วูบหนึ่งเหมือนเธอจะเห็นแววกรุ้มกริ่มในดวงตาของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะหลุบตาลงมองพื้นปิดบังไม่ให้เธอได้เห็นอีก เธอรู้ว่าเขาไม่ค่อยพูด แต่มักสื่อสารกับเธอด้วยสายตาเสมอ และการมองของเขาเมื่อครู่ก็ทำให้เธอรู้ทันทีว่าเขากำลังเย้าแหย่เธอเล่น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องการให้เธอทำตามคำสั่งของเขาด้วย
“มาเถอะ...ไม่แกล้งแล้ว”
ชายหนุ่มอมยิ้มเล็กน้อยพลางตบมือลงบนเบาะข้างตัว ต้องรักจึงลุกขึ้นเดินไปหย่อนตัวลงนั่งข้างเขา จากนั้นชนาธิปก็เริ่มพูดถึงสิ่งที่เธอต้องทำเมื่อมาอยู่ที่นี่
“หน้าที่ของเธอก็แค่ทำกับข้าวให้ฉันกินทุกเช้าและทุกเย็น ดูแลห้อง เรื่องซักผ้ารีดผ้าไม่ต้อง เพราะฉันใช้บริการร้านซักรีดข้างล่าง”
เขาหยุดพูดพร้อมกับมองหน้าเธอเพื่อดูว่ามีอะไรจะถามเขาหรือไม่ เมื่อเห็นเธอยังนั่งฟังนิ่งๆ เขาจึงพูดต่อ
“ฉันจะออกไปทำงานประมาณสิบโมง กลับเข้ามาอีกทีไม่เกินหกโมงเย็น บางวันก็อาจดึกหน่อย วันไหนกลับดึกฉันจะโทร.มาบอกก่อนล่วงหน้า เธอจะได้ไม่ต้องรอฉันกินข้าวเย็น และจะออกไปอีกครั้งประมาณสองทุ่ม”
“แล้ว...รักไม่ต้องไปทำงานที่ผับแล้วจริงๆ หรือคะ”
ถามเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะจะว่าไปแล้วเธอก็ยังไม่ได้ลาออกจากงานเป็นเรื่องเป็นราวเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่กับเขาเสียแล้ว
“ต้องรัก” ชายหนุ่มเรียกเธอเสียงนุ่มน่าฟังจนเจ้าของชื่อหัวใจหวั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ยิ่งประโยคถัดมาของเขาก็ยิ่งตอกย้ำให้มันดำดิ่งตกลงสู่หลุมพรางเสน่หาของผู้ชายตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“มาอยู่กับฉันที่นี่แล้วจะไปทำงานที่ผับอีกทำไม ยังเรียนไม่จบไม่ใช่หรือ เอาเวลาที่เหลือมาอ่านหนังสือแล้วมุ่งมั่นกับการเรียนดีกว่าไหม อยู่ที่นี่แล้วดูแลบ้านให้ฉัน ดูแลอาหารการกินให้ฉันแค่นั้นก็พอแล้ว”
หญิงสาวนั่งฟังเขานิ่ง การหาเวลาทบทวนตำราเรียนเป็นสิ่งที่เธอปรารถนามาโดยตลอด ยอมรับว่าเกรดของเทอมที่ผ่านมาไม่ค่อยดีนักเพราะไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือเท่าไร จะว่าไปแล้วถ้าเธออยู่ที่นี่ ก็เหมือนมาอยู่ฟรีกินฟรีเสียด้วยซ้ำ เพราะงานที่เขาบอกให้เธอทำนั้นช่างน้อยนิด
และตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนนั่งอยู่ใกล้กับเขามากเพียงใด เพราะเสียงนุ่มๆ ของเขาที่พูดกรอกหูจนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารินรดแก้มนั้นกำลังทำให้เธอขนลุกซู่
“ละ...แล้วเย็นนี้คุณธิปจะทานอะไรดีคะ รักจะได้ทำให้”
ต้องรักเบี่ยงตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูเป็นการจงใจมากเกินไป ใกล้กันแบบนี้ไม่ไหว หัวใจมันพานจะกระดอนออกมานอกอกเสียให้ได้
“เธออยากกินอะไรเธอก็ทำสิ ฉันกินได้หมดนั่นแหละถ้าเธอทำ จริงสิ...ลืมบอกไปว่าทุกมื้อเธอต้องมานั่งกินกับฉันด้วยนะ ฉันไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”
