิดว่า ตอนนี้หน้าของเธอคงแดงมากกว่าผมตัวเอง
“เอาจริงเหรอเนี่ย” ซาร่าห์พึมพำ แต่เสียงที่ใสกลับฟังดูน่ารำคาญขึ้นมา และตอนนี้ในสายตาเธอ หญิงสาวคนนี้คือราชินีจอมวายร้าย
“อเล็กซิสฆ่าใครไม่ได้หรอก” เวดแย้ง “อย่าพูดแบบนั้นอีกนะ”
“เธอทำได้...จะทำแน่ ๆ ฉันรู้ว่านายคงไม่เชื่อ ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่เพื่อนของนายจะทำแบบนั้นจริง ๆ ดวงตาของเธอไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แต่ตั้งใจจะฆ่า...ฉันเห็น”
“เด็กคนนี้มาจากสถานพักฟื้นจิตเวช แถมยังมาจากแคสติโมเนีย” เทสซ่าย้ำเตือนกลุ่มตัวเอง “เธอพูดจาไร้สาระ”
“เทส ไม่ต้องใช้คำแรงขนาดนั้นก็ได้”
“พี่ก็ ดูสายตาที่เธอมองพวกเราสิ เหมือนเห็นพวกวายร้ายอะไรแบบนั้นเลย”
“เธอยังเด็ก” เรมีแทรก เหมือนพยายามจะหาข้อแก้ตัวให้เธอ แต่เธอไม่ต้องการ เขาก็เหมือนกับอเล็กซิส ไม่อยากทำตัวแย่ ๆ ต่อหน้าคนอื่น นายก็แค่อยากเป็นเพื่อนกับคนกลุ่มนี้
“บางที มันอาจจะเป็นพลังของเธอก็ได้ มองเห็นอนาคตอะไรแบบนั้น” คำพูดของมินนี่ทำให้ทุกคนขบขัน อย่างไรก็ตาม มินนี่ไม่ได้โกรธคนอื่นเหมือนเบ็กกี้ เธอจ้องหน้าเด็กสาวอีกคนนิ่ง แล้วยิ้มอย่างใสซื่อ
“เธอคิดว่าอเล็กซิสฆ่าคนได้งั้นเหรอ” เวดโต้น้องสาวเพื่อน “เทสซ่าพูดถูกแล้ว ไร้สาระ อเล็กซ์ เธออย่าไปฟังคำพูดของเด็กคนนี้เลย ฉันพูดกับเพื่อนของฉัน ไม่ใช่นายนะโวลคอฟ”
“เออ รู้โว้ย” อเล็กซ์ตวาดกลับ
“อเล็กซิส อย่าไปฟังคำเด็กคนนี้” เทสซ่าเตือนเพื่อน
“ไม่หรอก ฉันไม่ถือ ความจริงอยากรู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะฆ่าใคร”
เด็กสาวเริ่มไม่ชอบอเล็กซิสมากขึ้นเรื่อย ๆ “เธอไม่อยากรู้หรอก เธอก็แค่...พยายามจะแกล้งฉันเหมือนคนอื่น”
“เฮ้ ฉันอยากรู้จริง ๆ”
“อย่าปล่อยให้เด็กคนนี้ว่าเธอฝ่ายเดียวได้ไหม ฉันไม่อยากจะพูดอะไรแบบนี้หรอกนะ หนูน้อย แต่ถ้าเธอไม่เข้าใจมุกตลกและไม่เห็นว่าขำ ในเมื่อเธอตัดสินพวกเราไปแล้วว่าเลวร้ายขนาดไหน ไปซะ ไปให้พ้น”
“เทสซ่า!” พี่ชายของเธอร้อง “เธอยังเด็ก อย่าพูดอะไรรุนแรง ไม่เอาน่า ไม่ทะเลาะกัน ฉันขอโทษนะสาวน้อย”
“ทำไมล่ะ เพราะเธอเด็กกว่าพวกเราเหรอ ถึงทำตัวร้าย ๆ ได้”
ฉันร้ายเหรอ
“พูดกันไปไกลเกินแล้ว” โนเอลลุกขึ้น เดินตรงมาหาเบ็กกี้ เด็กสาวผงะถอย “อย่าเข้ามานะ”
“เฮ้ ใจเย็นน่า ฉันไม่ทำอะไรหรอก สูดหายใจเข้าลึก ๆ ค่อย ๆ คุยกัน”
แต่พอเธอสบตากับเขา ฉันพลันภาพบางอย่างปรากฏในหัว เธอเห็นเขานอนจมกองเลือดจากนั้น...ไฟ เด็กสาวพยายามจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้าแต่สติพ่ายแพ้ให้กับอาการที่กำเริบขึ้น มันเป็นอาการปวดหัวที่รุนแรง “ออกไป”
“เบ็กกี้?”
