LOGINภายในห้องโถงกว้างใหญ่ที่ประดับด้วยกระจกเงาจนดูเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด แสงจันทร์สีนวลสาดส่องลงมากระทบพื้นหินอ่อนจนเป็นเงาสะท้อน แต่อากาศกลับเย็นเยียบราวกับไร้ซึ่งชีวิต
“เราหนีไปจากที่นี่กันเถอะ”
น้ำเสียงทุ้มพร่ากระซิบอยู่ข้างหู ใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นร้อนที่เจือด้วยกลิ่นวิสกี้จาง ๆ เป่ารดผิวแก้มจนเธอขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“หนีไปไหนคะ” เสียงหวานถามกลับราวกับอยู่ในภวังค์
“หนีไป แล้วเริ่มต้นกันใหม่ ลืมทุกอย่างที่นี่ ลืมว่าคุณเป็นใคร ผมเป็นใคร ไปในที่ที่มีแค่เราสองคน คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
“ค่ะ”
เธอตอบรับไปโดยอัตโนมัติ หัวสมองว่างเปล่า ถูกครอบงำด้วยน้ำเสียงของเขาจนสิ้นเชิง แต่ส่วนลึกในใจกลับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งว่า...นี่ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่! นี่มันอันตราย!
“ดีมาก”
แล้ววงแขนแกร่งก็รวบร่างเธอเข้าไปแนบชิดจากด้านหลัง รวดเร็วและหนักแน่นจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว แผงอกร้อนผ่าวของเขาสัมผัสกับแผ่นหลังของเธอผ่านเนื้อผ้าบางเบา กลิ่นโคโลญจน์หรูหราผสมกับกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาลอยเข้าจมูก มอมเมาสติสัมปชัญญะของเธอจนแทบเลือนหายไปในห้วงภวังค์
ดวงตาสีน้ำหมึกลุ่มลึกคู่นั้นจับจ้องใบหน้าของเธอผ่านเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่เบื้องหน้า เงาสะท้อนที่นับไม่ถ้วนซ้อนทับกันจนสุดลูกหูลูกตา ในกระจกนั้นเธอเห็นแววตาตื่นตระหนกและสับสนของตัวเองตัดกับแววตาที่แน่วแน่และทรงอำนาจจนน่ากลัวของเขา
“ตราบใดที่คุณเก็บความลับของผมไว้ได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่น”
“คุณ...รักฉันรึเปล่าคะ” เธอถามเสียงแผ่ว เป็นคำถามโง่ ๆ ที่หลุดออกจากปากไปโดยที่สมองไม่เคยอนุญาต
ดวงตาคมกริบคู่นั้นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววขบขันที่ซ่อนไม่มิด และมุมปากหยักได้รูปก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เซ็กซี่จนน่าใจหาย
“ให้ผมแสดงให้คุณเห็นดีกว่านะ ว่าผม ‘รัก’ คุณมากแค่ไหน...หลินซี”
สิ้นคำพูดนั้นเขาก็บดเบียดริมฝีปากร้อนผ่าวลงมาอย่างดูดดื่ม เป็นจูบที่ไม่ได้เริ่มต้นอย่างอ่อนโยน แต่คือการช่วงชิงและประกาศความเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์แบบ รสจูบที่ร้อนแรงและเรียกร้องทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอเหือดหายไปในพริบตา ร่างกายอ่อนยวบราวกับขี้ผึ้งลนไฟ หลอมละลายอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งแต่เพียงเท่านั้น
“ผมต้องไปแล้ว...หลินซี”
เขาพูดขึ้นอย่างกะทันหันขณะผละออกไป ทิ้งไว้เพียงความเย็นเยียบที่เข้ามาแทนที่ไออุ่นของเขาอย่างรวดเร็ว ความมืดรอบกายดูเหมือนจะหนาทึบขึ้น กลืนกินร่างของเขาไปในพริบตา
หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น ความกลัวที่จะถูกทอดทิ้งเข้าครอบงำอย่างรุนแรง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ! คุณเทียนอี้! อย่าเพิ่งไป!” เธอร้องออกมาอย่างอ้อนวอนเมื่อเห็นร่างสูงของเขากำลังเลือนหายไปในความมืด ร่างกายของเธอเริ่มเย็นเฉียบ หนาวเหน็บจนเข้ากระดูก
“อย่าไปนะ!”
เธอกรีดร้องสุดเสียง เสียงกรีดร้องของเธอเองที่ดังสะท้อนก้องอยู่ในความฝัน ก่อนที่มันจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับแสงสว่างจ้าที่กำลังสาดส่องเข้ามาแยงตา
เฮือก!