นัยน์ตาคู่คมแวววาวขึ้นมาพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มอย่างน่ามอง ดูเปี่ยมเสน่ห์จนยากจะถอนสายตาออกมาจากภาพตรงหน้า อดคิดไม่ได้ว่าเขาร่ายมนตร์ใส่เธอหรืออย่างไร ทำไมเขาถึงตรึงสายตาของเธอได้ตั้งแต่วันที่พบกันครั้งแรกจนกระทั่งถึงวันนี้
“เอ่อ พรุ่งนี้วันเผาศพแม่ของรัก รักอาจจะต้องออกจากที่นี่เช้าหน่อยเพื่อไปวัดค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้กี่โมง รักขออนุญาตคุณธิปไว้ตรงนี้เลยก็แล้วกันนะคะ”
ชนาธิปพยักหน้าพร้อมกับเอื้อมมาดึงมือของเธอไปวางไว้บนตักของเขา
“เสียใจด้วยเรื่องแม่ของเธอ พรุ่งนี้เธอไปทำธุระให้เสร็จเถอะ แต่ฉันคงไปกับเธอไม่ได้เพราะมีงานต้องทำ”
ต้องรักรู้สึกเหมือนเขากำลังขอโทษที่พรุ่งนี้ไม่สามารถไปงานเผาศพมารดาของเธอได้ หญิงสาวจึงรีบละล่ำละลักบอกเขา
“ไม่เป็นไรเลยค่ะคุณธิป แค่นี้รักก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
เขาไม่จำเป็นต้องไปงานเผาศพมารดาเธอเลยสักนิดเพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เธอก็แค่พนักงานของเขาคนหนึ่งเท่านั้น ทว่าคำพูดถัดมาของเขาก็ทำเอาหัวใจของเธออุ่นซ่าน
“ฉันให้ความสำคัญกับคนของฉันทุกคนเสมอ โดยเฉพาะทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ต้องรัก”
พูดพร้อมกับค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้เธอมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งริมฝีปากเกือบจะแตะสัมผัสกัน ต้องรักกลับก้มหน้าลงต่ำจนเป้าหมายของเขาคลาดเคลื่อนไปอยู่ที่หว่างคิ้วของเธอแทน
“ระ...รักไปทำกับข้าวก่อนดีกว่าค่ะ นานกว่านี้เดี๋ยวคุณธิปจะหิว”
เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ได้แต่ก้มหน้างุดมองมือของตัวเองที่อยู่ในอุ้งมือของเขาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
“ไปเถอะ” ชายหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าเนียนใสแต้มสีแดงระเรื่อจนน่าฝังจมูกลงไป ท่าทางเม้มปากแน่นเพื่อกลั้นยิ้มขวยเขินของเธอนั้นกำลังทำให้เขาได้ใจเพราะรู้ว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของเขา
ทันทีที่ชายหนุ่มปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระ ร่างเล็กก็ลุกพรวดขึ้นแล้วเผ่นแผล็วไปยังห้องครัวทันที ทิ้งสายตาเปื้อนยิ้มของชายหนุ่มที่คอยมองตามไว้เบื้องหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองเขา
ต้องรักใช้เวลาทำอาหารไม่นานนัก เพราะเธอเลือกทำง่ายๆ คราแรกแอบหวั่นใจว่าเขาจะกินอาหารพื้นๆ อย่างผัดกะเพรากุ้งและแกงจืดหมูสับได้หรือเปล่า ปรากฏว่ามื้อนั้นเขาเติมข้าวถึงสองจาน ทำเอาคนทำอย่างเธอยิ้มแก้มแทบแตก
หลังจากกินมื้อเย็นกันเสร็จเรียบร้อย ชนาธิปก็เข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายในห้องนอนของตัวเอง ส่วนต้องรักก็จัดการล้างจานและทำความสะอาดครัวที่เพิ่งใช้ไปเมื่อครู่ พอเสร็จทุกอย่างก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกที่มีร่างสูงของเขายืนรออยู่ก่อนแล้วในชุดเสื้อเชิ้ตแบบเรียบๆ และกางเกงสแล็กส์สีดำ ดูเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