“เพี้ยนชัดๆ”
“เบ็กกี้?”
เธอไม่รู้ว่าใครพูดอะไรบ้าง เพราะความเจ็บปวดครอบงำจนไม่รับรู้สถานการณ์รอบด้าน เสียงปืนดังสนั่นข้างหูทั้งสองข้าง อาการปวดศีรษะนั้นรุนแรงเกินทนราวกับสมองของเธอกำลังจะปริออกจากกัน สาวน้อยผมแดงกรีดร้อง จากนั้นทุกอย่างมืดสนิท
“แต่คุณบอกว่ามันจะใช้คุณเป็นตัวประกัน” ไมเคิลเถียง“ใช่ ตัวฉัน เพียงแค่ร่างกายที่ยังมีลมหายใจ”อเล็กซิสเข่าอ่อนจนทรุดตัวลง ก้มหน้าซ่อนสะอื้นลงกับตักหญิงสาว นาฮีมานาอาจไม่ใช่แม่ของกลุ่มเสี่ยง แต่เปรียบเหมือนกับผู้ใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวที่พวกเขารู้สึกสบายใจเวลาเห็นเธอ เปรียบดั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาทางจิตใจ“แต่ว่า...ก่อนจะออกไป ฉันมีเรื่องจะขอร้อง”เมื่อนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้น นาฮีมานาจับมืออเล็กซิสกับไมเคิล“เผาทุกอย่างในนี้”ทั้งสองพยักหน้า“ถ้าเห็นอะไร ทำใจไว้นะ แต่ฉันคิดว่าอย่าปล่อยไปเลย พวกเขายังไม่รับรู้อะไรหรอก”ทว่าประโยคหลังนั้น ทั้งสองไม่เข้าใจ นาฮีมานาคะยั้นคะยอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่อีกครั้ง มืออีกข้างหยิบปืนที่พวกนั้นทิ้งไว้ เธอพยักหน้าให้ทั้งสองเห็นว่าไม่เป็นไร“พวกเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ไปเถิด”“เหลืออีกห้านาที”นาฮีมานาไม่ต้องการให้พวกเขามอง หรือรับรู้ ทั้งสองจึงเดินออกไปหน้าลิฟต์ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจึงได้ยิน
“พาตัวเธอมา” เธอหันไปสั่งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อเล็กซิสไม่มีวันรู้ไม่ถึงหนึ่งนาทีได้ คนของอาร์คาเดียจึงประคองนาฮีมานาออกมา เธออยู่ในสภาพอิดโรย ผมสีดำยุ่งเหยิง แก้มที่ตอบอยู่แล้วลึกลงไปราวกับผิวหนังปกคลุมเพียงโครงกระดูก เธอออกจากกลุ่มไปก่อน อเล็กซิสไม่รู้เลยว่าหญิงสาวโดนจับไปเมื่อไร“ได้โปรด เราพาเธอมาแล้ว”“เหลืออีกสิบนาที” พวกเขามองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวหนีไม่ทัน“ทำไม ที่นี่จะระเบิดหรือ”พวกเขาส่ายหน้า ทั้งสองไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นนาฮีมานาพยักหน้าให้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง อเล็กซิสจึงหันไปพยักหน้ากับไมเคิล เขาจึงบอกให้คนที่เหลือออกไป ทั้งหมดทิ้งอาวุธแล้วรีบวิ่งหนี บางคนแย่งกันออกไปจนมีเสียงโวยวายล้มลุกคลุกคลาน ส่วนพวกเขารีบไปประคองนาฮีมานาที่ถูกทิ้งลงกับพื้น“มานา...”หญิงสาวสบตากับทั้งสองแล้วยกมือจับแก้มคนทั้งคู่ เพียงสัมผัสอเล็กซิสกลับรู้สึกสบายตัว อากาศปวดตามตัวและที่หน่วงอยู่ในท้องก็อันตรธานหายไปทันใด เมื่อเธอมองไมเคิลจึงเห็นว่าบาดแผลบนใบหน้
