“ฮึ ๆ เปล่านะ ฉันไม่ได้หัวเราะ แต่...(เธอเอามือปิดปาก) ขอโทษที แต่...นี่คือเหตุผลเหรอ” ซาร่าห์กลั้นหัวเราะไม่มิด ขนาดเสียงหัวเราะยังใสเหมือนระฆัง
“ออสโล่...แล้วนายล่ะ” เบนหันไปถามหนุ่มผมแดงพร้อมกับใบหน้าขบขัน
“เอ่อ ฉันคิดเลขไว...หัวไว ประมาณนี้”
เสียงหัวเราะดังลั่นกว่าเดิม เบ็กกี้กอดอกแน่น สมาชิกใหม่คนนี้เป็นคนเดียวที่ไม่เห็นว่ามันตลก
“เวด แล้วนายล่ะ เพราะความหัวร้อนเกินมนุษย์ปกติหรือเปล่า”
“หุบปากไปเลย ฉันเป็นลูกหลงเพราะยัยความจำดีกับไอ้คณิตคิดเร็วต่างหาก”
เบ็กกี้มองดูเรมีขำขนาดเอากำปั้นทุบพื้น เสียงหัวเราะดังร่วนเหมือนไม่ได้หายใจ เบนกับ
อเล็กซ์หัวเราะจะเป็นจะตาย ไม่พยายามกลั้นเลยสักนิด พวกพี่น้องโธมัสขำอย่างสุภาพ พยายามไม่แสดงออกมากนัก อาจจะยกเว้นมินนี่ไว้คนหนึ่ง เธอมองคนอื่นด้วยสายตาเอ็นดูเหมือนพระแม่มองสรรพสัตว์“เงียบไปเลย!” เวดวักน้ำใส่ทุกคน ทำให้เบ็กกี้นึกถึงหมีขี้โมโห
“หยุด หยุด อย่าวิดน้ำ มันเข้าตา!” สาวบลอนด์พยายามห้ามแฟนตัวเอง
“พวกนายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางฆาตกรต่อเนื่อง ส่วนฉันติดคุกเพราะขโมยไอศกรีมของน้องชาย” อเล็กซิสถอนหายใจ “เรมี ช่วยให้พวกเขาหยุดหัวเราะสักทีเถอะ ก่อนจะขาดใจตายไปซะก่อน”
“อ้อ ตาฉันแล้วเหรอ ฉันถูกตัดสินว่าเป็นกลุ่มต้องสงสัยเหมือนเธอนั่นแหละ แต่ว่าเพราะพยายามแฮกระบบของรัฐบาล”
เหมือนไฟดับ ทุกอย่างหยุดชะงัก
“แฮกเลยเหรอ นี่นายอายุเท่าไรเนี่ย” ออสโล่ถาม แต่ปากยังอ้าค้าง ตอนนี้เอง เธอเริ่มมีอาการนั่งไม่อยู่สุขอีกแล้ว แต่ละคนมีโพรไฟล์ดีกว่าเธอทั้งนั้น เพราะถ้าอเล็กซิสขโมยไอศกรีม
เบ็กกี้คงโดนข้อหาเดินข้ามสนามหญ้าเพื่อนบ้าน“สิบหก แต่ตอนนี้เป็นนักศึกษาปีสุดท้าย เรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์อยู่” เห็นได้ชัดว่าเรมีภูมิใจที่จะแนะนำตัวมากขนาดไหน แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนสนใจเรื่องของเขา
“เจ๋งว่ะไอ้หนู”
“ขอบคุณที่ชม”
“แล้วทำไมนายถึงทำแบบนั้นล่ะ”
เขาขยับแว่นนิดหนึ่ง “ฉันสงสัยอยู่ตลอดว่ารัฐบาลปิดบังอะไรบางอย่าง พวกเราอยู่ในโลกหลังยุคหายนะก็จริง และฉันก็เข้าใจว่าอารยธรรมต้องใช้ในเวลาในการรื้อฟื้น แต่จากสภาพแวดล้อมและเทคโนโลยีที่พวกเราใช้กันอยู่ มันล้าหลังมาก หากเปรียบเทียบกับเมื่อพันปีก่อน มีชมรมลับมากมายแชร์ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ฉันเลยลองเจาะเข้าไปในองค์กรรัฐบาลบางแห่งเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม พอมั่นใจว่าฉันจะสามารถแฮกระบบได้ ก็เลยมุ่งเจาะไปยังฐานข้อมูลของสำนักงานของประธานาธิบดีสหพันธรัฐโดยตรงเลย แต่ยังไม่ทันจะได้ข้อมูลอะไร...”
