LOGIN“เฮ้...คืนนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”
อาไท่เอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเขายืนรอรับค่าจ้างอยู่ในห้องครัวด้านหลัง กลิ่นอาหารที่ยังคงอบอวลอยู่ปะปนกับเสียงล้างจานที่ดังมาจากด้านใน หัวหน้าทีมผมแดงเพลิงที่ตอนนี้ดูอิดโรยกว่าตอนหัวค่ำหลายเท่ากำลังนับธนบัตรใส่มือพวกเขาแต่ละคน
“อืม...มันหนักกว่าที่คิดไว้เยอะเลย” หลินซียอมรับพลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เขา “แต่ก็ถือว่าโอเคนะคะ” เธอกล่าวพลางมองเงินที่อยู่ในมือ “ทำงานไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ขนาดนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าเหนื่อย”
“ใช่ไหมล่ะ” เขาพยักหน้าเห็นด้วย “พวกคนรวยนี่มีเงินเยอะกว่าสมองซะอีก”
“ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งเลย” เธอหัวเราะตาม แต่ในใจกลับนึกไปถึงใบหน้าหล่อเหลาของกู้เทียนอี้ หลังจากเหตุการณ์ในห้องทำงาน ตลอดช่วงที่เหลือของงาน เขาทำราวกับว่าเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ ไม่แม้แต่จะชายตามองมาสักนิด ซึ่งมันก็ทำให้เธอหงุดหงิดใจอย่างน่าประหลาด
“ว่าแต่...ข้อเสนอที่ว่าจะไปหาอะไรดื่มกัน ยังอยู่ไหม” อาไท่ส่งยิ้มขาวสะอาดมาให้เธอพลางโบกปึกธนบัตรในมือ “ข่าวดีนะ ฉันเพิ่งได้เงินมา คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“ว้าว...เสี่ยไท่ใจป้ำจังเลย” เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางพยักหน้า “ตกลงแต่ขอโทรบอกเพื่อนร่วมห้องแป๊บนึงนะว่าอาจจะกลับดึกหน่อย”
“ได้เลย” เขายิ้มกริ่มอย่างพอใจแล้วสอดแขนเข้ามาคล้องแขนเธออย่างเป็นกันเอง “งั้นเดี๋ยวฉันเดินไปเป็นเพื่อนข้างนอก จะได้คุยโทรศัพท์สะดวก ๆ ดีไหม”
“เป็นแผนที่ดีมากเลย” เธอยิ้มตอบ “ฉันชอบผู้ชายมีแผน”
“ถ้างั้นเธอจะต้องชอบฉันมากแน่ ๆ” เขาขยิบตาให้เธอขณะที่พาเธอเดินออกจากประตูข้างที่เชื่อมกับสวนด้านนอก
หลินซีอมยิ้ม กำลังจะหาคำคม ๆ มาตอบกลับเขา แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ร่างทั้งร่างก็เดินไปชนเข้ากับแผงอกกว้างของใครบางคนที่ปรากฏขึ้นจากความมืดอย่างกะทันหัน มันแข็งแกร่งราวกับกำแพงอิฐ
“โอ๊ย!”
เธอร้องออกมาพร้อมกับเซถอยหลัง แต่ก่อนที่จะล้มลงไปกองกับพื้น อาไท่ก็คว้าแขนเธอไว้ได้ทัน
“เฮ้! เป็นอะไรรึเปล่า”
“มะไม่...”
หลินซีอุทานออกมาพลางเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอบคุณ แต่แล้วคำพูดทั้งหมดก็พลันหายไปในลำคอ ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีน้ำหมึกคู่คมกริบของกู้เทียนอี้ที่ยืนกอดอกพิงกำแพง มองพวกเขาด้วยสายตาที่เย็นชาและอ่านไม่ออก
“หัดระวังทางที่เดินบ้าง” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบและราบเรียบจนน่ากลัว “ไม่อย่างนั้นอาจจะเจ็บตัวได้...ทั้งตัวเอง...และคนอื่น”
“ขอโทษค่ะ” เธอพึมพำ พยายามสะกดความรู้สึกอยากจะตวาดกลับไปให้ลึกสุดใจ
คนบ้าอะไรมายืนขวางทางออกพนักงานกัน!
