“แค่ก ๆ!” เจียงจิ่วไอโขลกอย่างแรง ก่อนจะกลั้นขำพลางใช้ศอกกระทุ้งคนข้าง ๆ “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
“ทำไม หรือข้าพูดผิดตรงไหน?” อวี๋ฮุยชี้ไปที่ร่างของท่านอ๋องเจ้านายตน เสื้อผ้าที่สวมอยู่คับติ้วจนแทบปริแตก เผยให้เห็นแผงอกกว้าง เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจียงจิ่ว เจ้าดูให้ดี ๆ เสื้อผ้าที่ท่านอ๋องใส่อยู่เป็นของท่านอ๋องหรือ? บาดแผลของท่านอ๋องก็ได้คุณหนูหลิวช่วยรักษา เสื้อผ้าก็ไม่ใช่ของท่านอ๋อง นั่นไม่ได้แปลว่าท่านอ๋องถูกคุณหนูหลิวเห็นจนหมดเปลือกแล้วหรือไง? ท่านอ๋องไม่เคยแม้แต่จะจับมือหญิงใด แต่คราวนี้กลับถูกผู้หญิงลูบคลำไปทั่ว ความบริสุทธิ์ผุดผ่องป่นปี้หมดแล้ว!”
“แค่ก ๆ!” เจียงจิ่วไหล่สั่นระริก แทบจะหลุดหัวเราะพรืดออกมา
“พูดพอหรือยัง?” เสียงกัดฟันกรอดของท่านอ๋องดังขึ้นจากฝั่งตรงข้าม
ยังดีที่แสงไฟในห้องสลัว จึงช่วยปกปิดใบหน้าดำทะมึนของเขาไว้ได้
อวี๋ฮุยได้รับสายตาคมกริบดุจคมมีด ก็รีบก้มหน้าลงทันที “ทะ... ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาจะล้อเลียนท่าน กระหม่อมแค่รู้สึกว่า... รู้สึก...”
“หุบปาก!” เยี่ยนซื่อหยวนตวาดเสียงต่ำ ไม่อยากฟังเขาพูดต่อแม้แต่คำเดียว “ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!”
“...พ่ะย่ะค่ะ” อวี๋ฮุยรีบลุกขึ้นจากพื้นอย่างคล่องแคล่ว แล้วกระโดดหนีออกจากห้องไปราวกับกระต่าย
“ท่านอ๋อง โปรดระงับโทสะ ระวังแผลด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เจียงจิ่วกลั้นขำพลางเอ่ยปลอบ กลัวท่านอ๋องของตนจะพาลโกรธมาถึงตน จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ท่านอ๋อง ท่านยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่ คืนนี้กลับไปเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“พวกเจ้ากลับไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ของข้า แล้วนำมาที่นี่”
“ท่านอ๋อง ท่านจะพักอยู่ที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” เจียงจิ๋วกวาดตามองไปรอบห้อง อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “นี่น่าจะเป็นห้องพักของคุณหนูหลิวกระมัง? ท่านกับนาง...”
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าถูกนางเห็นจนหมดเปลือกแล้วหรือ? เช่นนั้นข้าจะให้นางรับผิดชอบ จะมีอันใดไม่เหมาะสม?” เยี่ยนซื่อหยวนเอ่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“เอ่อ...” เจียงจิ่วหางตาและมุมปากกระตุกพร้อมกัน
ที่แท้ท่านอ๋องของพวกเขาก็ถูกตาต้องใจคุณหนูหลิวเข้าแล้วนี่เอง!
พอลองคิดดูให้ดี ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม คุณหนูหลิวเป็นถึงบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพเจิ้นกั๋ว นับว่าเหมาะสมคู่ควรกับท่านอ๋องของพวกเขาอยู่มาก
เพียงแต่...
จู่ ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว เมื่อนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านยังจำได้หรือไม่ ดูเหมือนองค์ชายรองจะเคยตรัสว่ามีใจให้บุตรสาวแม่ทัพหลิว...”
คงไม่ใช่กระมัง ท่านอ๋องของพวกเขาจะแย่งสตรีกับหลานชายตัวเองหรือ?
ร่างของเยี่ยนซื่อหยวนชะงัก แม้ความมืดในห้องจะช่วยอำพรางสีหน้าไปได้มาก แต่ก็ยังพอมองออกว่าเขามีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างรุนแรง
เจียงจิ่วใจเต้นรัว ขณะที่กำลังกระสับกระส่าย ก็ได้ยินเสียงเย็นชาดังขึ้น “มีใจ? เขามีใจมาตั้งหลายปีแล้ว หากเป็นรักแท้ ป่านนี้คุณหนูหลิวจะยังมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่หรือ?”