“ชมรมลับ...นายรู้จักคนกลุ่มนี้ได้ยังไง เท่าที่ฉันจำได้ หนังสือบอกไว้ว่า หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่สาม ผู้คนเผชิญหน้ากับปัญหาความอดอยาก มลพิษ และโรคภัยมากมาย และช่วงหายนะก็เริ่มจากจุดนี้ มนุษย์ล้มตายกันจนเกือบสูญพันธุ์ อารยธรรมสูญสิ้น คนที่รอดชีวิตก็ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ทั้งหมด ไม่ใช่ความจริงเหรอ”
“ความจริงแต่ไม่ทั้งหมด” เรมีตอบอเล็กซิส “ในชมรมลับ พวกเขาไม่ได้สนใจว่าหายนะคืออะไร แต่พวกเขามองไปยังกลุ่มคนที่รอดชีวิตต่างหาก พวกเธอคิดว่า คนกลุ่มไหนจะรอดชีวิต ถ้าไม่ใช่พวกชนชั้นสูง คนรวย นักธุรกิจ ผู้ทรงอิทธิพล หรือนักการเมือง เชื้อพระวงศ์ อ้อ นักวิทยาศาสตร์ด้วย ฉันไม่คิดว่ากลุ่มอื่นจะรอดหรอก แล้วถ้าพวกเขารอด ก็คือพวกเราไง กลุ่มแรงงาน ตัวหมุนฟันเฟือง พวกชาวบ้านคงล้มหายตายจากไปตั้งแต่คลื่นหายนะแรกแล้ว แล้วพอสงครามโลกครั้งที่สามก็คงแทบสูญไปหมด น้อยนะที่จะอยู่รอดจนมาถึงยุคหลังหายนะได้ แล้วมันก็ผ่านมาเป็นพันปีแล้ว เทคโนโลยีก่อนช่วงคลื่นแรกถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่เทคโนโลยีและความรู้ที่พวกเราได้รับในตอนนี้ ค่อนข้างล้าหลังกว่าสมัยนั้น”
“ให้ตายสิ นี่สินะ พวกอัจฉริยะเขาคิดกัน ฉันเหมือนนักศึกษาโง่ ๆ คนหนึ่งเลย” อเล็กซ์ว่า “ฉันไม่เคยสงสัยเรื่องอะไรแบบนี้ จะมีแค่สงสัยกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลก็เท่านั้น และนายก็พูดถูก ดูเทคโนโลยีในนี้สิ!”
“สรุปแล้ว นายเจอคนกลุ่มนี้ได้ยังไง” อเล็กซิสยังคงสนใจพวกกลุ่มลับ
“พวกสมาคมศาสนาต่าง ๆ ใช่ว่าจะเกี่ยวกับศาสนาจริง ๆ ซะหน่อย ถ้าฉันกลับไปได้ ฉันจะบอกที่อยู่คนพวกนี้ให้พวกเธอไปเข้าร่วมด้วยกัน แต่เอาจริงแล้ว ต้องใช้เวลานานกว่าจะเข้ากลุ่มได้ อย่างฉันก็เป็นเพียงสมาชิกตัวเล็ก ๆ รู้แต่เพียงว่า มีกลุ่มแบบนี้อยู่”
เบ็กกี้ภาวนาให้เรมีพูดไปเรื่อย ๆ ทุกคนจะได้ลืมเรื่องของเธอ
“ฉันว่าเราต้องใช้เวลาคุยกันแบบจริงจัง ตอนเย็นมานั่งด้วยกัน ห้ามลืมนะ” อเล็กซิสชวนทันที
“แน่นอน”
“เฮ้อ อยากกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเดี๋ยวนี้เลย แต่ก่อนอื่น เอาให้กิจกรรมนี้จบก่อนดีกว่า เบ็กกี้ ทำไมเธอถูกส่งมาที่นี่” เบนหันมาทางเธอ
ทำไมทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตรงข้ามกับสิ่งที่หวังไว้ตลอด
“เอ่อ...ฉัน”
“เธอพูดดังกว่านี้ไหม”
ถ้าเบ็กกี้มีความกล้ามากพอ เธอคงกล้ามองค้อนเบน แต่เพราะเธอไม่เคยมีความกล้าอะไรแบบนั้น เด็กสาวจึงพยายามพูดเสียงดังขึ้น “ฉันเป็นกลุ่มต้องสงสัย”
“เพราะอะไรล่ะ”
“ฉันมองเห็นภาพ...”
