หญิงสาวใช้เวลาจัดการตัวเองอยู่ในห้องน้ำไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เปิดประตูห้องนอนออกมา หวังในใจไว้ว่าคงจะเห็นร่างสูงสง่าของเจ้าของห้องนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ทว่ากลับไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว
ในท้องวูบโหวงพร้อมกับส่งเสียงโครกครากทำเอาหญิงสาวต้องเอามือลูบท้องเบาๆ สายตาก็พยายามสอดส่ายมองหา เผื่อว่าชายหนุ่มอาจจะอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่งของเพนต์เฮาส์ห้องนี้ จนกระทั่งกลิ่นอาหารลอยมากระทบจมูก เธอจึงเพิ่งรู้ว่าตนเดินมาถึงบริเวณที่เป็นห้องครัวแล้ว
“โอ้โห...”
ต้องรักห่อปากตาโตเมื่อเห็นอาหารหลายอย่างวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นกระดาษแผ่นเล็กติดอยู่ที่ตู้เย็น
สั่งอาหารมาไว้ให้แล้ว กินก่อนได้เลยไม่ต้องรอ
จะกลับมาคุยด้วยตอนบ่ายสอง
ชนาธิป
“ลายมือสวยจัง”
เธอดึงกระดาษแผ่นนั้นมาดูใกล้ๆ อ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้นพร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง ใบหน้าค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นเมื่อนึกถึงสัมผัสนุ่มละมุนที่ริมฝีปากก่อนนอนของคืนที่ผ่านมา จนเผลอยกมือขึ้นแตะตรงบริเวณที่ได้สัมผัสกับปากของเขา
อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเธอไม่รู้จักปัดป้อง ไม่ว่าจะถูกเขาจับมือถือแขน โอบอุ้ม หรือแม้กระทั่งปากแตะกันเพียงนิดอย่างเมื่อคืน แต่แล้วเธอก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่าคงเพราะเขาสุภาพ ไม่จาบจ้วงหยาบคายกระมัง ถึงทำให้เธอโอนอ่อนไปกับเขาได้ขนาดนี้ หรือเพราะใจลึกๆ แล้วเธอต้องการไออุ่นจากเขาเช่นกัน
ต้องรักพับกระดาษใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อคืน แม้เขาจะบอกว่าใส่เสื้อผ้าของเขาได้ แต่...ใครจะกล้า...เธอคงไม่อาจเอื้อมไปถือวิสาสะใส่เสื้อของเขาเดินไปมาอยู่ในบ้านเขาได้หรอก
หญิงสาวนั่งลงกินอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้โดยที่ไม่ยอมอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง เพราะไม่กล้าแตะเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวของเขา ทว่ากินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะอาหารไม่อร่อย แต่เพราะอาหารตรงหน้ามีแต่ของดีๆ และราคาก็คงแพงเอาการ เห็นแล้วก็อดคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่เงินเดือนออก เธอมักจะพามารดาออกไปหาของอร่อยในห้างสรรพสินค้าด้วยกันเสมอ
หยาดน้ำเริ่มรื้นขึ้นคลอหน่วยตาจนกระทั่งไหลลงมาอาบแก้ม ต้องรักใช้หลังมือเช็ดมันลวกๆ ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาเทดื่ม และทำท่าจะหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมถ้าไม่เพราะเสียงทุ้มๆ เรียบๆ ของใครบางคนดังขึ้น
“ทำไมกินน้อยนักล่ะ ไม่ถูกปากหรือ”
ร่างสูงของชนาธิปเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว ในขณะที่ต้องรักอ้าปากค้าง รู้สึกตกใจกับการปรากฏตัวของเขาที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง
หายตัวมาหรือไงกันนะ ทำไมถึงเดินไม่มีเสียงเลย!
“เธอเอาแต่เหม่อ ฉันมายืนอยู่ตั้งนานแล้วเธอไม่รู้ตัวเอง”
เขาพูดราวกับล่วงรู้เข้าไปในหัวของเธอว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หญิงสาวยิ้มแหยให้เขา เห็นอาหารตรงหน้ายังมีอยู่อีกเยอะเพราะเธอแทบจะไม่แตะต้องมัน จึงลองถามเขาอย่างใส่ใจ
“คุณชนาธิปทานอะไรมารึยังคะ คือ...ถ้า...ถ้าไม่รังเกียจก็ทานกับข้าวพวกนี้ก็ได้นะคะเพราะรักทานแค่จานนี้จานเดียวเอง จานอื่นยังไม่ได้แตะเลย” พูดพลางชี้ไปยังอาหารจานหนึ่งที่พร่องไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แล้วเธอล่ะ จะรังเกียจรึเปล่าถ้าฉันอยากจะให้นั่งกินเป็นเพื่อนฉันหน่อย” มุมปากชายหนุ่มยกเพียงนิด แต่นัยน์ตาของเขานั้นฉายแววหยอกเย้าอยู่ในที
“ฉันไม่ชอบกินข้าวคนเดียว...นะ...กินเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
คุณพระคุณเจ้า! ประโยคเมื่อครู่นี้เขาอ้อนเธอใช่หรือไม่ ต้องรักไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้ตอบตกลงพร้อมกับพยักหน้าช้าๆ ให้เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณนะ”
เสียงนุ่มๆ ของเขาปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ในทันที พร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อจนแม้แต่เจ้าตัวยังรู้สึกเลยว่ามันคงจะแดงมาก จึงทำทีเป็นหยิบจานเปล่าที่วางอยู่ข้างๆ มาใส่ข้าวสวยจากกล่องโฟมแล้วหยิบช้อนส้อมวางลงในจานก่อนจะยื่นไปวางให้เขาตรงหน้า
ต้องรักลอบมองกิริยาตอนกินอาหารของเขาแล้วก็ได้แต่แอบกรี๊ดอยู่ในใจ เขากินดูน่าเอร็ดอร่อย ในขณะที่เธอกลืนแทบไม่ลง ไม่กล้าเคี้ยวเพราะกลัวเผลอเคี้ยวเสียงดังแล้วเขาจะหาว่าเธอมูมมาม สุดท้ายเลยได้แต่นั่งเขี่ยข้าวในจานไปมาเงียบๆ
กุ้งผัดซอสมะขามตัวโตถูกวางลงในจานของต้องรัก ตามมาด้วยปลาช่อนลุยสวนที่หั่นมาเป็นชิ้นๆ หญิงสาวทำตาโตก่อนจะละล่ำละลักบอกเขา
“อุ๊ย! เดี๋ยวรักตักเองก็ได้ค่ะคุณชนาธิป รักเกรงใจ”
“ธิป”
“คะ?” จู่ๆ เขาพูดมาคำเดียวสั้นๆ จนเธอไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เธอหูแว่วไปเองหรือเปล่า
“เรียกฉันว่าธิปคำเดียวก็พอ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มหรอก”
เขาสบตากับเธอขณะพูด ต้องรักจึงก้มหน้ารับคำเพราะไม่กล้าสบตากับเขานานนัก บอกตามตรงว่าเธอกลัว...กลัวว่าจะห้ามใจไม่ให้คิดเกินเลยกับเขาไม่ได้ เพราะเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เธอก็แทบแย่แล้ว เขาคงไม่รู้ตัวเลยกระมังว่าตัวเองได้ก้าวขาเข้ามาในโลกส่วนตัวของเธอแล้วข้างหนึ่ง
ดูเขาเจริญอาหารมาก ผิดกับเธอที่กว่าจะจัดการกับข้าวในจานหมดก็เล่นเอาเกือบไม่รอด กับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะจึงพร่องลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว และดูเขาจะชอบกินกุ้งเป็นพิเศษ เพราะอาหารที่ทำจากกุ้งแทบเกลี้ยงจานเลยก็ว่าได้
มิน่า...ตัวถึงโต๊ โต
หญิงสาวได้แต่พูดอยู่คนเดียวในใจ จำได้ว่าเวลาที่เขายืนขึ้นเต็มความสูงนั้น ศีรษะของเธอยังไม่เลยไหล่ของเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนที่ยืนใกล้กันเมื่อครั้งที่อยู่ในผับ เวลาคุยกับเขาเธอถึงกับต้องแหงนมองเขาเหมือนหมามองเครื่องบิน
“เอ่อ...รักขอใช้ครัวหน่อยนะคะ จะล้างจานน่ะค่ะ”
ต้องรักเอ่ยปากขออนุญาตอย่างกล้าๆ กลัวๆ หลังจากที่จบมื้ออาหารแล้ว เห็นเขาชะงักไปเล็กน้อย และทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าแทนการอนุญาตก่อนจะเดินออกจากครัวไปห้องนอนของตัวเอง
หลังจากล้างจานให้เขาเสร็จเรียบร้อย ต้องรักก็เดินออกจากครัว กะเอาไว้ว่าจะขอเขากลับไปที่บ้านเพื่อไปขนของที่จำเป็นแล้วออกมาหาห้องเช่าแถวที่ทำงานอยู่ชั่วคราวไปก่อน เธอยังมีเงินค่าช่วยงานศพที่คนละแวกนั้นใส่ซองให้มาอยู่บ้าง เพียงแต่ซ่อนมันเอาไว้ในห้องนอน ภาวนาให้พ่อเลี้ยงหามันไม่เจอ มิเช่นนั้นแล้วเธอก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหนมาเป็นค่าเช่า
ร่างเล็กชะงักทันทีเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตานั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนโซฟาตัวยาวหน้าจอโทรทัศน์แอลซีดีขนาดใหญ่ เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดคอวีสีกรมท่ากับกางเกงขาสามส่วนธรรมดาๆ ที่มีกระเป๋าหลายกระเป๋าเหมือนกางเกงทหาร มองแล้วให้ความรู้สึกเป็นกันเองขึ้นมาทันที เธอกล้าพูดเลยว่าเขาดูดีเหลือเกินแม้ว่าจะอยู่ในชุดอยู่บ้านแบบนี้ก็ตาม
สายตาคมๆ ของเขาตวัดหันมามองเธอจนอดสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้ เห็นเขาพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้เดินเข้าไปหา เธอจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาเดี่ยวอีกตัว
“พร้อมจะคุยกันรึยัง” เขายกรีโมตขึ้นหรี่เสียงโทรทัศน์ให้เบาลงแล้วหันมามองเธอนิ่งๆ
“คุย...เรื่อง?” เธอไม่รู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องอะไรของเธอบ้าง จึงต้องถามให้แน่ใจเสียก่อน
“เรื่องเมื่อคืน ทำไมเธอถึงได้ออกมานั่งร้องไห้อยู่ที่ป้ายรถเมล์ล่ะต้องรัก”
ต้องรักนิ่งไปครู่หนึ่งราวกับกำลังเรียบเรียงเรื่องราวอยู่ในหัวว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
“คือว่าเมื่อคืนรักถูก...”
“เข้ามานั่งใกล้ๆ หน่อยสิ นั่งห่างขนาดนั้นฉันฟังไม่ค่อยได้ยิน”
เขาพูดออกมาเสียงเรียบๆ ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยเย็นชาอย่างเคยพร้อมกับเอามือตบที่ว่างข้างตัวเบาๆ แต่ทำเอาคนฟังใจสะท้านจนเรื่องที่เตรียมจะพูดให้เขาฟังกระเจิงกระจายหายไปกับอากาศ รู้สึกราวกับสมองว่างเปล่าขาวโพลน
พอได้ยินคำว่าสยาม ชนกนันท์ก็ตาวาวขึ้นทันที เพราะทุกครั้งที่ได้ไปย่านนั้นกับบิดามารดา ตนมักได้เสื้อผ้า หรือของที่อยากได้ติดมือกลับบ้านเสมอ และครั้งนี้จึงไม่พลาดเช่นกัน“ไปค่ะคุณพ่อ ถ้างั้นให้อเล็กซ์กับอลัน...”“ให้อยู่บ้านไป อยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ไงลูก” ชนาธิปชิงพูดก่อนบุตรสาว จากนั้นก็หันไปถามสองแฝดด้วยภาษาอังกฤษ“พวกนายจะเอาอะไรไหม”“เบียร์!” สองหนุ่มตอบมาพร้อมกัน ชนาธิปยิ้มเย็นพลางพูดว่า“No!” เขามองหน้าฝาแฝดทั้งสองคนแล้วลอบถอนหายใจแผ่ว สองหนุ่มนี่ยิ่งโตหน้าตาก็ยิ่งหล่อเหลา อีกทั้งรูปร่างยังสูงใหญ่จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปด“ถ้าพวกนายอยากดื่มก็ดื่มได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่นี่ เอารถที่บ้านออกไปหาร้านนั่งดื่มกันข้างนอกก็ได้ ตามสบาย”ชนาธิปบอกอย่างใจกว้าง เพราะอย่างไรเสียสองคนนี้เขาก็ถือว่าเป็นหลาน หรือญาติที่ใกล้ชิดที่สุด แต่เขาจะไม่วุ่นวายกับสองคนนี้เลยถ้าหากว่าทั้งคู่จะไม่มาวอแวชนกนันท์ สายตาหวานเชื่อมนั่นเขาดูออกว่าทั้งสองคนนั้นถูกใจบุตรสาวของเขา และกำลัง
