เช้าวันต่อมา
แสงแดดยามเช้าสาดลอดผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามาอย่างอบอุ่น กลิ่นขนมอบใหม่จากเตา หอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งร้าน
ไอริสยืนอยู่หน้าตู้เค้ก ตรวจความเรียบร้อยภายในร้านเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะฝากร้านกับพี่ ๆ พนักงานซึ่งเป็นคนเก่าที่เคยช่วยดูแลร้านระหว่างที่เธอไปเรียน
เป็นโชคดีของเธอที่ร้านอยู่แค่หลักตึกคณะ สามารถเดินไปได้และใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่ยังไม่ทันได้หยิบกระเป๋าและของใช้ส่วนตัว ก็เห็นเงาของร่างสูงมายืนอยู่ไม่ไกล
ซันยืนอยู่ในชุดนักศึกษาวิศวะ เสื้อยืดสีขาวพับแขนลวก ๆ ทับด้วยช็อปที่พาดไว้บนไหล่ กับทรงผมที่ยุ่งนิดหน่อยตามสไตล์คนเพิ่งตื่น แต่กลับดูดีจนเธอรู้สึกหมั่นไส้
“จะไปเรียนใช่ไหม เดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
เสียงทุ้มต่ำของคนตัวโตบอกเธอเสียงเรียบ เขาพูดง่าย ๆ เหมือนแค่ชวนไปซื้อข้าวหน้าปากซอย โดยไม่ถามเธอเลยสักคำว่าจะยอมให้เขาไปส่งไหม
“ร้านอยู่ใกล้แค่หลังตึก ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”
เธอถอนหายใจเบา ๆ ใครจะอยากให้เขาไปส่งกันเล่า เมื่อวานหลังจากจัดร้านเรียบร้อย พิณเพลงก็ไม่วายเอาแต่พูดถึงเขากับเพื่อน ๆ หนุ่มวิศวะคนดังของมหา’ลัย ที่เห็นจากกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันก็ต้องยอมรับว่าทั้งหล่อ ทั้งดูดีแบบกินกันไม่ลงสักคน
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เดินออกจากหน้าร้าน เขาก็ใส่หูฟังข้างหนึ่งเข้าที่หูตัวเอง ก่อนจะยื่นอีกข้างมาเสียบไว้ที่หูของเธอ โดยไม่ถามสักคำ แล้วคว้ากระเป๋าของเธอไปถือ ก่อนจะเดินนำหน้าออกไป
“เดินด้วยกันจะได้ไม่เหงา”
คำพูดเรียบง่ายที่ฟังเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับทำให้หัวใจเธอสั่นไหว ร่างสูงเดินนำออกไปก่อน จนเธอต้องรีบสาวเท้าเดินตาม พลางเม้มปากกลั้นยิ้มกับตัวเอง
ถนนระหว่างร้านกับคณะนั้นเงียบสงบ มีเพียงเสียงรองเท้ากระทบพื้นและเสียงเพลงที่ดังอยู่เบา ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง กระทั่งมาถึงหน้าอาคารเรียน
ซันหยุดยืนแล้วหันมาหาเธอ สายตานิ่งแต่จับจ้อง เขายื่นมือมาแตะแก้มเธอเบา ๆ ราวกับจะตรวจดูว่าไข้ขึ้นหรือไม่
“คุกกี้กับกาแฟ อร่อยมากขอบใจนะ”
“อือ”
เธอตอบกลับเบา ๆ แต่หัวใจกลับเต้นเสียงดังจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน ซันไม่ได้ตอบด้วยคำพูด แต่ยิ้มมุมปาก แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจเป่ารดข้างแก้ม
“เลิกทำหน้าดื้อได้แล้ว พี่ไปละ”
แล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งเธอไว้กับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้า
ช่วงบ่าย
“ไอ ร้านจะระเบิดแล้วมั้ง!!”
เสียงพิณเพลงดังขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์ ทั้งสองคนมีเรียนแค่ช่วง จึงเข้ากันมาช่วยกันดูร้านในตอนบ่าย เพราะร้านเพิ่งเปิดก็เกรงว่าจะยังไม่เข้าที่ดี
ขณะที่ลูกค้าแถวหน้าร้านเริ่มยาวขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นคุกกี้หอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ลาเต้เย็น บราวนี่ มาการอง กล่องแล้วกล่องเล่าถูกส่งถึงมือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เสียงพูดคุยในร้านก็ดังขึ้นตามจังหวะ แต่ทุกบทสนทนากลับมีชื่อหนึ่งที่ไอริสได้ยินซ้ำ ๆ
“ขอเมนูแบบพี่ซันวิศวะค่ะ”
“ค่ะ”
“เอ่อ…เราตามพี่ซันมาจากสตอรี่ค่ะ เห็นว่าที่ร้านมีคุกกี้กับลาเต้ที่เจ้าของร้านทำอร่อย เลยแวะมา”
ไอริสเบิกตากว้าง ขณะที่พิณเพลงยื่นโทรศัพท์มาให้ดูโพสต์ในสตอรี่ของเขา เป็นรูปที่คุ้นตา ถ่ายจากมุมห้องนอนชั้นสองของร้าน มีคุกกี้ในจานไม้และแก้วกาแฟที่เธอเป็นคนจัดให้เอง พร้อมแคปชั่นที่เรียบง่ายแต่ทำเอาเธอหัวใจสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
‘กาแฟหอม ขนมอร่อย...#เหมือนเจ้าของร้าน’
“เขา…โพสต์แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…”
เธอพึมพำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน อีกทั้งพยายามกลั้นสีหน้าไม่ให้แดงไปมากกว่านี้
พิณเพลงแกล้งกระแอมเสียงดัง ก่อนจะกระซิบใกล้ ๆ ข้างใบหูเธอ
“อยากรู้จัง...ที่บอกว่าอร่อยเหมือนเจ้าของร้านนี่เคยลองกินคนแถวนี้ไปแล้วหรือยังนะ”
ไอริสแกล้งทำหน้าเง้างอน ยกมือขึ้นปิดหน้า ก่อนจะเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน เพราะไม่รู้จะรับมือกับเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างไร ทั้งสายตาเจ้าเล่ห์และคำพูดเอ่ยแซวทำเอาเธอหน้าร้อนผ่าวไปหมด
“ห้ามแซวนะ...ไปช่วยไอดูลูกค้าเลย”
พิณเพลงเดินหัวเราะร่วนออกไป ทั้งสองสาวยังคงวุ่นวายอยู่กับการดูแลลูกค้าที่ทยอยเข้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย อาจจะเพราะร้านเธอตั้งอยู่อยู่ติดรั้วมหาลัยเลยทำให้ลูกค้าของเธอจะเป็นนักศึกษาซะส่วนใหญ่
เสียงหัวเราะและเสียงของผู้คนที่มาใช้บริการยังคงดังต่อเนื่อง แม้จะล่วงเวลาเข้าสู่ช่วงเย็น ร้านของไอริสก็ยังเต็มไปด้วยนักศึกษาที่แวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย
เธอยังคงยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใบหน้าแดงระเรือไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะพรมบนใบหน้า แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เธอกลับมีความสุข ความสุขจากการที่ได้ยินคำเอ่ยชมจากลูกค้าว่าขนมและเครื่องดื่มที่ร้านของเธอนั้นอร่อย สำหรับเธอแล้วคำพูดธรรมดาเล่านี้นี่แหละคือกำไรของคนทำขนมที่แท้จริง
ซันยืนอยู่ตรงมุมเสากระจกด้านหน้าร้าน เฝ้ามองหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่กำลังต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการอย่างขะมักเขม้น ก่อนจะจุดไฟสูบนิโคลตินเข้าปอดช้า ๆ เพื่อข่มความรู้สึกที่อุ่นร้อนในใจ
สายตาคมยังคงจ้องมองเธอไม่กะพริบแม้แต่น้อย ยิ่งเห็นเธอยิ้มให้ลูกค้าหนุ่ม ๆ ที่ดูเหมือนอยากจะขายขนมจีบให้คนตัวเล็กมากกว่าแวะมาซื้อขนม เขาก็ยิ่งขบกรามแน่น
“ยิ้มอีกแล้ว ยิ้มให้ใครนักหนาวะ”
เขาบ่นพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา แล้วดันประตูกระจกเข้าไปในร้านทันที
กริ๊ง!
เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้น เรียกสายตาของคนในร้านได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาสาวที่เข้ามาใช้บริการ ส่วนหนึ่งก็เพราะคาดหวังจะมาดักรอเจอหน้าชายหนุ่มอยู่ที่นี่
“ไอ้ซัน!...ทางนี้ ๆ”
ลมโผล่หน้าขึ้นจากลังขนมหลังร้านทันที เมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตัวเองมาถึง ความจริงพวกเขาเลิกคลาสพร้อมกัน แต่ซันต้องไปพบอาจารย์ที่สโมสรก่อน ส่วนเดย์และไนท์ก็ไปรอรับแสงเหนือที่คณะแพทย์ เลยทำให้ลมต้องมาที่นี่ช่วยสาว ๆ ก่อน
“ไหงกลับมาเร็วงี้วะ?”
“เสร็จธุระไว เลยรีบมาช่วย”
เขาตอบเสียงนิ่ง แต่หางตายังคงเหลือบมองไปที่หญิงสาวหน้าเคาน์เตอร์ไม่วางตา
“กลับมาช่วย หรือหวงจนต้องมาเฝ้าอะไรแถวนี้?”