“ที่ไหน”
“ในความฝัน”
ไม่ต้องรอให้ทุกคนงงงัน เสียงหัวเราะดังสนั่นไปทั่ววง
เปล่า ไมเคิลแน่ใจว่าอเล็กซ์ไม่ได้รู้สึกแบบเขา อีกฝ่ายเข้าใจไปอีกอย่าง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะพูดกับอเล็กซิสเดี๋ยวนี้ บางที...มันอาจเป็นพลังของเธอ แต่ทำไมอเล็กซ์ไม่รู้สึก หรือเพราะเขายังไม่ได้สู้ เขายังไม่ได้ใช้พลัง แล้วพลังของอเล็กซิสเป็นแบบไหนกันแน่ เพิ่มพลังให้คนอื่นงั้นหรือ หรือปลดล็อกให้อีกฝ่ายรู้จักใช้พลังของตัวเอง“บรรยากาศไม่ดี” อาคุสะพูดขึ้น“กลับไปดูพวกเทสซ่าก่อนกันเถอะ” อเล็กซิสตบไหล่แฟนหนุ่มสองสามทีเพื่อให้เขาออกไปจากตัว “ถ้าพวกมันแห่ไปที่นั่น ทุกคนแย่แน่” ทั้งหมดพยักหน้า เด็กสาวกำลังจะขยับเท้าก็หันมาไมเคิล “ไว้อธิบายว่าเมื่อกี้นายทำอะไร” เธอยกมือตีหน้าผากตัวเองแต่ก่อนจะไปไหนได้ ทั้งหมดได้ยินเสียงกรีดร้อง...*****เทสซ่าไม่เคยยินดีเท่านี้มาก่อนที่ได้เจอพวกบลูในเวลานี้ เธอผล็อยหลับไปเมื่อไรไม่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็มีมนุษย์รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์สองตนตรงเข้ามา ทีแรกเธอคิดว่าพวกเขาต้องการจะสังหารฝ่ายต่อต้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขามาเพื่อลักพาตัวโคดี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังนอน
“หาเองสิวะ” เขาตะโกน ทว่าไม่ทันระวังเพราะมันดาปาอาวุธกลับมา เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นรอยเท้าเต็มหน้ากระแทกเข้าที่หน้า ร่างของเขากระเด็นกระแทกกำแพงตึก ไมเคิลส่ายหัว มึนไปมันหมด อเล็กซิสวิ่งเข้ามาช่วยพยุงตัวขึ้น“พวกมันไม่บอก อย่าเสียเวลา” เขาได้ยินดังนั้นคิ้วขมวดกันทันที เดี๋ยว... กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดจำต้องรั้งพวกมันให้สู้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเทสซ่าแย่แน่ เขาไม่รู้ว่ามีกลุ่มอื่นตามหาโคดี้อีกหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้พวกมันไป พอเห็นเขายืนได้ อเล็กซิสตัดสินใจค่อย ๆ เดินตรงไป มือยังยิงปืนไม่หยุด “เก็บไฟแช็ก” เธอสั่งเขา “ห้ามทำมันหายเด็ดขาด”“อย่าไป” เขาร้อง แต่เธอไม่ฟัง อเล็กซิสหยิบดาบของไมเคิลขึ้นมาอีกข้างแล้วโถมตัวใส่มันแล้วไมเคิลเห็นดังนั้นรีบตะครุบไฟแช็กแล้วจุดมันขึ้น“อเล็กซิส” เขาร้องเมื่อเห็นเธอบ้าบิ่นจะสู้กับมันตัวต่อตัว พลันร่างเธอก็กระเด็นล้มไปทางเรมีที่กำลังรับมือกับอีกตัวคู่กับอาคุสะ อเล็กซ์สบถอะไรบางอย่าง แล้วจัด