“ฉันต้องไปทำงานแล้ว คงจะกลับดึกอย่างที่เธอรู้ ฉะนั้นนอนได้เลยนะไม่ต้องอยู่รอ” เขาพูดพร้อมกับสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้จนหญิงสาวได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยลอยมากระทบจมูก เธอชอบกลิ่นนี้เพราะรู้สึกว่ามันเหมาะกับลุคของเขาดี อบอุ่น นุ่มลึก และเซ็กซี่จนอยากฝังใบหน้าลงไปสูดดมใกล้ๆ
ปลายนิ้วของชายหนุ่มเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นก่อนจะก้มลงมาจุมพิตแผ่วเบาที่หน้าผากของหญิงสาว
“คิดเสียว่าที่นี่คือบ้านของเธอ อยากทำอะไรก็ทำ เปิดทีวี ฟังเพลง หรืออะไรก็ได้ที่เธออยากทำ ไม่ต้องเกรงใจฉัน เข้าใจรึเปล่า” เสียงเรียบเรื่อยของเขาดูเหมือนคำสั่งอยู่ในที เขารอจนกระทั่งเธอพยักหน้ารับจึงพูดต่อ
“ฉันอยากให้เธออยู่ที่นี่แล้วมีความสุข”
เขายิ้มให้เธอบางๆ ก่อนจะเดินออกไปที่หน้าประตู ก่อนเปิดประตูเขาหันมามองเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูไว้ให้ตามเดิม
ทันทีที่ห้องนี้ไร้เงาของเขา ต้องรักก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาทันที พร้อมกับตระหนักถึงความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจ
เธอรักเขาแล้วใช่ไหม...
ภายใต้แสงไฟสลัวรางของผับหรูแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มสองคนที่ต่างเชื้อชาตินั่งประจันหน้ากันอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ทั้งคู่กวาดตามองบรรยากาศโดยรอบด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ราวกับว่าเสียงเพลงจังหวะเร้าใจและหญิงสาวสวยมากหน้าหลายตาที่กำลังวาดลีลาเร่าร้อนตามจังหวะเพลงเหล่านั้นหาได้มีความหมายใดๆ กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อยกระทั่งในที่สุด ชายร่างใหญ่ผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาก็ผินหน้ามาที่ผู้ร่วมโต๊ะและเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาก่อน“นายจะปฏิเสธจริงหรือทิม” แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบเรื่อย แต่หัวคิ้วของผู้พูดกลับขมวดเป็นปมเมื่อมองหน้าอีกฝ่าย“ใช่ ฉันแต่งงานกับเคธี่ไม่ได้”ชนาธิปตอบโดยไม่แสดงอาการลังเลออกมาให้เห็น ก่อนจะยกแก้วบรั่นดีขึ้นจดริมฝีปาก เขารู้ว่าเพื่อนสนิทกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่เขาก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว“เคธี่รักนายมากนะ ฉันรู้ดี” วิลพูดพลางหลุบสายตาลงต่ำเพื่อปิดบังไม่ให้คนที่ฉลาดเป็นกรดอย่างชนาธิปจับสีหน้ากับแววตาของตนได้ ในขณะที่อีกฝ่ายหันมามองแล้วลอบยกยิ้มที่มุมปาก“จริงอยู่ว่าเคธี่รักฉัน แต่เธอไม่ได้รักในแบบคนรัก นายก็รู้ว่าเคธี่กับฉันเติบโตมาด้วยกันจนแทบจะเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันอยู
ชนาธิปเดินลงมาจากชั้นสองก่อนเวลาดินเนอร์ประมาณครึ่งชั่วโมง เขาชะงักเท้าทันทีเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่พอกันกับเขาแต่อีกฝ่ายลำตัวหนากว่ายืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงคอยท่าอยู่ตรงเชิงบันได“ยินดีต้อนรับกลับมา พี่ชาย” คนยืนรอเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน ชนาธิปยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดร่างหนาหลวมๆ แทนคำทักทาย“ผมทรงใหม่ของนายเข้าท่าดีนะวิล”ชนาธิปมองทรงผมทรงใหม่ของบอดีการ์ดหนุ่มด้วยแววตากึ่งทึ่งกึ่งขำ เพราะมันเป็นทรงเดียวกับนักฟุตบอลคนหนึ่งของทีมเรอัลมาดริดคนถูกทักเรื่องทรงผมทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนอ้อมแอ้มบอกเสียงค่อย“คุณหนูลากไปตัดเมื่อวานนี้”ได้ฟังอย่างนั้นชนาธิปเกือบหลุดหัวเราะแต่ก็อดเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้ เคธี่นั้นคลั่งไคล้นักฟุตบอลทีมนี้มาก จึงมักพร่ำเพ้ออยู่บ่อยๆ และคนที่ต้องตกเป็นตุ๊กตาให้เธอก็เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากวิล บอดีการ์ดหนุ่มที่คอยตามติดไม่ห่างนั่นเองมื้อค่ำวันนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนนั่นคือชนาธิป เพราะตามปกติแล้วจะมีเพียงแค่นิโคลัส เคธี่ และวิลเ
รถทั้งหมดมาหยุดลงตรงเทอร์เรซหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ บุรุษต่างชาติที่นั่งอยู่ด้านหน้าคู่กับคนขับรีบลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูให้ชนาธิป ในขณะที่เอกรัฐเปิดประตูรถด้วยตัวเองเพราะรู้สถานะของตนดีว่าอยู่ในฐานะอะไรร่างสูงก้าวขาลงจากรถ เขาหันไปขอบคุณชายที่เปิดประตูให้เบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนเข้าสู่ตัวคฤหาสน์โดยมีเอกรัฐตามมาด้านหลัง ฝีเท้ามั่นคงหนักแน่นชะงักเล็กน้อยเมื่อยืนอยู่หน้าประตูไม้โอ๊กขัดเงาบานใหญ่ เพราะทันทีที่เขาย่างเท้าเข้าไปด้านใน โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็จะปรากฏขึ้นมาพันธนาการเท้าทั้งสองข้างของเขาไว้ทันทีซึ่งมันจะถอดออกได้ก็ต่อเมื่อเขากลับไปเมืองไทยเท่านั้น!“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไอ้ลูกชาย”เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นทันทีที่ชนาธิปเหยียบย่างเข้าสู่คฤหาสน์ ชายหนุ่มหันมองไปตามเสียง เห็นร่างสูงใหญ่อย่างชาวอเมริกันของนิโคลัส รูคส์ มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกากำลังยืนดูดซิการ์อยู่หน้าเตาผิงในห้องรับแขก มุมปากที่คาบซิการ์อยู่นั้นโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคมกริบสีเทาเด็ดเดี่ยวมีประกายยินดีเมื่อเห็นเขา“สวัสดีครับนายท่าน”
“กูเกิ้ลไงน้อง จะบอกให้ว่ากว่าจะได้คนนี้มา พี่นี่ต้องนั่งเสิร์ชนั่งหาข้อมูลตั้งสามวัน ก็คุณธิปน่ะบอกแค่ว่าให้หาครูสอนภาษาที่ดีที่สุด และต้องเป็นผู้หญิงมาสอน แต่ก่อนจะมาสอนก็ต้องสืบประวัติก่อนด้วยนะว่านิสัยใจคอเป็นยังไง เคยมีปัญหากับนักเรียนหรือไม่อะไรพวกนั้นน่ะ” ชนิดาตอบยืดยาวพลางทำท่าทางประกอบคำพูด“แต่ครูสอนภาษาที่เป็นผู้หญิงก็หายากมากเลยนะ ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ชาย โชคดีที่ได้คุณแอนนาเบลมา” เจ้าตัวพูดพลางตักเค้กเข้าปากคำโต ในขณะที่คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย“งั้นหรือคะ แล้วทำไมต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้นด้วยล่ะ จริงๆ แล้วรักเรียนกับใครก็ได้” ต้องรักถามพลางใช้มือหยิบหลอดขึ้นมาจ้วงน้ำแข็งในแก้วเพื่อให้โกโก้เย็นขึ้นมาท่วมน้ำแข็ง“แหม...