ทั้งสองเคยไปลองเล่นที่สนามบาสแล้วครั้งหนึ่ง เบนกับอเล็กซ์ไม่ค่อยนิยมเล่นกีฬาแนวนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปเล่นที่นั่นอีก ช่วงที่พวกเขายังเป็นนักเรียน ทั้งสองเลือกเข้าสมาคมศิลปะป้องกันตัว มวย ยิงปืน ว่ายน้ำ และเทนนิส ส่วนกอล์ฟซึ่งเป็นกีฬาที่คนส่วนใหญ่ในฟิวเจอร์ริสติกนิยมกลับเป็นกีฬาที่ทั้งสองเกลียด พวกเขาหลงใหลกีฬาแนวต่อสู้และใช้อาวุธ อันเนื่องมาจากอิทธิพลที่ได้รับมาจากเหล่าฮีโร่ในวัยเด็ก โดยเฉพาะเบนที่ชอบของพวกนี้มากเป็นพิเศษ เขายังมีงานอดิเรกสะสมอาวุธ ทั้งของโบราณและสมัยใหม่
สนามบาสของที่นี่ปูพื้นด้วยไม้เมเปิ้ลขัดเงาเป็นมันวาว ส่วนอัฒจันทร์ตั้งอยู่ด้านในและมีเพียงฝั่งเดียว คนหกคนกำลังรอพวกเขาอยู่ ทั้งหมดสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น หรือไม่ก็กางเกงยีน อเล็กซิสนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเทสซ่ากับเด็กหนุ่มผมสีแดง พอเทสซ่าเห็นหน้าเบน หญิงสาวหรี่ตามองเชิดคางขึ้น เบนนึกสนุกเลยขยิบตาพร้อมกับส่งยิ้มยียวนให้เธอ สาวคู่อริจึงทักทายตอบด้วยนิ้วกลาง
“เฮ้” อเล็กซิสโบกมือทักทาย เขาหันเหความสนใจไปที่เด็กสาวคนนี้ทันที เบนเกือบจะโบกมือกลับอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เห็นว่าสายตาของเธอมองเลยไปยังอเล็กซ์ แถมเพื่อนของเขายังโบกมือตอบอีกด้วย จากนั้นอเล็กซิสถึงหันมาทักทายเบนด้วยท่าทางประหม่า
“นี่นายรู้จักเด็กคนนั้นด้วยเหรอ” เบนไม่ลังเลที่จะถาม พลันทุกอย่างก็กระจ่างเหมือนมีไฟส่องสว่างในสมอง “อ้อ...นึกออกแล้ว นี่น่ะเหรอ เพื่อนใหม่คนนั้น”
อเล็กซ์พยักหน้า “ใช่”
“อ้อ ดีเนอะ” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำหน้าประหนึ่งรู้ทุกอย่าง “ไม่เห็นบอกเลยว่าเพื่อนใหม่เป็นเด็กผู้หญิง และคนนี้ด้วย...อืม แถมยังอุบอิบไม่บอกว่าน่ารักขนาดนี้”
อเล็กซ์เม้มปาก “อยากรู้จริง ๆ แฮะ ว่าสมองนายทำด้วยอะไร แล้วถ้าสงสัยว่าทำไมถึงไม่บอก ก็เพราะนายชอบเป็นแบบนี้ไงล่ะ คิดแต่เรื่องบ้า ๆ”
“ทำไงได้ ฉันเกิดมาจากความใคร่และความโลภ ไม่ใช่ความรักสักหน่อย” เบนดึงชายเสื้อ
อเล็กซ์ “เฮ้ ยังไม่พูดจบเลย ฟังนะ จำได้ไหม ฉันเคยบอกนายว่าเล็งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้ ฉันหมายถึงคนนี้นี่แหละ แม่แบมบี้น้อยของฉัน”“อ้อเหรอ คนนี้เหรอ” อเล็กซ์สั่นหัว ทำท่าเหมือนว่าเขาไม่ได้อยากรู้ เบนยิ่งเค้นสายตามอง อยากจะง้างเอาความจริงจากปากเพื่อนให้ได้ พอเห็นเพื่อนทำท่าอยากรู้ออกมามากขนาดนั้น อเล็กซ์เลยจับเขาล็อกคอ พาลากเดินตามหลังซาร่าห์ไปทั้งอย่างนั้น