เวหาเอ่ยแซวเบา ๆ ก่อนจะยกยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ แต่ไม่พูดอะไรต่อ เขาอาจจะไม่รู้แน่ชัดว่าระหว่างสองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่
แต่อาการที่เพื่อนเขาเป็นอยู่ตอนนี้ก็เดาได้ไม่ยากว่ากำลังรู้สึกยังไงกับคนตัวเล็กที่กำลังวุ่นวายอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เพราะอาการที่มันเป็นตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับไอ้สองแฝดที่มีต่อแสงเหนือเลยสักนิด ติดตรงที่ไม่รู้ว่ามันจะเลิกปากดีแล้วรู้ตัวตอนไหนว่าความรู้สึกตัวเองคิดเกินเลยไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว
ซันเลือกจะนิ่งเงียบไม่ตอบคำตอบของเวหา เขาถอดช็อปพาดไว้ที่แขน เดินตรงไปยังหลังเคาน์เตอร์เพื่อไปล้างมือให้สะอาดแล้วเปิดตู้ขนม หยิบคุกกี้ที่แพ้คเรียบร้อยแล้วมาจัดใส่กล่องอย่างคล่องมือ ทุกการเคลื่อนไหวของเขาทำเอาไอริสถึงกับมึนงง
“เข้ามาทำอะไรคะ?”
“ช่วย”
เขาตอบสั้น ๆ ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกจนคาดเดาอารมณ์ของชายหนุ่มไม่ถูก มีเพียงแค่เวหาเท่านั้นที่กำลังหัวเราะร่วนเพราะรู้ว่าตอนนี้ซันกำลังว้าวุ่นใจแค่ไหนที่มีนักศึกษาหนุ่ม ๆ ไปวอแวหน้าเคาน์เตอร์เยอะจนต้องรีบไปแสดงตัว
“มีลูกค้าสั่งบราวนี่สองกล่อง โต๊ะเก้าริมหน้าต่าง”
พิณเพลงโยนคำสั่งมาโดยอัตโนมัติ คิดว่าซันคงแค่พูดขำ ๆ เพราะตามข้อตกลงชายหนุ่มคือคนลงทุน เพื่อนเธอคือคนจัดการในร้าน แต่ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาช่วยจริง ๆ
คนตัวโตหยิบกล่องขนมแล้วเดินไปเสิร์ฟด้วยสีหน้าเรียบสนิท ทว่าแววตาที่ใช้มองลูกค้าหนุ่มโต๊ะนั้นกลับเย็นเฉียบจนน่าขนลุก
“บราวนี่ครับ”
เขาวางกล่องลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล แต่แววตาไม่ได้ยิ้มตาม
“ร้านนี้น่ารักจริง ๆ ขนมก็ดี เจ้าของก็...”
“ขนมครับ”
ซันพูดแทรกด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่รอให้ลูกค้าคนนั้นพูดต่อ
“มีคนมาแสดงตัวเพื่อกันซีนแน่ ๆ สงสัยจะเป็นหนุ่มขี้หวง”
พิณเพลงกระซิบเบา ๆ พลางกลั้นหัวเราะ ไอริสมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินหงุดหงิดกลับเข้าหลังร้าน
“ไอไปดูขนมที่อบไว้ก่อนนะ”
ไอริสหลบสายตาของเพื่อนสนิทที่มองมาอย่างล้อเลียน ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเดินตามเขาไปหลังร้าน โดยใช้ข้ออ้างว่าไปดูขนมที่อบทิ้งไว้
“เข้ามาทำอะไรคะ”
“ก็ช่วยไง”
“ช่วยหรือเฝ้า?”
เขาชะงักไปนิดก่อนจะหันกลับมามองเธอตรง ๆ ดวงตาคู่นั้นยังนิ่งเหมือนเดิม แต่กลับมีประกายบางอย่างแฝงอยู่
“มาเฝ้า”
“เฝ้าขนม?”
“เฝ้าคนแถวนี้ ไม่อยากให้ใครมองเหมือนที่พี่มอง”
คำพูดนั้นทำให้ไอริสหัวใจกระตุกวูบ ร้อนวูบวาบขึ้นมาทั้งหน้าและใบหูด้วยความเก้อเขิน เขาก็ช่างเป็นคนที่ขยันเล่นกับหัวใจเธอที่สุด
“มะ มองยังไงคะ…”
เธอพยายามรักษาน้ำเสียงให้มั่นคง แต่คำตอบของเขากลับทำลายความรู้สึกในใจของเธอให้วูบไหวในพริบตา
“มองแบบที่อยากจะเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ให้ใครได้เห็น”
เขายิ้มบาง ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากกระตุกขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดผิวกาย แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่ร่างกายไม่ได้สัมผัสกัน
“พี่ซัน!”
เธอเบิกตาและรีบเบี่ยงตัวออกไปทันที เพื่อกลบอาการ แต่เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขายังไล่ตามหลังเธอมาไม่ห่าง และแม้วันนี้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่หัวใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บ่งบอกว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป