ログインเสียงฝ่ามือกระแทกลงบนโต๊ะไม้ ดังสนั่นจนหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ทั้งที่พยายามควบคุมสีหน้าเต็มที่
“อวดดี! แกมันไม่ยืดหยุ่นเหมือนพี่ชายแกเลย หึ เพราะแบบนี้ไง ถึงได้ลากบริษัทลงเหว!” เสียงแหบห้าวของชายวัยห้าสิบต้น ๆ ดังลั่น ใบหน้าคร้ามแดดแดงก่ำจากความโกรธจัด ดวงตาทิ่มแทงด้วยคำปรามาสและดูถูก พนิดาไม่ตอบ เธอนั่งนิ่งอยู่หัวโต๊ะอีกฝั่ง ฝ่ามือข้างหนึ่งกำหมัดไว้ใต้โต๊ะแน่นจนเล็บจิกผิว “ใจเย็นก่อนท่าน ตอนนี้เด็กมันยังไม่รู้ความ ผมจะจัดการให้เอง” อีกคนช่วยประสานเสียงราวกับสุนัขรับใช้จงรักภักดี แล้วอีกเสียงหนึ่งก็เสริมมาแบบมีเลศนัย จนเธอต้องเงยหน้ามอง “อย่ารีบร้อนสิ ข้อเสนอนี้ดีมาก จะหวงเนื้อหวงตัวไปทำไม คิดให้มันดี ๆ หน่อย” พนิดาเบือนหน้าหนี รู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวกำลังจะแข็งเป็นน้ำแข็ง ข้อเสนอที่ชายแก่สองคนนำเสนอมาเมื่อห้านาทีก่อน ทำเอาหัวใจเธอเต้นกระหน่ำด้วยความสับสนและขยะแขยง ‘ขายตัวเพื่อแลกกับการต่อชีวิตบริษัทงั้นเหรอ?’ “…คิดดีแล้วค่ะ ฉันไม่เปลี่ยนคำพูด” เธอเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงนิ่งแน่นกว่าที่คิด ถึงอยากจะลุกเดินหนีแทบขาดใจ แต่เธอก็ยังรอ...เผื่อว่าพวกเขาจะเสนออะไรที่ ‘มีศักดิ์ศรี’ กว่านี้ แต่เปล่าเลยคนพวกนี้ไม่มีแม้แต่ความละอาย “ดี ดีมาก...” ชายวัยห้าสิบลุกขึ้นยืน ก่อนจะยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ “ฉันจะคอยดูวันที่แกล้มละลาย แกคิดว่า...นอกจากฉันแล้ว ใครจะยื่นมือมาช่วยแกอีก?” ประโยคนั้นราวกับหอกแหลมพุ่งเสียบกลางอก แต่เธอยังคงไม่ตอบ ไม่นาน ทั้งสองก็เดินออกจากห้องไป โดยทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายของความต่ำช้า และเศษซากศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบย่ำ พนิดาทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ค่อย ๆ ยกมือขึ้นกุมขมับ มองเอกสารแผนกู้วิกฤตที่เธอเตรียมมาตลอดทั้งสัปดาห์อย่างหมดอาลัย แม้จะรู้ล่วงหน้าแล้วว่านั่นไม่มีค่ากับคนที่คิดจะ “ซื้อร่างเธอ” มากกว่า “ลงทุนกับมันสมอง” เธอถอนหายใจยาวเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาร้อนผ่าว “ทำไมถึงเอาแต่คนเลว ๆ มาให้ฉัน...” เสียงพร่าดังขึ้นในความเงียบ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเสนอเรื่องแบบนี้...และนับดู มันคือครั้งที่สามแล้ว หญิงสาวที่สังคมเคยยกย่องว่าเข้มแข็ง กลับรู้สึกหมดไฟ และเหนื่อยหน่ายกับการเป็น “คนดีที่ไม่มีใครช่วย” แล้วทันใดนั้น... “ขอนั่งด้วยคนนะครับ” เสียงทุ้มต่ำเรียบนิ่ง แทรกผ่านความเงียบเข้ามา พนิดาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มในสูทสีเข้มนั่งลงฝั่งตรงข้าม ราวกับเจ้าของห้องแท้จริงคือเขา ใบหน้าเรียบเฉยแต่ทรงอำนาจ แววตาคมลึกจ้องมาอย่างเข้าใจ และน่าประหลาดที่ในแววนั้น...ทำให้เธอสนใจ พนิดานั่งตัวตรงทันที สัญชาตญาณเตือนให้เธอระวังตัว เขาดูคุ้นมาก “เชิญค่ะ...มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?” เธอถามเสียงแข็ง มือทั้งสองประสานไว้บนโต๊ะอย่างสง่างาม มีรอยยิ้มจาง ๆ ตรงมุมปากเหมือนจะไม่แคร์อะไร แต่ในใจ...ปั่นป่วนจนควบคุมแทบไม่อยู่ พนิดาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าเชิญโดยไม่คิดอะไรมาก เขาคือนักลงทุนตัวเล็ก ๆ ที่เคยเข้าร่วมงานครั้งก่อน แต่ก็กล้ามากที่มานั่งตรงหน้าเธอแบบนี้ เพราะเขามีเงินแค่นิดเดียว...แต่นั่นก็ยังมากพอที่จะไม่ปฏิเสธเขาในยามนี้ “เชิญค่ะ” เขานั่งลง พลางหยิบเมนูขึ้นมาดูอย่างไม่รีบร้อน ก่อนสั่งอาหารชุดเต็มรูปแบบราวกับมากินเลี้ยง ไม่ใช่เจรจาธุรกิจ พนิดาเพียงนั่งนิ่ง จิบไวน์ต่ออย่างสุภาพ ทว่าในใจเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และความขมขื่น แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาของเขา—จ้องเธอเงียบ ๆ ตลอดเวลาที่กินอย่างเอร็ดอร่อย เพราะเธอสวยจนอดไม่ได้ที่จะไม่มอง ถ้าเทียบกับรุ่นน้องของเขา เธอสวยกว่ามากเลย แต่รุ่นน้องของเขาก็มีดีหลายอย่าง “คุณจ้องหน้าฉันมาห้านาทีแล้ว” เธอพูดเสียงเรียบ เอสยิ้ม ไม่สะทกสะท้าน “ขอโทษครับ ผมแค่...แปลกใจที่ผู้หญิงสวยอย่างคุณยังต้องมานั่งกลืนความเสียใจคนเดียวแบบนี้” คำพูดที่ควรจะปลอบ กลับทำให้เธอขุ่นเคืองเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ตอบ ผู้ช่วยของเธอก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าตึงเครียด “คุณพนิดาคะ...ตอนนี้ยอดการระดมทุนรวมได้แค่ 9.8% ค่ะ” มือที่ถือแก้วของเธอชะงักไปเล็กน้อย 9.8%... ต่ำเกินกว่าจะไปต่อ เธอหลับตา สูดลมหายใจลึก ทั้งที่ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ แต่หัวใจมันสั่นไหวไปหมด “เสียใจที่ไม่ยอมแลก...ใช่ไหมครับ” เสียงของเขาดังขึ้นอีกครั้ง พนิดาหันมามองทันที สีหน้าเย็นชา “คุณกำลังล้อฉันเหรอ?” “เปล่าเลย ผมกำลังบอกว่า...ถ้าคุณอยากได้เงิน ผมมีให้” เธอหัวเราะในลำคอ ราวกับได้ยินเรื่องตลกในวันที่ไม่ตลกที่สุด “คุณมีเงินแค่ล้านเดียว และบริษัทฉันต้องการเกือบแสนล้าน คุณจะช่วยอะไรได้?” ยังไม่ทันได้ตอบ ผู้ช่วยของเธอที่ทนฟังคำพูดโอ้อวดไม่ได้ หญิงสาวหน้าคม ท่าทางฉลาดเฉียบก็แทรกขึ้น “เราเช็กข้อมูลคุณเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณเป็นนักลงทุนรายย่อย คนละระดับกับนักลงทุนที่เราเล็งไว้เลยด้วยซ้ำ” เอสยิ้มบาง ๆ ก่อนเอนตัวพิงเก้าอี้อย่างสบาย “แล้วถ้าผมบอกว่า ผม ‘มี’ จริง ๆ ล่ะ?” พนิดาขมวดคิ้วทันที ถ้าเขามีเงินตามที่เธอต้องการ อย่าว่าแต่ร่างกายเธอเลย เอาหัวใจเธอไปด้วยก็ได้ หญิงสาวหัวเราะออกมา ราวกับว่าเป็นเรื่องตลก “ฉันไม่ถือสานาย แต่อย่าไปพูดมั่วแบบนี้อีกนะ” เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมจะเดินออกไป “เรามาเล่นเกมกัน คุณอยากได้เงินเท่าไหร่ ขอแค่พูดตัวเลขออกมา...