LOGIN“ความจริงอะไร!” เธออ้าปากค้างกับความหน้าด้านของเขา
“หลินซี เข้ามาข้างในได้แล้ว” เขาเม้มปาก ส่งสายตาดุ ๆ มาให้ “เลิกเล่นเกมได้แล้วน่า”
“ฉันไม่ได้เล่นเกม!” เธอหันไปหาอาไท่ “เชื่อฉันนะ เขาโกหก ฉันไม่ใช่เพื่อนเขาจริง ๆ”
“แต่เธอก็รู้จักเขาสินะ” อาไท่เริ่มขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“คือ...มันซับซ้อนน่ะ” เธอถอนหายใจ รู้สึกเหมือนกำลังจนมุม
“แต่เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนจัดงานนี้?”
“ใช่...เอ๊ย ไม่ใช่...คือฉันเพิ่งมารู้เมื่อเย็นนี้...” เธอพูดเสียงอ่อย รู้สึกสมเพชตัวเองอย่างบอกไม่ถูก “เอ่อ...นายยังอยากจะไปดื่มอยู่ไหม” เธอถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“เอ่อ...” อาไท่กัดริมฝีปากตัวเองอย่างลังเล
“ฉันเลี้ยงเอง” เธอยิ้มแหย ๆ ไม่สนใจสายตาคมกริบที่กู้เทียนอี้ส่งมาให้
“ที่รัก...ทำไมต้องเล่นเกมกับหนุ่มคนนี้ด้วย” กู้เทียนอี้ถอนหายใจเสียงดัง “ผมรู้ว่าเราทะเลาะกันนิดหน่อย แต่การไปดื่มกับคนอื่นเพื่อจะทำให้ผมหึงมันไม่น่ารักเลยนะ”
“หา!”
คราวนี้หลินซีอ้าปากค้างอย่างแท้จริง เธอจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่แสร้งทำเป็นเสียใจนั่นสลับกับอาไท่ที่ตอนนี้มองเธอด้วยสายตารังเกียจและถอยห่างออกไปแล้ว
“เฮ้...ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณเล่นละครอะไรกันอยู่ แต่ผมไม่ขอยุ่งด้วย” อาไท่ส่ายหน้า พึมพำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนบ้า “แล้วเจอกัน” เขาพูดจบก็รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
“กู้เทียนอี้! คุณกล้าดียังไง!” เธอหันกลับมาทุบไหล่ชายหนุ่มอย่างลืมตัว “คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!”
“ผมทำอะไรครับ” เขายังคงตีหน้าซื่อ “ผมก็แค่บอกว่าอยากจะคุยกับคุณ”
“คุณทำมากกว่านั้นเยอะ!”
“อ้อ?” เขาพูดพลางก้าวเข้ามาหาเธอช้า ๆ เหมือนนักล่าที่กำลังต้อนเหยื่อให้จนมุม “แล้วผมทำอะไรอีกล่ะ”
“คุณ...คุณทำให้เขาคิดว่าเรา...เรามีซัมติงกัน” เธอพูดเสียงสั่นขณะถอยห่างจากแผงอกของเขา
“ซัมติงอะไรครับ”
เขาเลียริมฝีปากตัวเองช้า ๆ รอยยิ้มของเขาเหมือนหมาป่าที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อถูกเขาต้อนจนแผ่นหลังชิดกับกำแพงเย็นเฉียบอีกครั้ง
“ถ้าคุณยังจะให้ฉันอธิบายอีกล่ะก็...” เธอหอบหายใจเฮือกเมื่อแขนแกร่งของเขาวาดมารวบเอวเธอเข้าไปหา “คุณจะทำอะไร!”