“ฉันไม่หยุดแน่ ๆ ฉันต้องรู้ให้ได้!” เบนร้องทั้งที่ยังติดอยู่ในอ้อมแขนที่ล็อกคอตัวเองอยู่
“นายควรจะหยุดนะ” อเล็กซ์ว่า พลางล็อกแน่นขึ้นไปอีก
ซาร่าห์แนะนำเบนกับอเล็กซ์ให้คนในกลุ่มนั้นรู้จัก พวกเขาพอรู้จักกับเวดอยู่บ้าง เด็กหนุ่มคนนี้มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ส่วนอเล็กซิส เมื่อรอยแผลหายไปบวกกับหน้าตาสดใสกว่าวันก่อน ๆ เธอเหมือนดอกทานตะวันยามเช้าไม่มีผิด เจ้าหัวแดงที่นั่งข้างเธอบอกว่าตัวเองชื่อออสโล่ เจ้านี่ก็เป็นมิตร คงมีแค่เขากับเพื่อนสาวที่ดูยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ด้วยสีหน้าที่จริงใจกว่าคนอื่น ส่วนอีกสามคนนั้น พวกเบนพอจะคุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนแล้ว โนเอล เทสซ่า และมินนี่ โดยเฉพาะเด็กสาวที่ชื่อมินนี่ พอทำความรู้จักแบบเป็นทางการ จึงเห็นว่าเธอเหมือนกับเด็กอายุเจ็ดขวบในร่างสาววัยรุ่น
“เรามีเก้าคน จะแบ่งทีมยังไงล่ะ” เขาถาม
“ไม่เป็นไรหรอก ทีมไหนที่มีอเล็กซิสก็จะมีแค่สี่คน” หนุ่มหัวแดงแก้ปัญหาให้ ซึ่งฟังดูแล้วไม่ยุติธรรมสุด ๆ
“อ้าว ไม่แฟร์นี่ นายดูตัวโนเอลก่อนดิ” เด็กสาวชี้ไปยังชายหนุ่มอาวุโสที่สุดในกลุ่ม รูปร่างของโนเอลไม่ต่างจากเสาค้ำยันขนาดสองคนโอบ
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เล่น” มินนี่ว่าแล้วหลบไปนั่งตรงสแตนด์ แต่ท่าทางเหมือนกระโดดเหยง ๆ มากกว่า เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ทำให้สมองของเขาตีบตัน นึกไม่ออกว่าต้องทำอย่างไรถึงจะคุยกับเธอได้ ทั้งรูปลักษณ์หน้าตาที่แสนธรรมดาไม่ได้สวยเหมือนพี่สาว กลับบุคลิกที่แปลกประหลาดเกินบรรยาย แววตายังเลื่อนลอย บางครั้งเขาคิดว่าเขาเห็นออร่าสีดำอยู่รอบตัว
“มาเล่นเถอะมินนี่ เดี๋ยวก็หาจำนวนลงตัวได้เอง” ออสโล่ตะโกนเรียก “นั่นไง เราลองชวนเขาไหม” เขาชี้ไปยังเด็กหนุ่มผมสีเงินที่เพิ่งเข้ามาในสนามบาส เด็กหนุ่มเดินไปนั่งบนสแตนด์ที่อยู่ปลายสุด แล้วจ้องพวกเขา
“เฮ้ นายอยากเล่นกับพวกเราไหม” ออสโล่ตะโกนถามไป ไอ้หมอนั่นเหมือนทำท่าจะลุกขึ้นมาเล่นด้วย แต่แล้วก็ไม่ขยับ
“อย่าไปสนใจเลย หมอนี่เป็นงี้แหละ” เบนสรุป แต่หางตาเห็นสองสาวเทสซ่ากับอเล็กซิสทำหน้าเสียดาย พวกผู้หญิง
“มีใครในนี้รู้ชื่อเขาบ้างไหม เขาทำตัวลึกลับตลอดเลย แต่ให้ตายเถอะ น่ารักเป็นบ้า” เทสซ่าถามขึ้น ดวงตาสีเทาคู่สวยยังคงจ้องเด็กหนุ่มคนนั้นไม่วางตา
ซาร่าห์เคยชวนเด็กคนนั้นเข้ากลุ่มอยู่หลายครั้ง แต่เขาปฏิเสธด้วยการเดินหนีตลอด เท่าที่เบนสังเกต พวกผู้หญิงคงชอบคาแรกเตอร์แนวนี้ หล่อเย็นชา ทำตัวลึกลับ เสน่ห์ของหมอนั่นเหลือล้นจนพวกเธอลืมสังเกตว่าฟันหน้าของเขาใหญ่กว่าปกติ