เจียงจิ๋วก้มหน้าลูบจมูก
ถือเสียว่าเขาไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน ขืนพูดยั่วโมโหเจ้านาย คนที่เหนื่อยก็คือเขาเอง
“ท่านอ๋อง ดึกมากแล้ว ท่านพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปเก็บข้าวของ ก่อนฟ้าสางจะกลับมา”
“อืม” เยี่ยนซื่อหยวนหลับตาลง อาจเพราะรู้ตัวว่าตนเองเสียอาการไปบ้าง
......
เมื่อก่อนเวลาออกไปข้างนอก หลิวชิงซวี่มักจะกะเวลาให้ทันตอนเสี่ยวหวงอิงมาส่งข้าวพอดีแล้วค่อยกลับวัด
แต่วันนี้ต่างออกไป พอคิดว่ามีบุรุษอยู่ในกุฏิ นางก็ปฏิเสธคำเชิญชวนอันอบอุ่นจากหลายที่ แล้วห่ออาหารรีบกลับวัดทันที
แต่กว่าคนงานยุ่งอย่างนางจะกลับมาถึงวัด ก็ปาเข้าไปช่วงไก่ขันแล้ว
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง นางก็ต้องตกใจกับเงาร่างดำทะมึนสองร่างที่เพิ่มเข้ามา
“พวกเจ้าเป็นใคร?!”
“พวกเขาเป็นลูกน้องข้าเอง”
“ท่านมีลูกน้องด้วยหรือ?” นางขมวดคิ้วหันไปมองชายหนุ่มที่เอ่ยปาก
“ข้าน้อยเจียงจิ่ว (อวี๋ฮุย) คารวะคุณหนูหลิว ขอบพระคุณคุณหนูหลิวที่ยื่นมือเข้าช่วยชีวิตนายท่านซื่อ บุญคุณใหญ่หลวงนี้ยากจะลืมเลือน นับจากนี้ไป พวกเรายินดีติดตามนายท่านซื่อ รับใช้คุณหนูหลิว ยอมทำงานหนักเยี่ยงวัวควายโดยไม่มีคำบ่น” เจียงจิ่วและอวี๋ฮุยคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้านาง
มุมปากของหลิวชิงซวี่กระตุก
ลำบากพวกเขาจริง ๆ พูดประโยคยาวเหยียดขนาดนี้ยังพร้อมเพรียงกันได้
นางไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เดินไปที่โต๊ะจุดตะเกียงน้ำมันก่อน แล้วหรี่ตามองสำรวจพวกเขาทีละคน ทั้งสองดูอายุราว ๆ ยี่สิบปี คนที่ชื่อเจียงจิ่วดูผอมบางสุภาพ เหมือนบัณฑิต ส่วนคนที่ชื่ออวี๋ฮุยผิวคล้ำ ร่างกายกำยำกว่าเจียงจิ่วเล็กน้อย ดูซื่อ ๆ
สุดท้าย นางเบนสายตาไปทางบุรุษหลังประตู แล้วถามว่า “นี่คือที่ของข้า ท่านแน่ใจนะว่าจะให้พวกเขาอยู่ได้?”
“พวกเขามีที่ไป ไม่ต้องให้เจ้ากังวล” เยี่ยนซื่อหยวนสบตานาง เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ค่อยยังชั่วหน่อย” หลิวชิงซวี่หันกลับไปมองสองคนนั้น “ลำพังข้าวก็ไม่พอกินอยู่แล้ว ขืนนับพวกเจ้าเข้าไปด้วย ก็มีแต่จะต้องอดตาย”
อวี๋ฮุยมองนาง ถามด้วยความสงสัย “คุณหนูหลิว ท่านเป็นถึงคุณหนูตระกูลหลิว ยังต้องอดมื้อกินมื้ออีกหรือขอรับ?”