“ก็ไหน ๆ ก็ถูกกล่าวหาแล้ว ผมก็ควรจะทำตัวให้ ‘เหมาะสม’ สมกับข้อกล่าวหาหน่อย ใช่ไหมล่ะ” เขากระซิบชิดริมฝีปากของเธอ
“กู้เทียนอี้...” เธอครางชื่อเขาออกมาอย่างอ่อนแรง “ปล่อยฉัน”
“นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ เหรอ”
มือแกร่งเริ่มลูบไล้ขึ้นลงบนแผ่นหลังบอบบางอย่างเชื่องช้า ปลุกความร้อนในกายให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง หลินซีจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำหมึกคู่นั้น รู้ดีว่าคำพูดใด ๆ ก็ตามที่ออกจากปากเธอในตอนนี้ จะถูกเขาใช้เป็นข้ออ้างเล่นเกมกับเธอต่อไปอย่างแน่นอน
“โอเค ฉันยอมยอมแล้ว” ในที่สุดเธอก็ยอมแพ้ บอกพลางถอนหายใจยาวด้วยความหน่ายใจ
กู้เทียนอี้จ้องมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งราวกับจะอ่านใจ ก่อนจะยอมคลายวงแขนออก “เข้ามาข้างในก่อนสิ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะกลับบ้าน” ถึงแม้ว่าร่างกายส่วนลึกจะร่ำร้องอยากตอบตกลงใจจะขาด
“ดื่มกันสักแก้ว”
“ฉันรู้ว่า ‘ดื่มแก้วหนึ่ง’ ของคุณหมายถึงอะไร”
“คุณยอมไปดื่มกับไอ้หนุ่มนั่น แต่กลับปฏิเสธผมเหรอ?” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวขึ้น ความขบขันในแววตาหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงความหงุดหงิดฉุนเฉียว
“ก็คงงั้นค่ะ” เธอพยักหน้า “แต่คุณก็ทำมันพังไปแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ ฉันจะกลับบ้าน”
“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ”
“ค่ะ” เธอยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คุณกู้เทียนอี้”
เธอหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไป แต่เขากลับคว้าแขนเธอไว้
“คุณจะไปจริง ๆ เหรอ”
เธอจ้องมองใบหน้าที่อ่านไม่ออกของเขาแล้วถอนหายใจ “คุณไม่อยากให้ฉันไปจริง ๆ เหรอคะ”
เขาไม่ตอบ เพียงแต่จ้องมองกลับมานิ่ง ๆ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวตลกที่กำลังแสดงละครลิงให้เขาดู
“งั้น...ฉันไปจริง ๆ แล้วนะคะ” หลินซีตัดสินใจก้าวถอยหลังช้า ๆ
“ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณคิดว่าตัวเองต้องการ” กู้เทียนอี้ยักไหล่ แต่สายตายังคงจับจ้องที่เธอไม่วาง “ถึงแม้ว่า...ผมจะไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ ก็ตาม”
“อะไรนะคะ” เธอสับสนไปหมดแล้ว
“ลาก่อน” เขาโค้งคำนับเล็กน้อย เป็นการแสดงละครที่ยียวนกวนประสาทที่สุด
“เดี๋ยวนะคะ...”
“คุณไปได้แล้ว”
“แต่...” เธอได้แต่ส่ายหน้า “โอเคค่ะ...ลาก่อน”
“อย่าวิ่งตามไอ้หนุ่มนั่นเร็วนักล่ะ เดี๋ยวจะดูไม่งาม”
“เรื่องของฉัน!” เธอพึมพำใต้ลมหายใจขณะหมุนตัวเดินจากมา รู้สึกหงุดหงิดจนแทบบ้า
“แต่ผมอยากใส่ใจ”
เสียงของเขาลอยตามหลังมา แต่เธอไม่สนใจอีกต่อไป เธอรีบจ้ำอ้าวไปยังรถของตัวเอง ในหัวหมุนคว้าง เธอไม่รู้เลยว่าการเผชิญหน้าเมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ก็คือ การหนีออกมาจากผู้ชายคนนั้นคือการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดแล้ว
กู้เทียนอี้คือความเร่าร้อนชั่วข้ามคืนที่เธอรู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อม คือรสชาติอันตรายที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วอาจจะทำให้รสชาติอื่นจืดชืดไปเลย เขาคือมาตรฐานที่สูงเกินไปจนอาจจะไม่มีผู้ชายดี ๆ คนไหนเทียบได้อีก เพราะสิ่งหนึ่งที่เธอรู้ดี...