“จะไปไหนกัน” เขายกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วเหรอ”
“อ้อ พวกเราเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟน่ะครับ ไม่ต้องเก็บกวาด” อาไท่ตอบกลับอย่างอารมณ์ดี โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นบรรยากาศมาคุที่แผ่ออกมาจากเจ้าของบ้าน “นี่แหละข้อดีของงานนี้ ได้เงินง่าย ๆ สบาย ๆ”
“ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกน่า” เธอรีบแย้งเบา ๆ
“ดูท่าทางพวกเธอสองคนจะสนิทกันดีนะ”
กู้เทียนอี้ยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และหลินซีก็พลันนึกขึ้นมาได้อย่างเฉียบพลัน
มันแปลก...แปลกมากที่เขามายืนรออยู่ตรงทางออกของพนักงานแบบนี้ เขามาทำอะไรที่นี่? หรือว่า...เขากำลังรอเจอเธอ?
ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว แต่เธอก็รีบปัดมันทิ้งไป ถ้าเขาอยากจะคุยกับเธอจริง ๆ เขาก็คงทักทายเธอในงานเลี้ยงไปแล้ว ไม่ใช่มาทำเป็นอากาศธาตุแบบนี้
“เราเพิ่งเจอกันคืนนี้เองครับ” อาไท่ยังคงตอบอย่างซื่อ ๆ โดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว “แต่กำลังจะไปหาอะไรดื่มกัน เพื่อทำความรู้จักให้มากขึ้นน่ะครับ” เขาส่งสายตาหวาน ๆ มาให้เธอ และเธอก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มตอบ
“อ้อ...จริงเหรอ” น้ำเสียงของกู้เทียนอี้ฟังดูเบาหวิวแต่กลับแฝงไปด้วยความคมกริบ “แต่ผมเกรงว่าคงต้องเป็นโอกาสหน้านะ”
“คะ? ทำไมล่ะคะ” เธอถามกลับไปทันที ความหงุดหงิดที่อดกลั้นไว้เริ่มเดือดปุด ๆ อยู่ในใจ
“ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” เขาจ้องหน้าเธอตรง ๆ สายตาคมกริบคู่นั้นกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าช้า ๆ ก่อนจะมาหยุดที่ดวงตาของเธออีกครั้ง “เกี่ยวกับ ‘งาน’ ที่คุณทำในคืนนี้”
“งานอะไรเหรอคะ” เธอถามกลับไป พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“ผมไม่ค่อยประทับใจผลงานของคุณในคืนนี้เท่าไหร่” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นทางการและเย็นชาราวกับผู้บริหารระดับสูงกำลังประเมินงานลูกน้อง “ผมรู้สึกว่าคุณขาดความใส่ใจในรายละเอียด และผมอยากจะหารือเรื่องจรรยาบรรณในการทำงานของคุณ ก่อนที่เรื่องนี้จะถึงหูหัวหน้างานของคุณ”
“คุณว่าอะไรนะ!” หลินซีกรามแทบค้าง “นี่คุณล้อเล่นใช่ไหม!”
“เดี๋ยก่อนครับ...” อาไท่มองหน้าหญิงสาวสลับกับกู้เทียนอี้อย่างสับสน “นี่เธอรู้จักเจ้าของบ้านเหรอหลินซี แล้วทำไมไม่บอกฉันก่อนล่ะ” ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างไม่ไว้ใจ “หรือว่า...เธอถูกส่งมาสอดแนมพวกเรา”
“นายพูดเรื่องอะไร!” เธอขมวดคิ้ว “ฉันจะไปสอดแนมใครทำไมกัน!”
“หลินซี ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ” กู้เทียนอี้แทรกขึ้นมา น้ำเสียงของเขาทั้งนุ่มนวลและตัดพ้อ ราวกับเธอเพิ่งจะทำร้ายหัวใจเขาอย่างแสนสาหัส “เพื่อนใหม่ของคุณไม่สมควรจะรู้ความจริงเหรอ”
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป... ราวกับเป็นคนละโลก... ความวุ่นวาย ความแตกสลาย และแรงดึงดูดอันตรายที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สุดสัปดาห์นั้น บัดนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หลินซีกลับมาสู่โลกแห่งความจริง อพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่ใช้ร่วมกับเพื่อนรัก กองต้นฉบับนิยายที่เขียนไม่ถึงไหน และบัญชีธนาคารที่ว่างเปล่า ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ยกเว้นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือหัวใจของเธอเอง ความเจ็บปวดจากการถูกเจิ้งลี่ซาหักหลังค่อย ๆ ตกตะกอนลงกลายเป็นความเงียบงันที่น่าอึดอัดซึ่งคั่นกลางระหว่างพวกเธอ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปไหน มันยังคงสดชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน นั่นก็คือคือเสียงกระซิบของผู้ชายคนนั้น “ผมชอบคุณ”&nb
“คุณแฉะไปหมดแล้ว เพื่อผมคนเดียวเลยใช่ไหม” เขาเร่งจังหวะปลายนิ้วให้เร็วขึ้น จนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านอยู่แนบชิดกับเขา “คุณก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” “คุณเฮ่าหราน...” เธอครางชื่อเขาออกมาอย่างทรมาน “ครับ...ที่รัก” เขาถอยห่างจากเธอเล็กน้อย แล้วรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้น ต้องการจะเปลือยเปล่าเคียงข้างเธอ ต้องการจะรู้สึกถึงผิวเนื้อที่แนบสนิทกัน ต้องการจะเข้าไปอยู่ในตัวเธอใจจะขาด ทันทีที่ร่างกายเป็นอิสระ เขาก็อุ้มร่างของเธอขึ้นมาวางลงบนเตียงอีกครั้ง จัดตำแหน่งตัวเองอยู่เหนือร่างของเธอ แล้วสอดแทรกกายเข้าไปในตัวหล่อนจนสุดลำในคราวเดียว “อ๊า...” “อืมมม...คุณรู้สึกดีมาก” เขาคำรามชิดริมฝีปากเธอขณะเริ่มขยับกา
“ครับ นั่นก็เข้าใจได้” เขาลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่คุยกับกู้เทียนอี้ให้เธอฟังดีไหม แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำ เขาไม่อยากจะให้เธอคิดว่าเขากำลังไปยุ่งเรื่องของหลินซี และทำให้เธอกังวลไปมากกว่านี้ “ช่างเถอะค่ะ” จู่ ๆ เจิ้งลี่ซาก็เปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานหยดมาให้ รอยยิ้มที่สั่นคลอนปราการแห่งความอดทนสุดท้ายของเขาจนพังทลายลงไม่เป็นท่า และเพียงเท่านั้นฉู่เฮ่าหรานก็ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงชั่วพริบตาเขาก็โน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มของเธออย่างโหยหา เป็นจูบที่อัดแน่นไปด้วยความต้องการที่ถูกเก็บกดไว้เนิ่นนาน “อืม...” เสียงหวานครางออกมาเบา ๆ ในลำคอ เมื่อลิ้นร้อนของเขาแทรกผ่า