หลิวชิงซวี่โบกมือ ส่งสัญญาณให้พวกเขาลุกขึ้น
จากนั้นนางก็นั่งลงที่โต๊ะ มองไปรอบห้อง ก่อนจะเอ่ยว่า “บอกตามตรง ข้าถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ แม้ข้าจะมีศักดิ์เป็นคุณหนูจวนแม่ทัพ แต่ข้ามีน้องสาวคนหนึ่งที่อยากแต่งงานกับรัชทายาทใจแทบขาด ทว่ารัชทายาทกลับไม่แลนาง ยืนกรานจะแต่งกับข้า ท่านพ่อของข้าเพื่อให้น้องสาวคนเล็กได้เป็นพระชายารัชทายาท จึงประกาศออกไปว่าข้าป่วยหนัก แล้วส่งข้ามาพักฟื้นที่นี่”
ที่บอกเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพราะไว้ใจ แต่เพราะพูดไปก็ไม่มีผลกระทบอะไร อีกอย่างเมื่อวานรัชทายาทมาที่วัด นายท่านซื่อของพวกเขาก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับรัชทายาทไปแล้ว
“ในเมื่อแม่ทัพหลิวไม่อยากให้ท่านแต่งกับรัชทายาท ท่านก็ไม่ต้องแต่งสิขอรับ” อวี๋ฮุยเอ่ยกลั้วหัวเราะ
หลิวชิงซวี่เม้มปาก ไม่รับคำ
แต่อวี๋ฮุยทำราวกับไม่เห็นความเย็นชาที่นางจงใจแสดงออก ยังคงถามต่อกลั้วหัวเราะ “คุณหนูหลิว ที่ท่านไม่แต่งกับรัชทายาท เป็นเพราะมีชายในดวงใจแล้วใช่หรือไม่?”
ได้ยินดังนั้น หลิวชิงซวี่ก็ปรายตามองเขา “ทำไม?”
อวี๋ฮุยอ้าปากจะพูดต่อ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงกระแอมเย็นชาดังมาจากหลังประตู
สันหลังเขาสะท้านเฮือก รีบหัวเราะแหะ ๆ “ไม่ทำไมขอรับ ข้าน้อยแค่ถามดูด้วยความอยากรู้เท่านั้น”
เจียงจิ่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก รีบเดินเข้าไปลากเขาออกมา “พอได้แล้ว อย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหนูหลิวกับนายท่านซื่อเลย”
มองส่งร่างของพวกเขาหายวับไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว หลิวชิงซวี่ขมวดคิ้วแน่น
พูดบ้าอะไร? อะไรคืออย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของนางกับนายท่านซื่อ?
นางหันไปมองชายหนุ่มหลังประตู
กลับเห็นเขาหลับตานิ่งสงบ ราวกับไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
นางลุกจากโต๊ะ เดินไปนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเขา
ข้างขาเขามีห่อผ้าเพิ่มมาหนึ่งห่อ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็นของที่ลูกน้องสองคนนั้นเอามาให้
“ทำไมพวกเขาไม่มารับท่านออกไปด้วยล่ะ?”
เยี่ยนซื่อหยวนลืมตาขึ้น ขนตายาวงอนหนาเปิดขึ้นเผยให้เห็นประกายตาดำขลับลึกล้ำดุจสระน้ำที่ชวนให้จมดิ่ง
“ลงนามสัญญาแล้ว ย่อมต้องรักษาสัญญา”
“อืม ดูท่าท่านจะเป็นคนรักษาคำพูดใช้ได้ ไม่เสียแรงที่ข้าเสี่ยงชีวิตช่วยท่านไว้ รักษาตัวให้ดี รอท่านช่วยข้าหาเงินได้ครบ ข้าก็จะไม่ให้ท่านเสียเปรียบ” หลิวชิงซวี่จงใจหลบสายตาเขา ปากก็เอ่ยถ้อยคำสวยหรูดูใจกว้างไปตามมารยาท
ไม่รู้ทำไม ยิ่งเขามีแรงมากขึ้น รังสีอำมหิตก็ดูจะรุนแรงตามไปด้วย นางอธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก ทั้งที่นางเป็นนายจ้าง แต่เวลาสบตาเขา ในใจกลับเกิดความรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาดื้อ ๆ เหมือนกำลังเตือนนางว่า ให้พยายามอยู่ร่วมกับเขาอย่างสันติ อย่าได้ไปล่วงเกินคนผู้นี้เข้า
เยี่ยนซื่อหยวนไม่ตอบ หลับตาลงอีกครั้ง
จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น แต่การกลับเมืองหลวงทั้งที่บาดเจ็บไม่สะดวกอย่างยิ่ง หากมีผู้ไม่หวังดีล่วงรู้ เกรงว่าจะฉวยโอกาสซ้ำเติม แทนที่จะกลับไปหาเรื่องใส่ตัว สู้รักษาตัวอยู่ข้างกายนางเสียดีกว่า
หลิวชิงซวี่ชี้ไปที่ห่อผ้าข้างขาเขา ถามว่า “ในนี้คืออะไร?”