กู้เทียนอี้...ไม่ใช่ผู้ชายที่จะยอมลงหลักปักฐานกับใคร
เสียงของเขาขาดหายไป เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับไม่อยากให้เธอเห็นความผิดหวังบนใบหน้า หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เป็นความรู้สึกผิดและอึดอัดที่ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง “คุณเจฟ...ฉัน...ฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลยค่ะ” เธอเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว รู้สึกทั้งซาบซึ้งในความหวังดีและละอายใจในเวลาเดียวกัน “คือ...ขอบคุณนะคะสำหรับความรู้สึกดี ๆ แต่เรื่องมัน...เฮ้อ...ค่ะ ฉันจะลองโทรหาเขาดู” เธอส่งยิ้มบาง ๆ ที่ดูฝืดเฝื่อนให้ชายหนุ่มก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาจากกระเป๋าถืออย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วเย็นเฉียบไล้ไปตามหน้าจอ ลังเล หัวใจเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไปหมด ทั้งความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ บวกกับความรู้สึกผิดต่อผู้ชายแสนดีที่นั่งอยู่ตรงหน้า แต่สุดท้ายเธอก็กดโทรออกไปยังเบอร์ของกู้เทียนอี้จนได้&nb
“คุณสนุกจริง ๆ เหรอครับ” แววตาของเขาเต็มไปด้วยคำถาม “คุณมาที่นี่กับผมเพราะว่าคุณอยากจะอยู่กับผมจริง ๆ หรือเพราะเหตุผลอื่น” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ขอโทษครับ ผมรู้ว่าผมอาจจะรุกเร็วเกินไป” “ฉัน...ไม่รู้จะพูดยังไงดี” “ผมว่าคุณเป็นคนน่ารักมากนะคุณรู้ไหม” เขายิ้มให้เธอ เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น แต่กลับฉายแววเศร้าสร้อยอย่างประหลาด “แต่ผมก็รู้ว่าใจของคุณไม่ได้อยู่ตรงนี้ ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่อยู่ในใจคุณ และคงจะไม่มีวันเป็นได้” เขาหัวเราะเบา ๆ กลบเกลื่อน “ฟังดูเหมือนพวกพระรองในนิยายเลยใช่ไหมล่ะ” “ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นล่ะคะ” เธอถามกลับไปเสียงเบา รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า ทั้งเจ็บ ทั้งชา ทั้งรู้สึกผิด “เพราะว่าผมเห็น” เขามองเธอด้วยแววตาที่เข้าใจ “ผมเห็นความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในแววตาของคุณ ผมสัมผัสได้ถึงมันได้ ผม
หลินซีใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเตรียมตัวสำหรับเดตกับเจียสือ มันไม่ใช่แค่การแต่งตัว แต่มันคือการสร้างตัวตนใหม่ ซึ่งเป็นตัวตนของผู้หญิงที่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่ ผู้หญิงที่ไม่ได้จมอยู่กับอดีต ผู้หญิงที่ไม่ได้รอคอยใคร เธอเลือกชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่ดูสดใสและเป็นกันเอง แต่งหน้าบาง ๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ และที่สำคัญที่สุดคือการพยายามสลัดความคิดถึงผู้ชายอีกคนออกไปให้หมดสิ้นแม้ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม คืนนี้ฉันจะสนุก ฉันจะเปิดใจ ฉันจะให้โอกาสตัวเอง และให้โอกาสเจฟ เธอบอกกับตัวเองในกระจก แม้ว่าลึก ๆ แล้วจะยังคงรู้สึกเหมือนกำลังทรยศความรู้สึกที่แท้จริงก็ตาม ที่บาร์ในค่ำคืนนี้คึกคักและเต็มไปด้วยสีสัน แสงไฟสลัว ๆ จากโคมไฟดีไซน์เก๋ส่องกระทบผนังอิฐเปลือย เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์จังหวะเนิบนาบดังคลอเบา ๆ สร้างบรรยากาศที่ทันสมัยและผ่อนคลาย มันช่างแตกต่างจากร้านอาหารฝ