ถ้าผมให้ได้ คุณต้องยอมเป็น ‘เด็กของผม’ ” คำพูดนั้น ทำเอาเธอถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะ “เกมเหรอ? ได้สิ ถ้านี่คือสิ่งสุดท้ายที่ฉันจะเล่นได้ก่อนล้มละลาย” “ลงทุนกับบริษัทของฉันเก้าหมื่นล้าน แล้วฉันจะเป็นของคุณ” เธอมองท่าทางที่สบายใจของเขา แม้จะถูกต้อนให้จนมุมยังไม่โป๊ะแตกอีก นับถือในการแสดงของเขาจริง ๆ เอาลุกขึ้นยืนก่อนจะยิ้มอย่างผู้ชนะ เขาก็แค่พูดเล่น ๆ อยากเล่นสนุกด้วย ยังไงก็จะลงทุนอยู่แล้ว ไม่คิดว่าจะได้ของแถมมาด้วย “ยิ้มอะไร...?” “เราไปทำสัญญากันเถอะ”"อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากช่วยเหลือประเทศ หรือเห็นแค่กำไรเหมือนบางคนพูด เพราะมีแค่ทางนี้ที่พอเป็นไปได้"เอสพูดน้ำเสียงหนักแน่น ตรงไปตรงมาที่สุด พร้อมกับหันมาส่งสายตามองยาหยีเธอกำลังจะตอบกลับ แต่ถูกบิดาห้ามเอาไว้ก่อน คราวนี้เธอยอมเชื่อฟัง แล้วส่งสายตาไม่พอใจใส่เอส'ก็แค่พวกเห็นแก่ตัว จะหวังดีอะไร'เอสนั่งรอคำตอบจากทั้งสองคนที่กำลังปรึกษากัน แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่ง่าย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้เขากู้เงินไปทำการวิจัย แต่เพราะระบบห้ามณัทพงศ์ครุ่นคิดเงียบ ๆ เขาจะสามารถไว้ใจคนอื่นได้เหรอ เพราะแม้แต่ในหน่วยงานรัฐยังมีคนของพวกนั้นแฝงตัวอยู่ ถ้าหากสิ่งที่กำลังจะผลิตหลุดออกไป พวกนั้นคงรู้ตัว และลงมือจัดการเสียก่อน'จะทำไงดี...ไม่มีทางอื่นอีกเหรอ'"เอาเป็นว่าเรื่องนี้ฉันคงต้องปรึกษากันก่อน แล้วจึงให้คำตอบนะ"เข้าดูลังเลจริง ๆ เพราะยังไม่ไว้ใจเอส จึงอยากขอเวลาคิดอีกหน่อย"ได้ครับ...ผมยินดีช่วย""ขอบคุณมาก มีคนแบบนะเธอประเทศชาติคงพัฒนาไปอีกระดับแน่"เอสยิ้มตอบก่อนจะขอตัวกลับ พร้อมอเล็กซ์ที่เดินออกมา ทว่าก่อนจะออกจากบ้าน ทั้งสองต้องหยุดเท้าที่จะเดินไปข้างหน้า เพราะสาวสวยเดินมาขวา
ทหารติดอาวุธพอเห็นหน้าทั้งสองก็เหมือนจะรู้จักอเล็กซ์ พวกเขาไม่ได้ห้าม พร้อมกับเปิดประตูให้ทั้งสองเข้าไปข้างใน ก่อนจะปิดประตูไว้เหมือนเดิมเอสมองรอบห้องโถงขนาดใหญ่ ราวกับพระราชวัง ทุกซอกทุกมุมตกแต่งด้วยของเก่า ทำให้ได้กลิ่นบรรยากาศของยุคนั้น เอสสะดุดกับชุดโซฟาตรงกลางชุดโซฟาดูไม่ธรรมดา มีลวดลาย และดีไซน์สวยงาม เข้ากับการตกแต่งห้อง และคนสองคนที่นั่งอยู่ ทำให้เอสประหม่าเล็กน้อย"มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ" ชายวัยหกสิบกว่า รูปร่างกำยำเอ่ยปากเชิญ"สวัสดีครับ"ทั้งสองคนกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม ก่อนจะนั่งลงช้า ๆ ด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะเอส ที่เพิ่งเคยเจอคนใหญ่คนโตของประเทศ ทำให้รู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รนรานมาก"นี่คือ...