“เสื้อผ้า”
“ของท่านหรือ?” เห็นเขาไม่ลืมตา นางจึงยื่นมือไปเปิดดู ข้างในเป็นเสื้อผ้าจริง ๆ นางมองชุดดำอำพรางกายบนตัวเขาที่แทบจะปริแตก แล้วหลุดปากถาม “ทำไมไม่ให้พวกเขาช่วยเปลี่ยน?”
“ลืม”
“...” ใบหน้าของนางมืดครึ้มลงเล็กน้อย
“เจ้าช่วยข้าเปลี่ยนหน่อย”
“...” หน้านางยิ่งดำคล้ำมากกว่าเดิม
หนึ่งก้านธูปผ่านไป ตะเกียงน้ำมันดับลง ห้องตกอยู่ในความมืด
หลิวชิงซวี่ยืนอยู่ข้างเตียง ในมือถือกางเกงตัวโคร่ง กัดฟันจ้องมองเงาร่างบนเตียง “นี่ท่านช่วยให้ความร่วมมือหน่อยได้หรือไม่? ขืนยังลีลาชักช้าเชื่อไหมว่าข้าจะโยนท่านออกไป!”
“ขยับไม่ได้” ชายหนุ่มทำท่าจะก้มเอว แต่แล้วก็ส่งเสียง ‘ซี้ด’ ออกมา
“พอแล้ว ท่านไม่ต้องขยับแล้ว!” หลิวชิงซวี่กลั้นความรู้สึกอยากกระอักเลือดแล้วตวาดเบา ๆ ก่อนจะนั่งลงสวมขากางเกงให้เขาทีละข้าง
ตอนนี้เริ่มนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ไม่น่าให้เขาลงนามสัญญาจ้างงานบ้าบอนั่นเลย นี่นางรับลูกน้องที่ไหนมา นี่มันรับท่านปู่มาบูชาชัด ๆ!
อาจเพราะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ขุ่นเคืองถึงขีดสุดของนาง เยี่ยนซื่อหยวนจึงให้ความร่วมมือดีขึ้น อย่างน้อยเขาก็ผูกเชือกกางเกงเอง
ความแค้นเคืองในใจของหลิวชิงซวี่บดบังทุกสิ่ง ต่อให้ตรงหน้าจะเป็นชายงามล่มเมือง หรือชายงามผู้นี้จะมีหุ่นที่ทำให้เลือดกำเดาพุ่ง นางก็มองข้ามไปจนสิ้น
นางใช้ฉากกั้นแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ปูผ้าห่มลงบนพื้นในช่องว่างนั้น ขณะที่เตรียมจะ ‘เชิญ’ คนไปนอนพื้น จู่ ๆ ชายหนุ่มที่นั่งตัวตรงอยู่ขอบเตียงก็เอ่ยขึ้น “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ”
“...?!” นางพลันตวัดสายตาถลึงจ้องเขาอย่างดุดัน
“เจ้าพาข้าไป”
น้ำเสียงที่ไม่เกรงใจสักนิดราวกับกำลังออกคำสั่ง ทำเอานางโกรธจริง ๆ แล้ว “ทำไม กลัวตกหลุมส้วมหรืออย่างไร! ท่านแค่เจ็บขา ไม่ได้ขาขาด ไปส้วมแค่นี้มันไม่ถึงตายหรอก!”
นางตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้ถ้าลูกน้องสองคนของเขามาอีก จะให้พวกนั้นหิ้วตัวเขาออกไป!
บุรุษตัวปัญหาคนนี้ นางไม่เอาแล้ว!
ดวงตาดำลึกคู่นั้นของชายหนุ่มปรายมองนางอย่างเย็นเยียบ ราวกับไม่พอใจยิ่งกว่านาง “หรือเจ้ายังอยากจะช่วยข้าเปลี่ยนกางเกงอีก?”
หลิวชิงซวี่แทบกระอักเลือด
......