เปลือกตาของหลินซีเปิดโพลงขึ้น หญิงสาวหอบหายใจอย่างหนักหน่วงราวกับเพิ่งวิ่งหนีจากอะไรมาสุดชีวิต เหงื่อเย็น ๆ ผุดซึมอยู่บนหน้าผาก เธอค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปยังผนังห้องสีครีมที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า กองเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนเก้าอี้ หนังสือที่วางกองอยู่ข้างเตียง นี่คือห้องของเธอ ห้องเช่าธรรมดา ๆ ไม่ใช่ห้องโถงกระจกอันโอ่อ่าในความฝัน
เธอกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
หัวใจในอกยังคงเต้นรัวเหมือนกลองชุด แต่ความหนาวเหน็บเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว เหลือเพียงความร้อนรุ่มที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ทั่วเรือนร่าง เป็นความร้อนที่เกิดจากความปรารถนาที่น่าอับอาย
ริมฝีปากของเธอยังคงรู้สึกอุ่นซ่าน...ชา...และบวมเจ่อเล็กน้อย...ราวกับรสจูบอันแสนเร่าร้อนของเขายังคงติดตรึงอยู่ไม่จางหาย เธอยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง และภาพรอยยิ้มร้ายกาจของเขาก็ปรากฏขึ้นมาชัดเจนในความมืด
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป... ราวกับเป็นคนละโลก... ความวุ่นวาย ความแตกสลาย และแรงดึงดูดอันตรายที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สุดสัปดาห์นั้น บัดนี้ดูเหมือนจะเป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หลินซีกลับมาสู่โลกแห่งความจริง อพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ที่ใช้ร่วมกับเพื่อนรัก กองต้นฉบับนิยายที่เขียนไม่ถึงไหน และบัญชีธนาคารที่ว่างเปล่า ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ยกเว้นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นั่นคือหัวใจของเธอเอง ความเจ็บปวดจากการถูกเจิ้งลี่ซาหักหลังค่อย ๆ ตกตะกอนลงกลายเป็นความเงียบงันที่น่าอึดอัดซึ่งคั่นกลางระหว่างพวกเธอ แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจางหายไปไหน มันยังคงสดชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน นั่นก็คือคือเสียงกระซิบของผู้ชายคนนั้น “ผมชอบคุณ”&nb
“คุณแฉะไปหมดแล้ว เพื่อผมคนเดียวเลยใช่ไหม” เขาเร่งจังหวะปลายนิ้วให้เร็วขึ้น จนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอสั่นสะท้านอยู่แนบชิดกับเขา “คุณก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหมล่ะ” “คุณเฮ่าหราน...” เธอครางชื่อเขาออกมาอย่างทรมาน “ครับ...ที่รัก” เขาถอยห่างจากเธอเล็กน้อย แล้วรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้น ต้องการจะเปลือยเปล่าเคียงข้างเธอ ต้องการจะรู้สึกถึงผิวเนื้อที่แนบสนิทกัน ต้องการจะเข้าไปอยู่ในตัวเธอใจจะขาด ทันทีที่ร่างกายเป็นอิสระ เขาก็อุ้มร่างของเธอขึ้นมาวางลงบนเตียงอีกครั้ง จัดตำแหน่งตัวเองอยู่เหนือร่างของเธอ แล้วสอดแทรกกายเข้าไปในตัวหล่อนจนสุดลำในคราวเดียว “อ๊า...” “อืมมม...คุณรู้สึกดีมาก” เขาคำรามชิดริมฝีปากเธอขณะเริ่มขยับกา
“ครับ นั่นก็เข้าใจได้” เขาลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่คุยกับกู้เทียนอี้ให้เธอฟังดีไหม แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำ เขาไม่อยากจะให้เธอคิดว่าเขากำลังไปยุ่งเรื่องของหลินซี และทำให้เธอกังวลไปมากกว่านี้ “ช่างเถอะค่ะ” จู่ ๆ เจิ้งลี่ซาก็เปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะส่งรอยยิ้มหวานหยดมาให้ รอยยิ้มที่สั่นคลอนปราการแห่งความอดทนสุดท้ายของเขาจนพังทลายลงไม่เป็นท่า และเพียงเท่านั้นฉู่เฮ่าหรานก็ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัว เพียงชั่วพริบตาเขาก็โน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มของเธออย่างโหยหา เป็นจูบที่อัดแน่นไปด้วยความต้องการที่ถูกเก็บกดไว้เนิ่นนาน “อืม...” เสียงหวานครางออกมาเบา ๆ ในลำคอ เมื่อลิ้นร้อนของเขาแทรกผ่า