คนที่พูดถึงเหรอ"ชายคนนั้นถามขึ้น พร้อมกับสายตาที่มองสำรวจเอส เขาดูตกใจไม่น้อย หลังจากสืบข้อมูลของเขา จากคนที่ล้มเหลวที่สุด กลายเป็นคนที่รวยเทียบเท่ามหาเศรษฐี ในเวลาไม่ถึงเดือน ทำให้นายทหารทึ่งในตัวเขามาก'เบื้องหลังของคุณคืออะไรกันนะ คนที่ฉันไม่สามารถตรวจสอบได้เลยเหรอ'ประธานใหญ่ BKAS หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะแนะนำตัวให้ทั้งสองคนรู้จัก คนที่ถามก่อนหน้า คือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ในระหว่างที่งานเลี้ยงกำลังดำเนินไป อย่างครื้นเครงแม้ว่าบริษัทซัพพลายเออร์หลายแห่งจะทยอยกลับ แต่ก็ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังอยู่ แต่น้อยจนนับนิ้วได้ทำให้สีหน้าของวิโรจน์ไม่ค่อยพอใจ เพราะแบบนี้บริษัทจะไปรอดยังไง แต่ในสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว นอกจากเตรียมตัวปรับโครงสร้าง และ ประธานใหญ่ไม่ใช่เขา แต่คือตัวแทนบริษัท BBOSSพนิดาเดินมานั่งพัก หลังจากทักทาย และสานสัมพันธ์กับแขกในงาน เธอดื่มไปเยอะจนแก้มแดงทั้งสองข้าง"หึ...แกคงพอใจสินะ บริษัทกำลังจะจมลงเหวแบบนี้ พวกแกจะทำให้บริษัทพังไม่เป็นท่า"อนันต์นั่งอยู่ข้างวิโรจน์ ที่ยังนั่งอยู่ กับหลานชาย และคนอื่นที่ยอมรับความจริงไม่ได้ พวกเขาไม่อยากกลับไป เพราะไม่สามารถข่มตาหลับลงได้"ทำไมคุณลุงพูดแบบนั้นละคะ การปรับโครงสร้างเป็นวิธีบริหารแบบสากล มีความโปร่งใส และ ทำให้บริษัทก้าวหน้ากว่าเดิม นี่ถึงจะเป็นประโยชน์ของบริษัท"'ทำไมยังไม่เข้าใจ หรือไม่อยากเสียผลประโยชน์ที่เคยได้ มากกว่าเงินปันผลเหรอ'พนิดาตอบกลับ พร้อมสีหน้าสงสัยในตัวของลุง เธอไม่เคยเห็นเขาคิดเพื่อบริษัทสักครั้ง คิดแต่จะทำยังไงให้ได้เงินเข้ากระเป๋ามากขึ้นพอเธอพูดแบบนั้นยิ่งท
"เรื่องนี้พิสูจน์ง่ายมาก ใช่ไหม" เอสหันไปพูดกับอเล็กซ์"หมายความว่าไง ก็เห็นชัดว่าแกทำธุรกิจสีเทา หรือไม่ก็แกล้งรวยยังไง" มังกรอดไม่ได้รีบตอบเอสยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบบัตรธนาคารสีดำด้านขึ้นมา เขาวางไว้บนโต๊ะ และดึงดูดความสนใจไม่น้อย พวกเขาอยู่ในวงการธุรกิจมานาน ย่อมรู้ดีว่าบัตรธนาคารที่ใช้ หมายถึงอำนาจทางการเงินของคนนั้น"เอาบัตรธนาคารกระจอกมาทำไม หรือจะบอกว่าแกรวยเพราะมีมันเหรอ" มังกรพูดเสียงดังในขณะที่คนอื่นเงียบกริบ แม้แต่ภัทรกับวิโรจน์ยังไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร"หุบปากก่อนไอ้ลูกเวร นั่งลง" อนันต์ตวาดด่าลูกชายที่โง่จนมองไม่ออกประธานใหญ่คนอื่น ๆ ต่างจับจ้องที่บัตรธนาคารของเอส แค่เห็นชื่อของธนาคารพวกเขาก็เหงื่อตก รู้โล่งที่ไม่ทำอะไรมากไปกว่านี้แต่พอมองดูวิโรจน์ที่ปากดีตั้งแต่ต้น ดูถูกเขาทุกอย่าง ก็ทำให้พวกนั้นยิ้มเยาะ คราวนี้บริษัท F&M คงได้เปลี่ยนมือแล้วละ"คุณอเล็กซ์...เกิดอะไรขึ้นทำไมถึง..." ภัทรพูดติดขัด รู้สึกงุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น"อ่อ...เขาเป็นลูกค้าวีวีไอพีของเรานะครับ คงสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขารวยจริง"ทุกคนอ้าปากค้างกับคำว่าวีวีไอพี ลูกค้าที่มีเงินในบัญชีแสนล้านขึ้นไปวิโรจ