คืนนี้ หลิวชิงซวี่เหนื่อยยิ่งกว่าคืนก่อน
จนทำให้คนที่เคยชินกับการนอนกลางวันอย่างนาง พอเสี่ยวหวงอิงมาส่งข้าวเช้าก็เริ่มนอนต่อทันที
ส่วนบุรุษในห้อง นางก็คร้านจะสนใจ ยกกับข้าวให้เขาหมด อาหารที่ห่อกลับมาเมื่อคืนก็ยัดเยียดให้เขาไปจนเกลี้ยง จุดประสงค์คือไม่อยากให้เขามากวนใจ
แต่ยังไม่ทันถึงเวลาอาหารกลางวัน จู่ ๆ เสี่ยวหวงอิงก็เรียกนางจากหน้าประตู
นางสะดุ้งตื่น ลืมตาขึ้นมองท้องฟ้าดูเวลา ยังไม่ถึงเวลากินข้าว จึงถามออกไปอย่างหงุดหงิด “มีเรื่องอะไร?”
“คุณหนูใหญ่ องค์ชายรองรออยู่ที่นอกลาน บอกว่าอยากพบท่านเจ้าค่ะ อีกอย่างคุณหนูรองก็มาด้วย นางมาพร้อมกับองค์ชายรองเจ้าค่ะ”
“...”
สีหน้าของหลิวชิงซวี่พลันเย็นชาลง
การที่หลิวหยวนอินมาหานางไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ในเมื่อวานนี้องค์รัชทายาทเสด็จมา ด้านนอกวัดเองก็มีคนของจวนตระกูลหลิวอยู่ หลิวหยวนอินย่อมต้องทราบข่าวเป็นแน่
แต่องค์ชายรองมาหานางทำไม?
ในความทรงจำ เจ้าของร่างเดิมรู้จักกับองค์ชายรอง แต่ก็แค่ผิวเผินแบบพยักหน้าทักทายกันเท่านั้น
แล้วองค์ชายรองโผล่มาพร้อมกับหลิวหยวนอิน นี่มันเล่นละครฉากไหนกันอีก?
นิ่งคิดครู่หนึ่ง นางก็ตะโกนบอกไปทางประตู “ให้พวกเขาไปรอที่ศาลาในสวน เดี๋ยวข้าจะตามไป”
เสี่ยวหวงอิงขานรับด้านนอก แล้วเดินจากไป
หลิวชิงซวี่ลงจากเตียงสวมรองเท้า ขณะจัดเสื้อผ้า หางตาก็เหลือบไปเห็นฉากกั้น นางเม้มปาก ไม่สนใจว่าเขาจะตื่นอยู่หรือไม่ กดเสียงต่ำสั่งความว่า “ท่านอยู่เงียบ ๆ อย่าทำเสียงดังเชียว”
“มานี่”
เสียงทุ้มต่ำและแฝงความเย็นชาดังออกมาจากห้องเล็กหลังฉากกั้น
นางลังเลเล็กน้อย แต่ก็เดินเข้าไป
สบตากับดวงตาดำขลับที่ฉายแววเย็นเยียบ นางข่มความไม่พอใจ ถามว่า “มีอะไร?”
“เจ้าชอบองค์ชายรองหรือ?”
“ใครบอก?” นางกระตุกมุมปาก เกือบจะหลุดขำ “ท่านคิดว่าที่ข้าไม่อยากแต่งกับรัชทายาท เป็นเพราะองค์ชายรองหรือ?”
“ไม่ใช่หรือ?”
“ไม่ใช่กับผีน่ะสิ! ข้าไม่แต่งกับคนนี้ก็ต้องแต่งกับคนนั้นหรืออย่างไร? ไม่แต่งงานแล้วมันจะตายหรือ?” เมื่อเห็นแววตาของเขาทอประกายลึกล้ำราวกับมองเห็นนางเป็นตัวประหลาด และกำลังพินิจพิเคราะห์นางอย่างจริงจัง หลิวชิงซวี่ก็ยักไหล่พร้อมกับแค่นหัวเราะออกมาจริง ๆ “คิดไม่ถึงว่าบุรุษอย่างท่านจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านขนาดนี้ แต่เห็นแก่ที่ท่านเป็นลูกน้องข้า ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่า เรื่องแต่งงานไม่มีทางเกิดขึ้นกับข้าหรอก วันข้างหน้าไม่ว่าจะได้ยินอะไรมา ตราบใดที่เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของข้า ล้วนแต่เป็นเรื่องไร้สาระทั้งนั้น อนุญาตให้พวกท่านฟังเป็นเรื่องตลกได้ แต่อย่าได้เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจังเชียว”
เยี่ยนซื่อหยวนจ้องมองนางไม่วางตา แววตาจากที่ลึกล้ำพลันเปลี่ยนเป็นสว่างวาบ
แต่แล้วก็ถามขึ้นว่า “ไร้สาระ คืออะไร?”