“ไมเคิล” อเล็กซ์กับอเล็กซิสตอบพร้อมกัน
“ฮะ” เบนและซาร่าห์อุทานพร้อมกัน ทั้งสองหันไปมองเพื่อนตัวเองด้วยสายตาที่แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ไม่แปลกหรอกหากอเล็กซิสรู้จักเด็กคนนั้น แต่พวกเขาแปลกที่ใจอเล็กซ์รู้จักต่างหากเล่า เพราะว่าหมอนี่ควรเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องคนอื่น แถมยังเอาแต่เก็บตัวอยู่ในท้องฟ้าจำลองเป็นเวลานาน รวมถึง โดยปกติแล้ว อเล็กซ์ไม่มีนิสัยเจ๊าะแจ๊ะอยากรู้เรื่องชาวบ้าน
“นายนี่มัน...วันนี้ทำฉันแปลกใจสองรอบแล้วนะ”
“รู้ตอนตรวจสุขภาพไง” อเล็กซ์อธิบาย “เขาอยู่ลำดับถัดจากฉันเลยได้ยินตอนเรียกชื่อ”
“อเล็กซิสจ๊ะ แล้วเธอรู้จักเขาได้ไง” ซาร่าห์หันไปถามเด็กสาวด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“เรื่องมันยาว แต่ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ไว้ค่อยเล่านะ”
“เดี๋ยว ๆ ขอแทรกหน่อย” ออสโล่ขัดขึ้นมา “พวกเรามีอเล็กซ์ตั้งสองคนนะ”
“ทำไมล่ะ มันไม่ดีเหรอ” อเล็กซิสถาม เขาเพิ่งเห็นว่าเธอมีคิ้วที่ค่อนข้างหนา แต่ไม่รกรุงรัง
“มีปัญหาแน่ โดยเฉพาะตอนเล่น” เบนเห็นด้วยกับเด็กหนุ่ม “นายหัวไวดีนะ ดีแล้วที่พูดขึ้นมา” เขาเอ่ยชม “อเล็กซิสกับอเล็กซานเดอร์” เขาพึมพำ “ยาวไปแฮะ ไม่ชินปากเลย”
“บอกนามสกุลของนายมาสิ” เวดหาทางแก้ให้
แต่อเล็กซ์ไม่ชอบบอกนามสกุลให้ใครฟัง “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”
“เพราะนายมาใหม่ไงล่ะ” เวดอธิบายเหตุผล “และฉันก็คุ้นกับการเรียกเพื่อนตัวเองว่า
อเล็กซ์ด้วย”“เออน่า ไม่เป็นไรหรอก จะเรียกอะไรก็เรียกไป เราเริ่มเล่นกันสักทีได้ไหม” อเล็กซิสเร่งทุกคน ไม่สนใจเรื่องชื่อซ้ำสักนิด
“โวลคอฟ นามสกุลของเขาคือ โวลคอฟ” ซาร่าห์จบข้อถกเถียงทุกอย่าง “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิอเล็กซ์ ฉันเรียกนายเหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะฉันเรียกอเล็กซิสว่า อเล็กซิส ไม่ใช่อเล็กซ์ แต่สำหรับพวกเขา ถ้าเรียกนายว่าอเล็กซ์ คงงงกันหมดแน่ ๆ”
“แต่ว่า บางครั้งฉันเองก็เรียกอเล็กซิส บางครั้งก็เรียกอเล็กซ์” ออสโล่เสริม
“โอ๊ย หยุด ๆ สมองฉันมีแต่คำว่า อเล็กซ์ อเล็กซ์ อเล็กซ์ เต็มไปหมด เดี๋ยวได้เรียกทุกคนว่า
อเล็กซ์กันหมดเลยไหม” โนเอลขัดขึ้นมา “จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ เอาที่พวกนายชินไปเลย จบนะ เล่นเกมสักที”ทั้งหมดพยักหน้า เมื่อคนตัวใหญ่ที่สุดตัดบท
“เดี๋ยว ๆ นายคือโวลคอฟ พวกโวลคอฟ” ออสโล่ยังไม่จบ ชี้นิ้วไปที่เพื่อนของเบน “ฉันชอบรถบ้านนาย ไม่ใช่สิ หมายถึง สินค้าของบ้านนาย แต่บ้านฉันไม่ได้ใช้หรอก ถ้าฉันมีเงินฉันจะใช้รถของโวลคอฟแน่ ๆ”
“อ่า...ขอบใจ” อเล็กซ์ตอบเหมือนรักษาน้ำใจเท่านั้น
คนอื่น ๆ หันไปซุบซิบกันเรื่องธุรกิจของโวลคอฟรวมถึงสินค้าในเครือต่าง ๆ แหงสิ ทุกคนต้องรู้จักนามสกุลเจ้าของอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่กันอยู่แล้ว ใบหน้าซีดของอเล็กซ์เริ่มมีเลือดฝาด พอเขาเห็นว่าเบนมองก็ขมวดคิ้วถามอีก “อะไรอีกล่ะ”
“คุณโวลคอฟ”
อเล็กซ์กัดฟันกรอด ๆ
ไมเคิลไม่ตอบสนองคำขอร้องของเร็กกี้หากแต่พยายามรวบรวมสมาธิภายในเวลาอันจำกัด เขาเคยช่วยอเล็กซิสจากระเบิดมาแล้ว ทำไมครั้งนี้เขาจะช่วยตัวเองและเร็กกี้จากความร้อนไม่ได้ เด็กหนุ่มพยายามนึกถึงตอนที่ตัวเองสู้กับไซบอร์กตัวแรก ยามนั้นเขาอยู่กับอเล็กซิส และเมื่ออยู่กับแฝดสาว ดูเหมือนพลังและความคิดอ่านจะเพิ่มทวีคูณภาพของร่างของพ่อหายวับไปกลับเปลวเพลิงผุดขึ้นมาในหัว เขาจะปล่อยให้ตัวเองและแฝดอีกคนตายแบบพ่องั้นหรือ ชะตากรรมของแฝดทั้งสองจะเหมือนลูก้าใช่หรือไม่ใช้ประสบการณ์ในตอนนั้น ไมเคิล คิด! เขาต้องออกไปให้ได้ และต้องช่วยให้เร็กกี้มีชีวิตอยู่ต่อ ทักษะของชายคนนี้จำเป็นต่อการอพยพ พ่อแม่ ปาสคาล ได้โปรดเถอะ ชี้ทางสว่างที เขาไม่รู้จักพระเจ้า ไม่เคยเชื่อว่าใครอยู่เบื้องบนหรือจะมีจริงหรือไม่ หรือตอนนี้เขาเป็นเพียงฝุ่นในจักรวาล แต่ในเมื่อฝุ่นตัวนี้มีชีวิตจิตใจและมีคนที่ต้องปกป้อง เขาอยากจะเชื่อว่าสิ่งลี้ลับบางอย่างจะประทานทางออกมาให้“ฆ่าฉัน!” เร็กกี้ตะโกนอีกครั้ง แก้มแดงขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกดูเหมือนเลือดฝาดหน่อย ๆ แต่เมื่อผ่านไปสักพักผิวกลับแดง
เขาคิดว่าตัวเองจะโดนกระแทกตาย แต่หลังกับกระแทกกับโครงอ่อนหนุ่ม...ไม่ถึงกับนุ่มมากนักแต่ไม่ได้ทำให้หลังเขาหัก อย่างน้อยมันก็ยืดหยุ่น ไมเคิลคลำมือลงบนสิ่งที่ว่า มันเหมือนกิ่งไม้สานต่อกันเป็นรัง เขาหันไปรอบ ๆ เจอเร็กกี้ติดแหงกอยู่ด้านบน ถ้าไม่ใช่เพราะมีไอ้นี่กันไว้ ลำตัวเขาคงกระแทกกับกำแพงหรือไม่ก็เพดาน ทว่าดูจากสภาพแล้วก็ยังมีบางส่วนบาดเจ็บแรงดูดยังคงอยู่ พวกเขาได้แต่นอนนิ่ง ๆ เหมือนหนูติดอยู่ในกับดักกาวเพียงแต่กาวเป็นรากไม้ เนื้อแก้ม ใบหู เส้นผมเหมือนถูกดึงอยู่ตลอดเวลา จนผ่านไปสักพัก ประตูทางเข้าปิดลง ร่างคนทั้งสองตกลงบนพื้น“นายเป็นไง” เขาถาม ขณะยืนขึ้น เร็กกี้ครวญออกมาคำนึงแล้วตอบมา“แขนหัก” สีหน้าชายหนุ่มเหยเก แขนข้างขวาห้อยกับลำตัว ใบหน้าและริมฝีปากซีด “ขอบใจฉันทีหลังได้”ไมเคิลมองไปข้างหน้า ประตูปิดสนิท เขาเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่ราง ๆ เมื่อแรงดูดหายไป ข้างนอกเริ่มสู้ใหม่ ไมเคิลวิ่งไปจับประตู มันปิดสนิท พยายามผลักและเขย่าเท่าไรก็ไม่เป็นผล“กับดักอะไรของมัน นี่ใช่ไหม กับดักที่มันว่า เขาถามชายหนุ่ม
ร่างของเขาหล่นกระแทกบนพื้น แขนสะเทือนไปถึงหัวไหล่ แม้จะอยู่ภายใต้ชุดเกราะแต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิง เรี่ยวแรงที่สะท้อนกลับมานั้นยิ่งกว่าหุ่นยนต์พิฆาตทั้งสองรุ่นเลยทีเดียว ขณะที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมาใหม่ก็ได้ยินเสียงปะทะ คนที่เหลือคงซ้ำต่อ แต่เมื่อเขาเงยหน้าได้ก็เห็นว่าชายหนุ่มทั้งหมดนอนกระจายร้องโอยกันหมดมิน่ามันถึงเฝ้าประตูแค่ตัวเดียว เวลานี้ไมเคิลนึกกลับคำในใจ หรือว่ากับดักนั้นง่ายกว่า หรือว่านี่คือกับดัก และแล้วเขาก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้าของเร็กกี้ ไซบอร์กจะถูกปล่อยออกมาตามรอบเวลา แล้วพวกข้างล่างเล่า มันพอดีกับที่เจ้าตัวนี้โผล่มาหรือไม่เสียงหัวเราะของเด็กสาวดังขึ้นอีกครั้ง มันเดินมองไปทีละร่างเหมือนกำลังเล่นสนุก ยังไม่คิดจะเอาชีวิตใครสักคนในตอนนี้ ดวงตาบนหน้านั้นเหลือบไปมา ลักษณะท่าทางมีชีวิตแต่ก็ไม่มีชีวิต ดูซุกซนแต่ก็เย็นชา เขาไม่แน่ใจว่าเธออายุเท่าไร แต่น่าจะเด็กกว่าไมเคิล ทางการทำอะไรกับเหล่าไซบอร์ก เขารู้ว่าคนพวกนี้เคยเป็นมนุษย์ปกติ แต่ดูตรงหน้าสิ...เธอยังเด็กแต่กลับสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วหรือ“เธอพูดได้ไหม” เขาเอ่ยถามออกไปมันหยุดชะงักแ
ยิ่งได้กอด เขายิ่งรู้สึกว่าอเล็กซิสผอมลงมากจนน่ากลัว ยังดีที่ไออุ่นของเธอไม่เคยเปลี่ยนแปลง มันอบอุ่นเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ ไม่ร้อนบ่มผิว เหมือนมีสายลมเย็นสบายพัดผ่านและทำให้เขาหวนนึกถึงแม่ตลอด การกอดครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อฟื้นฟูพลังงานในกาย แต่เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง มันอาจเป็นการจากกันครั้งสุดท้ายหรือเริ่มต้นชีวิตใหม่อเล็กซิสไม่ห้ามให้เขาขึ้นไป เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าพวกเขาทำไม่สำเร็จ เธอก็จะตามไปหาเขาด้วย นาฬิกาชีวิตของทุกคนเหลือไม่ถึงสองชั่วโมงและมันก็ลดลงเรื่อย ๆ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ ทุกคนก็ตาย เหตุและผลง่าย ๆ แต่พวกเขาจะยึดความหวังไว้จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย“จำไว้นะ หากฉันขึ้นไปได้ นายก็ต้องอยู่” ดวงตาสีน้ำเงินดูดุดันขึ้นยามเธอจริงจัง“อื้อ” เขาพยักหน้า “เราจะไม่จากกันอีก”“ไม่” เธอส่ายหน้า มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นน้อย ๆ “รักษาตัวนะ...น้องชาย”เขายิ้ม เธอพยายามจะเป็นพี่จนเขายอม เด็กหนุ่มหันไปสบตากับชายหนุ่มผมสีดำ ดวงตาสีเข้มคล้ายเม็ดนิลสบกลับมาเหมือนต้องการจะให้ความมั่นใจผ่านเพียงสายตา ไมเค
มือและเท้าเย็นเยียบขึ้นมา แต่บลูพยายามปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ ยิ่งเห็นทุกคนในห้องนี้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดแต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนกก็ยิ่งสะกดกลั้นไว้ข้างใน แม้ภายในใจไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกไหนก่อนระหว่างกลัวตายกับสูญเสีย“พวกนั้นว่าไง แล้วเจ้าคนที่คุมหุ่นยนต์ได้ล่ะ”เมลิสซ่าส่ายหน้า “เด็กคนนั้นใช้พลังไม่ได้ แต่พวกเขาดูจะจัดการกับของพวกนี้ได้บ้าง” เธอหลิ่วตาไปทางอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่รายล้อม “โคดี้พยายามจะปลดล็อกระเบิด ส่วนเรมีกำลังรวบรวมข้อมูลกับดักในตึกนี้ทั้งหมด แล้วก็เร็กกี้...” หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก “เขาเคยทำงานในศูนย์วิศกรรมการบินและอวกาศของฟิวเจอร์ริสติกเลยพอจับจุดอะไรได้บ้าง ที่ฉันทำได้คือหาอะไรก็ได้ที่จะพอให้พวกมีมันสมองคิดออก เพราะคนอย่างฉัน แค่เปิดเครื่องยังงง”“ยาน?” ริงโก้ไม่แน่ใจนัก “เราจะหนีด้วยยานเหรอ”“อื้อ” เมลิสซ่าพยักหน้า “มันเป็นวิธีเดียวนี่”“แล้วคนอื่นล่ะ” เดสซิเรถามขึ้น “ยังมีคนกระจายอยู่ทุกเขต ซ่อนตัว หาท
เทสซ่านิ่งงันไปพักหนึ่งก่อนสมองจะทำงานใหม่ เธอกลืนน้ำลายแล้วถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น พวกนั้นจะระเบิดตึกนี้...หรือทอยซิตี้?”แม้เป็นคนพูดเอง แต่เมื่อมันออกจากปากไปแล้ว เลือดในกายกลับเย็นวาบลงจนขนลุกไปหมด อเล็กซิสหน้าซีดลง สีหน้าแสดงออกว่ากำลังใช้สมองวิเคราะห์หนัก“เราต้องบอกลู” เทสซ่าสรุป ถ้าจะนับคนที่มีมันสมองดีเลิศ นอกจากเรมี อเล็กซิส และโคดี้แล้ว เธอนึกถึงลู หญิงสาวค่อนข้างเจ้าแผนการและมีประสบการณ์มากกว่า น่าจะเข้าใจตัวเลขนี้ได้ดีกว่า“บางที...” เรมีรุดเข้าไปที่โต๊ะแสตนเนอร์ อเล็กซิสเบี่ยงตัวเดินออกมาให้เขาจัดการ หน้าจอปรากฏข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย เทสซ่าสบตากับรีเวอร์ แววตาของเขาเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังไม่ถึงกับยอมแพ้3:24:34เทสซ่าจ้องมันราวกับว่าเธอจะมีพลังจิตสะกดให้หยุดได้...พลังจิต “โคดี้!” นึกได้แล้วก็หุนหันวิ่งออกไปแม้จะหลับสนิทไปไม่กี่ชั่วโมง แต่โคดี้ใช้พลังหนักหน่วงมากระหว่างอยู่นอร์ธ เลือดกำเดาออกถึงสองครั้ง และเมื่อครู่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ในห้อง มีเพียง