ทันทีที่หลินซีและกู้เทียนอี้เดินแยกไปยังห้องพักของหลินซี โลกทั้งใบของฉู่เฮ่าหรานก็หดแคบลงเหลือเพียงผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา...เจิ้งลี่ซา “ผมหวังว่าคุณคงจะไม่ว่าอะไรนะ แต่เทียนอี้ให้เราพักห้องคู่ด้วยกัน แล้วก็ให้หลินซีพักห้องเดี่ยวน่ะ” เขาเอ่ยขึ้น พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่หัวใจในอกกำลังเต้นระรัวด้วยความยินดีระคนประหม่า “แต่ถ้าคุณอยากจะนอนกับหลินซีมากกว่า ผมสลับห้องกับเธอได้เสมอ” “แล้วคุณอยากจะทำอย่างนั้นเหรอคะ” เจิ้งลี่ซาส่งยิ้มที่เขาอ่านไม่ออกมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ทั้งยั่วยวนและท้าทายในเวลาเดียวกัน และในวินาทีนั้นเอง สิ่งที่เขาอยากจะทำทั้งหมดก็คือรวบร่างเธอเข้ามาจูบให้หายคิดถึง “คุณก็รู้ว่าผมอยากได้อะไรมากกว่า” เขาตอบเสียงพร่า มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขจนต้องแอบเลื่อนไปบีบสะโพกกลมกลึงของเธอเบา ๆ ผ่านเนื้อผ้า&n
“หลินซีเป็นเพื่อนสนิทของเจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานเริ่มต้นอย่างระมัดระวัง “และฉันก็...พยายามจะทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับลี่ซามันดีขึ้นอยู่ ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่าเจตนาของนายที่มีต่อหลินซีคืออะไร แต่จากที่ฉันรู้จักเธอมา เธอเป็นคนดีและค่อนข้างจะไร้เดียงสา ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะมาเล่นเกมด้วย ฉันไม่อยากจะเห็นเธอต้องเจ็บปวด...เพื่อตัวเธอเอง และเพื่อลี่ซาด้วย” “หมายความว่านายกำลังจะบอกให้ฉันอยู่ห่าง ๆ จากหลินซีงั้นสิ” น้ำเสียงของกู้เทียนอี้ทุ้มต่ำลงอย่างน่ากลัว แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มหยัน “ก็ไม่เชิง” เขาถอนหายใจ “ฉันก็แค่ไม่อยากเห็นเธอเสียใจ” “เข้าใจแล้ว” กู้เทียนอี้พยักหน้าช้า ๆ “นั่นก็ไม่ใช่เจตนาของฉันเหมือนกัน” เขายกมือขึ้นเคาะผนังเบา ๆ “แต่ฉันชื่นชมนะที่นายกล้ามาคุยกับฉันตรง ๆ แบบนี้ นายคงจะแคร์เจิ้งลี่ซามากจริง ๆ ถึงได้ห่วงใยเพื่อนของเธอขนาดนี้” “ใช่ ฉันแคร์...แคร์มาก” ฉู่เฮ่าหรานยอมรับโดยไม่ปิดบังก่อนถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นเหตุผลจริง ๆ ที่นายเรียกฉันมาคุยคืออะไร” รอยยิ้มหยันบนใบหน้าของกู้เทียนอี้จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมื
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พายุอารมณ์ลูกใหญ่จะพัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิตของหลินซีและเจิ้งลี่ซา ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้า ในเช้าวันเดียวกันนั้น บรรยากาศภายในคฤหาสน์ของกู้เทียนอี้ยังคงผ่อนคลายและเต็มไปด้วยเสียงหยอกล้ออย่างเป็นกันเองของเหล่าสมาชิกครอบครัวและเพื่อนสนิทที่เดินทางมาถึงก่อน แต่สำหรับฉู่เฮ่าหรานแล้ว ความสงบสุขนั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าความกระวนกระวายใจของเขาเท่านั้น เขายืนมองออกไปนอกหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า รอคอยการมาถึงของคนเพียงคนเดียว... “กู้หยุนเฟิง! หยุดเลยนะ!” เสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของฉู่ลี่เหยียนดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวฟาดแขนสามีเบา ๆ “คุณน่ารังเกียจที่สุด!” “ผมไม่ได้น่ารังเกียจนะ ผมคือ ‘พี่ลิ้นดุ’ ของคุณต่างหาก” กู้หยุนเฟิงแกล้งหยอกภรรยาต่อหน้าทุกคน จนฉู่เฮ่าหรานต้องแสร้งทำเป็นครางออกมาอย่างระอา “กู้หยุนเฟิง นายพอเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มกริ่มให้น้องเขย ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้...กู้เทียนอี้ “ฉันไม่อยากจะนึกภาพนายกับน้องสาวฉันในทางนั้นเลยจริง ๆ” “ฉันมั่นใจเลยว่านายไม่อยาก” กู้หย