“อ้าว คุณธิปพาภรรยามาด้วยหรือคะไม่น่าเชื่อ ปกติเห็นไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด” อีฟหน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด“ลูกผมสองคนยังเล็กมากครับ ผมเลยไม่อยากให้ลูกไปงานเลี้ยงกับผม ภรรยาผมเขาก็เลยต้องอยู่ดูแลลูกที่บ้าน ผมก็ตามใจเธอ”เขาดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “ผมขอตัวก่อนดีกว่า ป่านนี้อาหารน่าจะมาเสิร์ฟแล้ว ฝากความระลึกถึงคุณเบิร์ดด้วยนะครับ”ชนาธิปยิ้มบาง ๆ ให้อีกครั้งแล้วเดินจากไป ทิ้งสายตาผิดหวังของหญิงสาวไว้ที่เดิมโดยไม่คิดหันกลับไปมองอีกเมื่อชนาธิปกลับเข้าไปในร้านอาหาร ชายหนุ่มก็เห็นภรรยาคนสวยนั่งจ้องตนเขม็งแทบไม่กะพริบตา เขาเห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ เพราะเธอมองเขาแบบนี้ก็หมายความว่าเธอเห็นที่เขาหยุดคุยกับผู้หญิงคนนั้น“เลขาฯ ของคุณเบิร์ดเจ้าของโครงการบ้านในสวนน่ะ เขามาเดินซื้อของ เจอพี่พอดีเขาก็เลยทัก” ชายหนุ่มอธิบายให้ภรรยารู้โดยไม่รอให้เธอเปิดปากถาม“รักยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย เห็นรักเป็นคนขี้หึงไปได้” เธออมยิ้ม สีหน้าพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัดที่เขาบอกเธอไปตามตรง“หรือไม่ใช่ เห็นสายตาก
“อุ้ยเล่าให้ฟังว่าพี่ชายเขาทำงานหลายอย่างมาก พักผ่อนน้อย ความเครียดก็เยอะ แต่เพราะเขาไม่เคยป่วยก็เลยไม่เคยไปตรวจสุขภาพสักที จึงไม่รู้ว่าความจริงแล้วตัวเองเป็นโรคความดันสูง พออาการกำเริบ บทจะไปเขาก็ไปแบบกะทันหันจนคนในครอบครัวไม่ทันได้เตรียมใจเลยค่ะ”ชนาธิปยิ้มอ่อนพลางจูบหน้าผากภรรยาอย่างรักใคร่ เธอเคยบอกว่าเขาเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเธอกับลูก เพราะฉะนั้นต้องรักจึงขอร้องเขาว่าอย่าทำอะไรที่เป็นการสุ่มเสี่ยงหรืออันตรายต่อชีวิตอย่างเด็ดขาด และเขาก็เคยรับปากเธอไว้แล้ว“เราก็เลยกลัวว่าพี่จะเป็นเหมือนพี่ชายของเพื่อนหรือ”ต้องรักพยักหน้าอยู่กับอกเขา “รักกับลูกไม่ต้องการอะไรค่ะ ขออย่างเดียวคือขอให้พี่อยู่กับเราแม่ลูกไปนาน ๆ รักอยากให้พี่อยู่ดูความสำเร็จของลูกด้วยกันกับรัก อยู่เป็นปู่ย่าให้หลานของเราแค่นี้ก็พอค่ะ”ชายหนุ่มยิ้มกว้างกับประโยคน่ารักน่าใคร่ของภรรยา เขาหัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นคุณปู่อย่างเดียวเองหรือ พี่อยากเป็นคุณตาด้วยนะ เป็นทั้งปู่ทั้งตาเลยได้ไหมต้องรัก เธอจะได้เป็นทั้งคุณย่าและคุณยายไง”ต้องรักหัวเ
ต้องรักเหลือบมองสามีที่นั่งจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าด้วยแววตาหลงใหล เธอชอบแอบมองเวลาเขามีสมาธิอยู่กับอะไรบางอย่างเพราะความมุ่งมั่นเคร่งขรึมของเขานานวันก็ยิ่งมีเสน่ห์เสียจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร เขาจะรู้ตัวบ้างไหมว่าภรรยาคนนี้หลงรักเขามากขึ้นทุกวันหญิงสาวเห็นมุมปากเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ ก็รู้ทันทีว่าเขารู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกจับจ้องจึงทำทีเป็นเบนสายตาไปมองบุตรชายที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่บนเบาะตรงหน้าแทน“ไม่แอบมองต่อแล้วหรือ” เสียงทุ้มถามขึ้นลอย