เฒ่าทรอยนอนฟุบลงกับพื้นจนหน้าคลุกไปกับหิมะสกปรกบนพื้น ไม่มีใครคิดช่วยให้เขาลุกขึ้นมา และถ้าใครทำแบบนั้น ไมเคิลจะเป็นคนกระชากคอออกมาเอง เด็กหนุ่มยืนพักหอบหายใจ กว่าจะพาทรอยออกมาได้ยากลำบาก หุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมให้กำจัดใครก็ตามที่อยู่ในสถานะเจ้าพนักงานของทอยซิตี้ ก่อนหน้านี้ เขาขอให้ฟีบี้รีเซตพวกมันใหม่เป็นหน่วยทหารแทน แต่เพราะเธอยืมพลังมาจากโคดี้ ประสิทธิภาพของมันไม่แน่ไม่นอน เมื่อเซตได้ตัวหนึ่งก็ต้องเซตตัวอื่น เธอไม่สามารถทำได้ทีเดียว พอทำงานซ้ำไปซ้ำมา หญิงสาวก็เริ่มหมดความอดทน ฟีบี้บอกว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อสานงานของโคดี้และเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนต่างหาก ศูนย์กลางของทอยซิตี้คือ เดอะ วาล และถ้าหากเจาะเข้าไปยังศูนย์บัญชาการได้ พวกทหารจะแพ้ราบคาบ นั่นคือสิ่งที่เธอบอก แต่ไมเคิลเข้าใจว่ามันคือการคาดเดามากกว่า และเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มันมาจากลูไมเคิลเดินตรงไปแล้วดึงคอเสื้อทรอยขึ้นมาอีก คราวนี้เขาลากเข้าไปในตึกของเมลิสซ่า ที่พักเก่าของตนกับเรมี ตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว ประชากรในเดอะ วาลบางส่วนที่ไม่อยากต่อสู้ก็อพยพไปยังเขตอื่น เนื่อง
ขณะนั้นริงโก้ตัดสินใจอุ้มเอมอนขึ้นมาคนเดียว เพียซจึงอุ้มเดสซิเรตามมา เบลินดาเห็นพวกเขาเดินตรงมาก็ลุกขึ้น เธอส่งขวดน้ำดื่มให้อย่างรู้งาน ระหว่างนั้นเพียซก็เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากประตูเปิด พวกเขาก็บุกเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวเอมอนกับเดสซิเร ทั้งสองถูกจับสวมกุญแจมือ อาวุธโดนยึดหมด แต่เดสซิเรและเอมอนก็ทำให้กำลังพลภายในนั้นปั่นป่วนไปมาก พวกเขาเจอศพทหารหลายราย คงเป็นฝีมือของทั้งสอง ตอนไปถึง หญิงสาวยังพอมีสติจึงเล่าว่า ทั้งคู่พยายามหาห้องควบคุม แต่ภายในมีระบบเชื่อมต่อกับชุดสูทที่เอมอนสวม เพียงย่างก้าวไปในส่วนที่เป็นสำนักงาน หน้ากากจึงถูกปลดออกอัตโนมัติ ทั้งสองจึงต้องสู้และพยายามจะออกมา ทว่าก็สู้จำนวนคนและอาวุธไม่ได้ จากนั้นจึงถูกจับทรมาน อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเดสซิเรที่ไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว บวกกับพลังพิเศษที่ทำให้พวกนั้นไม่อาจสัมผัสหรือเข้าใกล้ได้มากนัก ส่วนเอมอนนั้นแย่หน่อยเพราะพอรู้แผนของลูคร่าว ๆ แต่ไม่ได้ปริปากออกไปเลย ดังนั้นเขาจึงโดนซ้อมหนักที่สุด“แล้ว...ทำไมพวกเธอมานั่งอยู่ตรงนี้” โอลิแวนถาม “พวกอเล็กซิสล่ะ ฉันได้ยินกว่าทั้งกลุ่มเข้าไปในเขตเธอไม่ใช่หร