เข้าใจถามนะเธอ นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือสาวน้อยว่าเจ้านายพี่น่ะทั้งรักทั้งหลงตัวเองแค่ไหน หวงอย่างกับไข่ในหินขนาดนั้น ฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าจะได้ครูผู้ชายมาสอนให้น่ะ” ชนิดาทำตาวิบวับอย่างล้อเลียนคนหน้าแดงที่กำลังทำทีเป็นก้มลงดูดน้ำในแก้วอย่างขวยเขิน ก่อนจะพูดเลี่ยงไปอีกเรื่องหนึ่ง&ldquo
อ้อมแขนอบอุ่นที่สวมกอดจากทางด้านหลังตามมาด้วยจุมพิตหนักๆ บริเวณขมับไล่ลงมาจนถึงข้างแก้ม ส่งผลให้คนที่กำลังจัดเสื้อผ้าเข้าตู้อดยิ้มขวยเขินขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่ที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน เขามักเข้ามานัวเนียกับเธอทุกครั้งที่สบโอกาสชนาธิปเดินถอยหลังแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่ขอบเตียง มือโอบไหล่ของต้องรัก จากนั้นจึงรั้งตัวเธอให้นั่งลงบนตักของตัวเอง หญิงสาวยกแขนขึ้นโอบรอบคอของเขาโดยอัตโนมัติ เรือนกายช่วงบนแทบแนบสนิทไปด้วยกันเมื่อศีรษะเล็กโผเข้าซุกซบอยู่ที่ซอกคอเขาเพื่อหลบเลี่ยงการสบตา ในขณะที่มือของชายหนุ่มกอดรัดนวดคลึงอยู่แถวสะโพกกลมกลึงอย่างแผ่วเบา“ฉันให้โอ๋เขาจัดการเรื่องครูสอนภาษาแล้ว คิดว่าวันสองวันนี้คงเริ่มเรียนได้ทันที เธออยากเรียนอะไรเพิ่มเติมรึเปล่า”เสียงทุ้มถามอย่างเอาใจใส่ มืออีกข้างของเขายกขึ้นเก็บปอยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าสีระเรื่อไปเหน็บไว้ที่ข้างหูให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นจมูกกดลงไปที่แก้มนวลอย่างอดใจไม่อยู่นี่กระมังที่เขาเรียกกันว่าข้าวใหม่ปลามัน มันหอมหวานน่าหลงใหลเช่นนี้เองหรอกหรือต้องรักผงกศีรษะขึ้นมาจากบ่าขอ
“คุณธิปคะ” สีหน้าจืดเจื่อนของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เขารอฟังว่าเธอกำลังจะพูดอะไร แต่การสั่นเตือนของโทรศัพท์มือถือก็ส่งสัญญาณขัดขึ้นมาเสียก่อนชนาธิปล้วงหยิบมันขึ้นมาดูชื่อของคนที่โทร.เข้าก่อนจะกดรับ“มีอะไร” เขากรอกเสียงลงไปห้วนๆ จากนั้นก็นั่งนิ่งฟังปลายสายพูด ต้องรักหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมโดยที่สายตาคอยมองแต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาตลอดเวลา เห็นแววไม่สบอารมณ์พาดผ่านในสีหน้าและแววตาของเขาก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาเรียบนิ่งประดุจน้ำแข็งตามเดิมตั้งแต่มาอยู่กับเขา ต้องรักไม่เคยก้าวก่ายงานของชนาธิปแม้แต่อย่างเดียว ห้องทำงานของเขาเต็มที่ก็แค่เข้าไปปัดกวาดเช็ดถูให้ แต่เอกสารทุกแผ่น แฟ้มทุกแฟ้ม เธอไม่เคยยุ่มย่ามเปิดดูเลยสักครั้ง แม้เขาเคยบอกเอาไว้ว่าเธอสามารถเข้าไปใช้โต๊ะทำงานที่ห้องนั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องขออนุญาต แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่กล้าพอ ยิ่งเป็นเรื่องการถามไถ่เกี่ยวกับงานของเขาก็ยิ่งไม่กล้า และเพราะเหตุนี้กระมัง เขาจึงไม่เคยลุกออกไปพูดโทรศัพท์ที่อื่นเลย เธอได้ยินเขาพูดกับอีกฝ่ายแทบทุกประโยคต้องรั