ๆ“ไม่มองแล้วค่ะ คนถูกมองรู้ตัวแล้วอย่างงี้จะเรียกว่าแอบมองได้ยังไง” เธอตอบยิ้ม ๆ พลางรีบเอื้อมมือตบก้นบุตรชายที่เริ่มทำปากเบะเหมือนจะร้องไห้ และทำท่าจะตื่นชนาธิปวางมือจากคอมพิวเตอร์ตรงหน้าแล้วเดินมานั่งใกล้ภรรยา เขามองต้องรักกล่อมลูกให้หลับด้วยแววตาแสนรักนี่คือลูกกับเมียของเขา คือครอบครัวที่เขาเคยวาดฝันหลายต่อหลายครั้งว่าอยากมีตั้งแต่ยังไม่ได้เจอกับต้องรักก่อนหน้านั้นเขาทำงานให้นิโคลัส ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับมอบชีวิตทั้งชีวิตให้อีกฝ่
“อยากสิคะ แต่รักจำได้ว่าคุณธิปบอกให้ชะลอไปก่อน”ชนาธิปยื่นหน้าไปหอมแก้มเธออีกครั้ง ก่อนพูดให้เธอเข้าใจ“ตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนนั้นฉันติดปัญหาเรื่องรับช่วงต่อจากรูคส์ ฉันเลยไม่อยากมีลูกให้เป็นภาระของเธอ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ฉันไม่เกี่ยวข้องกับรูคส์แล้ว ฉันพร้อมเต็มที่สำหรับการเป็นพ่อคน”ต้องรักเบี่ยงหน้าไปมองเขาเต็มตา วันนี้เขาทำให้เธอซาบซึ้งจนเกือบร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้วนะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเธอรักผู้ชายคนนี้เหลือเกิน“รักก็พร้อมค่ะ”เสียงอ้อแอ้ที่ดังอยู่ข้างหูตามมาด้วยน้ำเปียกๆ ที่แตะลงบนแก้ม ส่งผลให้ชนาธิปต้องลืมตาตื่นขึ้นทันที ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทางดีอกดีใจของบุตรชายวัยเจ็ดเดือนตอนที่เขาลืมตาขึ้น“ว่าไงลูกพ่อ” เขาช้อนแขนเจ้าตัวจ้อยให้ขึ้นมายืนบนท้อง เจ้าตัวเล็กเห็นพ่อจับให้ยืนก็กระโดดผลุงๆ ไปมาบนท้องพร้อมกับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีจังหวะนั้น ต้องรักเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นสองพ่อลูกกำลังนอนเล่นกันอยู่บนเตียงก็อดยิ้มออกมาไม่ได้&l
ให้ต้องรักไปปรากฏตัวสักทีก็ดีเหมือนกัน สาวๆ เหล่านั้นจะได้เลิกตอแยเขาเสียที แต่ทางออกที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้น...การแต่งงาน“แต่งงานกันไหมต้องรัก”เคธี่เคยบอกกับเขาว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีความฝันอยากใส่ชุดแต่งงานสวยๆ ด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันเป็นงานที่จัดครั้งเดียวในชีวิต แม้ต้องรักเคยบอกเขาว่าไม่ต้องการจัดงานใหญ่โตอะไร แต่เขาก็อยากให้เกียรติเธอ และจัดงานแต่งงานให้เธออยู่ดี“ก็เราแต่งกันไปแล้วไม่ใช่หรือคะ ที่วัดไง” เธอหลับตาพริ้มอยู่กับอกของเขา รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นเมื่อคิดถึงเช้าวันนั้น“หมายถึงจัดงานที่เป็นเรื่องเป็นราวน่ะ คนทั่วไปจะได้รับรู้ว่าฉันแต่งงานแล้ว และเธอคือภรรยาของฉัน ฉันไม่ชอบเวลาที่มีคนมองว่าเธอเป็นของเล่นบนเตียงของฉัน แล้วก็เอาเธอไปพูดเสียๆ หายๆ” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง มือใหญ่เลื่อนมาวางที่หน้าท้องแบนราบของเธอแล้วลูบไล้แผ่วเบา“เวลามีลูก เราจะได้เอารูปแต่งงานให้ลูกดูได้ด้วยไง ไม่ดีหรือ”“ตามใจคุณธิปเลยค่ะ”ต้องรักคลี่ยิ้มอยู่กับอกกว้างของเขา เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งขึ้นอีก