“เอ่อ...” หลิวชิงซวี่อึ้งไปเล็กน้อย เพิ่งรู้ตัวว่าใช้คำศัพท์ข้ามภพ นางกระแอมเบา ๆ อธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “สาระก็คือแก่นสาร หากไร้แก่นสารจะเชื่อถือได้อย่างไร? ดังนั้น ‘ไร้สาระ’ ก็หมายความว่า พูดจาเหลวไหลเพ้อเจ้อนั่นแหละ”
เยี่ยนซื่อหยวนเม้มริมฝีปากบางแน่น แววตาที่ทอดมองใบหน้าของนางพลันลึกล้ำดำดิ่งลงอีกครา
หลิวชิงซวี่ทนสายตาแบบนั้นไม่ไหวจริง ๆ มันคมกริบและยากแท้หยั่งถึง ราวกับจะมองทะลุหนังกำพร้าเข้าไปศึกษาอวัยวะภายในของนาง นางยกมือจัดผมที่ปรกไหล่ ปล่อยให้ผมดำสยายไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเปิดประตูเดินออกไป
ยังคงเป็นที่ศาลาหลังเดิมเมื่อวาน
หลิวชิงซวี่ย่อกายคารวะองค์ชายรองเยี่ยนหรงไท่อย่างอ่อนแรง
ทว่าเข่านางยังไม่ทันย่อลง เยี่ยนหรงไท่ก็ปราดเข้ามาประคองนางไว้เสียก่อน “ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวง ซวี่เอ๋อร์ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
คำเรียกขานว่า ‘ซวี่เอ๋อร์’ นี้ทำให้หลิวชิงซวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้าของร่างเดิมสนิทสนมกับองค์ชายรองขนาดนี้เชียวหรือ? เหตุใดในความทรงจำของนางจึงแทบไม่มีเรื่องราวเหล่านี้อยู่เลยเล่า?
“ซวี่เอ๋อร์ สีหน้าเจ้าเหตุใดจึงดูย่ำแย่เพียงนี้? นี่เจ้าป่วยเป็นโรคอันใดถึงได้บั่นทอนร่างกายเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้เล่า? เหตุใดจึงไม่หาหมอรักษาตัวที่เมืองหลวง แต่กลับมาที่นี่แทน?”
นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความกังวลตรงหน้า ทว่าภายในใจกลับยิ่งขมวดคิ้วมุ่นหนักกว่าเดิม
ทว่าภายนอก นางยังคงตอบกลับอย่างมีมารยาทว่า “ขอบพระทัยองค์ชายรองที่ทรงห่วงใยเพคะ หม่อมฉันป่วยด้วยโรคประหลาดมาตั้งแต่เด็ก ช่วงนี้เพียงแต่อาการกำเริบขึ้นมาเท่านั้น ท่านพ่อได้เชิญท่านหมอมาตรวจดูแล้ว ท่านหมอแจ้งว่าโรคนี้จำเป็นต้องพักผ่อนรักษาตัวในที่สงบ ท่านพ่อจึงได้ส่งตัวหม่อมฉันมาอยู่ที่นี่เพคะ”
เยี่ยนหรงไท่มองสีหน้าซีดเซียวเหมือนคนป่วยของนางด้วยความโกรธเคือง “จวนแม่ทัพตั้งกว้างใหญ่ ไม่มีที่เงียบสงบเลยหรือไร ถึงต้องให้เจ้ามาอยู่ที่นี่? ข้าจากเมืองหลวงไปแค่ครึ่งปี คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะถูกโรคภัยรุมเร้าจนซูบซีดเพียงนี้!”
หลิวชิงซวี่ยกมือลูบหน้าตัวเอง
นางย่อมรู้สภาพของตนเองดี เมื่อวานเพื่อจะตบตาองค์รัชทายาท นางจึงจงใจทาบางอย่างไว้บนใบหน้า ซึ่งจนถึงป่านนี้ก็ยังไม่ได้ล้างออกเลยด้วยซ้ำ!
เพียงแต่ ปฏิกิริยาขององค์ชายรองตรงหน้านี้ จะเล่นละครตบตาเกินจริงไปหน่อยหรือไม่?