ไมเคิลสบตากับเรมี อีกครั้งที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเธอวางแผนอะไรกัน“ฉันต้องการคำอธิบาย ตั้งแต่เช้า พวกเราวุ่นจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังไม่นับเรื่องที่พวกเธอทำโดยไม่บอกก่อน”ฟีบี้กลอกตา เธอไม่ได้มีท่าทีสำนึกหรืออ่อนข้อลงแบบเทสซ่า แต่กลับยักไหล่ไม่สนใจ แม้บุคลิกหญิงสาวจะเป็นแบบนี้ และปกติก็ไม่มีใครถือสา (ยกเว้นเทสซ่า) แต่เวลานี้ เขาอดฉุนไม่ได้“ทำไมฉันต้องบอกพวกนายด้วย โต ๆ กันแล้ว อีกอย่างก็ใช่ว่าฉันจะรู้ก่อนหน้าอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะโคดี้ ฉันก็อาจจะนั่งทำหน้าโง่เหมือนพวกนายนี่แหละ” อาคุสะทำเสียงจุ๊ ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปรามเรื่องคำพูด เธอยักคอไปมาอย่างกวนประสาท “เฮ้อ เอาเป็นว่าตอนนี้โคดี้ต้องพัก ส่วนฉันก็ยืมพลังเขามาใช้ จะพยายามเปิดไอ้ประตูยักษ์นั่น” พูดจบก็ถูมือ“ฟีบี้...” อเล็กซิสพูดขึ้น “ฉันเดินผ่านศูนย์อนามัย...เห็นศพพยาบาลเต็มไปหมด ยังไม่รวมเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ไม่ใช่ทหารอีก...”หญิงสาวเงียบไปเมื่อเจอคำถามนี้ เทสซ่าก็เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้า
11:45 PM หน้าประตูเขตเครสเตอร์ - เดอะ วาลกระแสไฟฟ้าแผ่กระจายเป็นวงกว้าง มันส่งแรงต้านผลักก้อนคอนกรีตชิ้นโตหล่นกลับลงมบนพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไมเคิลทึ่งที่โคดี้สามารถป้อนชุดคำสั่งพิลึกพิลั่นให้กับหุ่นพิฆาต หรืออันที่จริงคือ ใครจะคิดว่าเขาจะป้อนคำสั่งแบบนั้นในเวลารีบเร่งเช่นนี้ ทุกครึ่งชั่วโมงจะมีหุ่นสองสามตัวเดินกลับมาปาก้อนหินหนักขึ้นไป กำแพงกั้นเขตแน่นหนาจนแม้แต่พวกมันข้ามไปไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้เช็กดูว่าระบบรักษาความปลอดภัยของทอยซิตี้สั่นคลอนแล้วหรือยัง จะว่าเป็นเพราะระบบถูกออกแบบมาดีก็ว่าได้ ถ้าหากไม่ใช้เพราะโคดี้มีพลังพิเศษ ไมเคิลไม่เห็นหนทางเลยว่าพวกเขาจะออกไปได้ ต่อให้เครสเตอร์และนอร์ธพังทลายเพียงใด มันก็ยังไม่ลามไปถึงอีกฝั่งที่ถือว่าเป็นศูนย์กลาง และเมื่อนั้น ถ้าหากพวกเขาจะล้างศัตรู ก็อาจปล่อยระเบิดลงมาลูกเดียว แบบที่เคยเกือบล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปเมื่อหลายพันปีก่อนยุคก่อนหายนะ...พี่สาวฝาแฝดเคยเล่าให้เขาฟังเข้าเที่ยงคืนกว่าแล้วหรือ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อเล็กซิสจะกินอะไรแล้วหรือยัง เขานั่งนับวันแล้วเหงื่อตก พวกเขาทำปฏิทินเช็กความถี่ว่าอะวีซีจะออกฤ