ความผิดหวังระลอกใหญ่ซัดเข้ามาจนรู้สึกจุก แต่เธอก็รีบปรับสีหน้า แล้วกดรับสายอยู่ดี อย่างน้อยก็เป็นการตอกย้ำให้ตัวเองเห็นว่ายังมีผู้ชายคนอื่นบนโลกใบนี้นอกเหนือจากกู้เทียนอี้ “ฮัลโหลค่ะ” เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะปั้นเสียงให้ร่าเริงกลบเกลื่อนความผิดหวังที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ “คุณหลินซี? นี่ผมเจฟพูดนะ” “อ้อ...คุณเจฟ” เธอตอบกลับไป พยายามจะฟังดูสดใส “เป็นยังไงบ้างคะ” “ก็ดีครับ” เสียงชายหนุ่มฟังดูอบอุ่นและจริงใจ “คือผม...เอ่อ...ไม่ทราบว่าคืนนี้คุณพอจะว่างไปหาอะไรดื่มหรือทานข้าวเย็นด้วยกันไหมครับ” “เอ๋...คืนนี้เหรอคะ” เธอพูดพลางเหลือบมองเจิ้งลี่ซาที่กำลังทำหน้าอยากรู้อยากเห็นสุดขีดอยู่ข้าง ๆ “ฉันยังไม่แน่ใจเลยค่ะว่า...” เธอจงใจลากเสียง แต่เมื่อเห็นเพื่อนรักส่งสายตาดุ ๆ มาให้เธอก็รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “เอ่อ...ได้สิคะ ฉันว่าเราอาจจะไปหาอะไรดื่มกันก็ได้” “จริงเหรอครับ เยี่ยมไปเลย” เธอได้ยินความดีใจที่ไม่ได้เสแสร้งในน้ำเสียงจากคนปลายสาย และความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ก็แล่นเข้ามาในใจ แต่ก็ตามมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นี่
“ต่อไปเราก็จะเขียน ‘ขาย’ ตัวแกไง” “โอ๊ย...” หลินซีทำหน้าแหยอีกครั้ง “แล้วฉันจะเขียนอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้บ้างที่ไม่ทำให้ฉันดูเหมือนยัยเพ้อเจ้อน่าเบื่อคนหนึ่งน่ะ” “มาดูกันหน่อยซิ” เจิ้งลี่ซาพูดพลางใช้นิ้วเคาะริมฝีปากตัวเองเบา ๆ อย่างใช้ความคิด ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับขณะที่จ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ “เราจะโปรโมทเพื่อนรักสุดสวยของฉันคนนี้ยังไงดีนะ อืม...เอาแบบนี้ไหม ‘สวัสดีค่ะ! กำลังมองหาคนรู้ใจอยู่รึเปล่าคะ? สาวโสด (หน้าตาดีแถมอารมณ์ดีด้วยนะ!) รักสนุก ชอบออกไปเจอโลกกว้าง ชอบผจญภัย แต่ก็มีความสุขกับการได้ขลุกอยู่กับหนังสือดี ๆ สักเล่ม หรือดูหนังสนุก ๆ อยู่บ้านเหมือนกัน กำลังตามหาหนุ่มหล่อ คุยเก่ง มีอารมณ์ขัน ที่พร้อมจะเปิดโลกใหม่ ๆ ไปด้วยกัน ชอบดูหนัง ฟังเพลง รักเสียงดนตรีเหมือนกันยิ่งดีเลยค่ อ้อ...แล้วก็...ถ้าชอบดูกีฬาบ้างก็อาจจะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ!’”&nbs
รุ่งเช้าเริ่มต้นขึ้นด้วยความเงียบเหงาที่ผิดปกติ หลินซีนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ถ้วยกาแฟในมือเย็นชืดไปนานแล้ว สายตาจับจ้องออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ความตื่นเต้นเร้าใจจากข้อเสนอทริปเมืองไทยของกู้เทียนอี้ค่อย ๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกว่างเปล่าและความไม่แน่นอนที่กัดกินใจ เขาเงียบไป หลังจากที่เธอตอบตกลงเขาก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย ไม่มีข้อความ ไม่มีการโทรหา ไม่มีการยืนยันแผนการเดินทาง ความเงียบงันนี้มันช่างน่าทรมาน มันตอกย้ำความจริงที่ว่าสำหรับเขาแล้ว เธออาจจะเป็นเพียงแค่ตัวเลือก แค่ใครสักคนที่เขาคิดจะพาไปสนุกด้วยแก้เหงา แล้วถ้าเขาเปลี่ยนใจล่ะ ถ้าเขาเจอตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า เธอก็คงจะถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง...ฉันจะมานั่งรอเขาอยู่แบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องพิสูจน์ให้ตัวเองเห็นว่าฉันไม่ได้สิ้นหวังขนาดนั้น...ความคิดนั้นดังชัดขึ้นมาในหัว 