"ได้...เรามาเริ่มกันดีกว่า พวกคุณบอกว่าผมไม่รวยจริง และ ไม่ได้เป็นตัวแทนของบริษัท BBOSS คุณทุกคนก็พิสูจน์ได้เลย" เอสพูดยืดยาว"แน่นอน พวกเรามีเบอร์ติดต่อของบริษัท BBOSS แค่โทรไปก็รู้แล้ว" ภัทรหยิบมือถือขึ้นมา"คราวนี้แกจะแก้ตัวยังไง ก็หนีไม่รอดหรอก" อนันต์กัดฟันพูด พร้อมกำหมัดขว่าแน่น"เตรียมตัวได้เลย รปภ รีบไปคุมตัวเขาไว้ก่อน เดี๋ยวพอถึงเวลาแล้วจะหนีไปได้" มังกรยิ้มมุมปาก แววตาแฝงไปด้วยแผนการพนิดานั่งฟังอย่างใจเย็น แต่ถึงขั้นนี้เธอคิดว่าเกินไป"หยุดนะ...เขายังไม่ผิดพวกคุณไม่มีสิทธิ์ทำอะไร"รปภ ร่างกำยำสามคนหยุดนิ่ง เพราะไม่กล้าขัดคำสั่ง ตอนนี้จึงรอให้ผู้มีอำนาจตัดสินกันเองค่อยลงมือตาม"เธอกล้าดียังไง คิดว่าตัวเองเป็นใครเหรอ หลังจบเรื่องนี้เธอต้องถูกทำโทษแน่ ใช่ไหมครับคุณภัทร"อนันต์ตะคอกใส่ ไม่ไว้หน้าประธานเลยสักนิด ก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มให้ภัทร เพราะรู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรกับ หลานสาวตน"ฉันจะจัดการเธอทีหลัง ตอนนี้จับตัวมันไว้ได้แล้ว"รปภ รับคำสังจึงเดินเข้าไปหาเอส แต่พวกเขาก็ต้องหยุดทันทีที่ได้ยินเสียงของอเล็กซ์"พวกคุณไม่ให้เกียรติผมเลยนะครับ อยู่ต่อหน้าผมยังทำตัวแบบนี้ได้เหรอ" เขาพู
"คุณอเล็กซ์ครับ ผมขอยืมเงินคุณได้ไหม พอดีอยากเอาไปพนันเล่นนิดหน่อย" เอสหันไปพูดกับอเล็กซ์อเล็กซ์อดขำในใจ คนที่มีเงินเยอะกว่าเขาเนี่ยนะ จะมาขอยืมเงิน แต่ถึงยังไงก็ต้องเล่นไปตามน้ำ เรื่องสนุกต่อจากนี้ต่างหาก"ได้สิ ผมจะรับประกันเอง อยากรู้ว่าเขาจะจัดการยังไง ถ้าความจริงถูกเปิดเผย""ขอบคุณ...ได้ยินแล้วใช่ไหม"ทั้งสามคนยิ้มเยาะก่อนจะกันมาหาอเล็กซ์ พวกเขาไม่คิดว่าเอาจะถูกช่วยไว้ เพราะภัทรอยากให้เอาเดิมพันชีวิต เขาจะได้ทรมานให้สาสมที่กล้ามาขวางทาง"เอ่อ...ผมว่าไม่ต้องถึงมือคุณอเล็กซ์ก็ได้ครับ เอาอย่างนี้เดิมพันชีวิตของนาย" มังกรหันไปพูดกับเอสในตอนท้าย"ใช่แล้ว ถึงแพ้เขาก็ไม่มีปัญญาจ่าย ให้เขาใช้ชีวิตตัวเองแทนดีกว่า""ได้...ใครกลัว"ทุกอย่างเข้าแผนของพวกเขา ตอนนี้มีอเล็กซ์เป็นพยาน ไม่ว่ายังไงพวกเขาคงคิดว่าชนะร้อยเปอร์เซ็นต์เอสนั่งเผชิญหน้ากับทั้งสามคน โดยมีคนอื่น ๆ ที่มีหน้ามีตาในวงการธุรกิจ นั่งเป็นพยานด้วย อย่างเช่น อเล็กซ์ กับประธานใหญ่บริษัทอื่นจากการสังเกตพวกเขา มานานเอาจึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ทั้งหมดเป็นเพราะนิสัย และ สันดานเดิมคล้ายกัน ไม่ว่าใครก็เลวพอกัน ต