ทันทีที่หลินซีและกู้เทียนอี้เดินแยกไปยังห้องพักของหลินซี โลกทั้งใบของฉู่เฮ่าหรานก็หดแคบลงเหลือเพียงผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา...เจิ้งลี่ซา “ผมหวังว่าคุณคงจะไม่ว่าอะไรนะ แต่เทียนอี้ให้เราพักห้องคู่ด้วยกัน แล้วก็ให้หลินซีพักห้องเดี่ยวน่ะ” เขาเอ่ยขึ้น พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่หัวใจในอกกำลังเต้นระรัวด้วยความยินดีระคนประหม่า “แต่ถ้าคุณอยากจะนอนกับหลินซีมากกว่า ผมสลับห้องกับเธอได้เสมอ” “แล้วคุณอยากจะทำอย่างนั้นเหรอคะ” เจิ้งลี่ซาส่งยิ้มที่เขาอ่านไม่ออกมาให้ เป็นรอยยิ้มที่ทั้งยั่วยวนและท้าทายในเวลาเดียวกัน และในวินาทีนั้นเอง สิ่งที่เขาอยากจะทำทั้งหมดก็คือรวบร่างเธอเข้ามาจูบให้หายคิดถึง “คุณก็รู้ว่าผมอยากได้อะไรมากกว่า” เขาตอบเสียงพร่า มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขจนต้องแอบเลื่อนไปบีบสะโพกกลมกลึงของเธอเบา ๆ ผ่านเนื้อผ้า&n
“หลินซีเป็นเพื่อนสนิทของเจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานเริ่มต้นอย่างระมัดระวัง “และฉันก็...พยายามจะทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับลี่ซามันดีขึ้นอยู่ ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่าเจตนาของนายที่มีต่อหลินซีคืออะไร แต่จากที่ฉันรู้จักเธอมา เธอเป็นคนดีและค่อนข้างจะไร้เดียงสา ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะมาเล่นเกมด้วย ฉันไม่อยากจะเห็นเธอต้องเจ็บปวด...เพื่อตัวเธอเอง และเพื่อลี่ซาด้วย” “หมายความว่านายกำลังจะบอกให้ฉันอยู่ห่าง ๆ จากหลินซีงั้นสิ” น้ำเสียงของกู้เทียนอี้ทุ้มต่ำลงอย่างน่ากลัว แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้มหยัน “ก็ไม่เชิง” เขาถอนหายใจ “ฉันก็แค่ไม่อยากเห็นเธอเสียใจ” “เข้าใจแล้ว” กู้เทียนอี้พยักหน้าช้า ๆ “นั่นก็ไม่ใช่เจตนาของฉันเหมือนกัน” เขายกมือขึ้นเคาะผนังเบา ๆ “แต่ฉันชื่นชมนะที่นายกล้ามาคุยกับฉันตรง ๆ แบบนี้ นายคงจะแคร์เจิ้งลี่ซามากจริง ๆ ถึงได้ห่วงใยเพื่อนของเธอขนาดนี้” “ใช่ ฉันแคร์...แคร์มาก” ฉู่เฮ่าหรานยอมรับโดยไม่ปิดบังก่อนถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นเหตุผลจริง ๆ ที่นายเรียกฉันมาคุยคืออะไร” รอยยิ้มหยันบนใบหน้าของกู้เทียนอี้จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมื
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พายุอารมณ์ลูกใหญ่จะพัดกระหน่ำเข้ามาในชีวิตของหลินซีและเจิ้งลี่ซา ย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้า ในเช้าวันเดียวกันนั้น บรรยากาศภายในคฤหาสน์ของกู้เทียนอี้ยังคงผ่อนคลายและเต็มไปด้วยเสียงหยอกล้ออย่างเป็นกันเองของเหล่าสมาชิกครอบครัวและเพื่อนสนิทที่เดินทางมาถึงก่อน แต่สำหรับฉู่เฮ่าหรานแล้ว ความสงบสุขนั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าความกระวนกระวายใจของเขาเท่านั้น เขายืนมองออกไปนอกหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า รอคอยการมาถึงของคนเพียงคนเดียว... “กู้หยุนเฟิง! หยุดเลยนะ!” เสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของฉู่ลี่เหยียนดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวฟาดแขนสามีเบา ๆ “คุณน่ารังเกียจที่สุด!” “ผมไม่ได้น่ารังเกียจนะ ผมคือ ‘พี่ลิ้นดุ’ ของคุณต่างหาก” กู้หยุนเฟิงแกล้งหยอกภรรยาต่อหน้าทุกคน จนฉู่เฮ่าหรานต้องแสร้งทำเป็นครางออกมาอย่างระอา “กู้หยุนเฟิง นายพอเถอะ” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มกริ่มให้น้องเขย ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้...กู้เทียนอี้ “ฉันไม่อยากจะนึกภาพนายกับน้องสาวฉันในทางนั้นเลยจริง ๆ” “ฉันมั่นใจเลยว่านายไม่อยาก” กู้หย