“เหลืออีกยี่สิบนาที”สิ่งที่อเล็กซิสเกลียดที่สุดคือการไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น แม้เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ลักพาตัว แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวการเป็นใคร ทั้งสองยืนมองนักวิทยาศาสตร์วิ่งหนีออกจากตึกจากบานหน้ากระจกขนาดใหญ่บนชั้นลอยเปิดสู่โถงด้านล่าง ประตูทางออกนั้นไม่ได้เปิดออกไปแล้วเห็นด้านนอก แต่ไปยังลิฟต์ที่เคลื่อนตัวขึ้นไปด้านบน โถงด้านล่างกินพื้นที่ถึงห้าชั้น มันกว้างใหญ่ พวกเขาวิ่งหนีขึ้นลิฟต์ บ้างแย่งกัน แต่เพราะจำนวนมีจำกัดจึงไม่อาจขนส่งคนออกไปได้ทันทีแต่ก็ทำให้เธอรู้ว่าทั้งหมดอยู่ใต้ดินขณะนั้นไมเคิลปรายตามองทีมรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหารสีเทาแต่เป็นสีน้ำตาล ในมือถือปืนเลเซอร์ขนาดใหญ่เล็งมาแต่ยังไม่ได้ยิง หรือพูดไม่ถูกคือไม่กล้ายิงเพราะกลัวผลโต้ตอบที่รุนแรงกว่า อีกกลุ่มคอยอพยพและจัดระเบียบ พวกเขามองขึ้นมาอย่างหวาดผวา ส่วนเธอกับไมเคิลมองลงไปด้วยสายตาว่างเปล่า“ปล่อยไปเถอะ เราต้องการเพียงมานา”อเล็กซิสไม่ได้ใจดี เธอแค่ไม่อยากเสียเวลาไมเคิลพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้อง
แม้สายตาจะคอยชำเลืองมองแฝดที่ยืนจังก้าอยู่ด้านหน้าประตูรอให้พวกมันเข้ามา อเล็กซิสใช้เวลานี้เรียกข้อมูลขึ้นมาเรื่อย ๆ นอกจากจะเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของพวกเขาแล้ว พวกมันต้องการเซลล์ไข่ของเธอและสเปิร์มของแฝดเพื่อผสมเทียม สมมติฐานของคนพวกนี้นั่นคือ เธอและไมเคิลเป็นกลุ่มเสี่ยงคู่เดียวที่สามารถให้กำเนิดทายาทที่มีลักษณะพิเศษได้ เหมือนอย่างที่ลูก้าและเจมม่าเคยให้กำเนิดคนทั้งสอง เนื่องจากกลุ่มเสี่ยงคนอื่นล้วนมีภาวะมีบุตรยากหรืออาจจะถึงขนาดไร้ประสิทธิภาพที่จะมีทายาทเลยก็ว่าได้เพื่ออะไร ผลิต...ผลิตกองทัพผู้มีพลังพิเศษด้วยตัวเองหรือปัญหาคือ เธออยากรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เอไลโตทั้งหมด หรือบางคน? ที่แน่ ๆ พวกมันใช้คาเรลที่สมควรถูกประหารชีวิตไปแล้วปลอมตัวเป็นไมเคิลมากหลอกเธอเสียงฝีเท้ามากมายมาเป็นโขยงโดยที่แฝดชายยืนรออยู่ อเล็กซิสถอยห่างจากโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน“อยู่เฉย ๆ” คนข้างนอกตะโกนเข้ามา “อย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องยิง!”ชายหนุ่มผมเงินหัวเราะดูแคลนคนข้างนอก พริบตาเดียวเปลวเพลิงลุกโถมเข้าใส่ประตูด้านหน้า ทีมรักษาความป
ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้งพร้อมกับสภาพเครื่องมือล้มระเนระนาด รวมทั้งจานที่บรรจุเซลล์ไข่แตกละเอียด เพียงเธอมอง ของเหลวในนั้นแห้งเหือดตรงมุมขวาของห้องมีกล้องวงจรปิดอยู่ อเล็กซิสยกมือขึ้นทำท่าบิด มันแตกแล้วตกลงมา เพียงเท่านั้นเธอรีบลุกออกจากเตียงเพื่อไปหาไมเคิล แต่เพียงขยับก็เจ็บหน่วงที่ท้อง สุดท้ายกลั้นใจหยิบผ้าคลุมมาพันตัวแล้วเดินไปหาน้องชาย มันไม่ได้เจ็บมากนัก แต่แปลบ ๆ หน่วง ๆ เหมือนเวลาที่เธอเคยมีประจำเดือน“ไมเคิล” เธอจับแก้มที่มีแผลไหม้แล้วสงสารจับใจ ใบหน้าของเขาคือของขวัญล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็อยากจะถนอมดูแล แล้วดูตอนนี้สิ อเล็กซิสดึงเครื่องรัดออกแล้วสวมกอดคนที่นอนอยู่แน่นเพื่อให้เขาฟื้นตัว “ไมเคิล ตื่นสิ ไมเคิล”ชายหนุ่มส่งเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ เธอถอนตัวขึ้นมาเพื่อรอให้เขาฟื้น เขาเริ่มขยับริมฝีปาก “รอ...”“ไม่ต้องรอ” เธอบอกพลางกุมมือเขาแน่น น้ำตาเอ่อขึ้นมาเมื่อมองแฝดชายราวกับเห็นร่างของซีโน่ที่กำลังจะตาย “ตื่นขึ้นมา ฉันจะปกป้องนายเอง”เขากะพริบตาก่อนจะลืมตามอง ดวงตาสีฟ้าเข้มสบกับของเ
มีกี่เรื่องที่ทำให้คนเราฝันร้าย แต่เมื่อตื่นเหมือนกับโผล่ขึ้นผิวน้ำปีศาจในความทรงจำล้วนมีมากหน้าหลายตา และกลุ่มแรกมีชื่อว่าคาเมรอนกับบรูซ ยังดีที่โชคยังเข้าข้าง ต่างกับตอนนี้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือปีศาจใต้หน้ากาก หมดสิ้นอิสรภาพโดยสิ้นเชิงสติไปไหน เหตุใดจึงรู้สึกล่องลอย บางครั้งตื่นตัว บางครั้งไม่รู้สึกมันมากันเป็นกลุ่ม จับร่างของอเล็กซิสขึงเพื่อเอาบางสิ่งจากกาย หากขัดขืนดิ้นรนก็จะได้รับความเจ็บปวดสาหัสจนไม่อาจขยับได้ไปหลายนาที คงเป็นเพราะกายหยาบนี้ทนทานต่อยาสลบจึงตื่นเร็วเกินไป แต่ต่อให้ทนได้เพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาเสียงกรีดร้องอ้อนวอนขอให้พวกมันหยุดไม่เป็นผล แม้เมื่อมันได้สิ่งที่ต้องการก็ยังไม่ปล่อยอเล็กซิสกับไมเคิลไป พวกมันเอาขาหยั่งออกแล้วปล่อยให้ขาเธอนอนเหยียดยาวโดยมีเครื่องล็อกตรึงไว้ไม่ให้ขยับ“พวกแกต้องชดใช้” เสียงที่ตะโกนออกไปกลั่นออกมาจากความแค้นที่อยู่ลึกสุด แต่กลับฟังดูอ่อนแอเกินกว่าจะขู่ให้ผู้ใดกลัว ตรงกันข้ามกลับเรียกเสียงหัวเราะขำขันแทนเธอหันไปมอง







