LOGIN“น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วละครับ”
“อืม” พิชานันท์พยักหน้าเห็นด้วยกับคนงาน จากนั้นก็ปีนขึ้นไปนั่งบนหลังเจ้าลาเต้อย่างคล่องแคล่ว พามันพุ่งทะยานเข้าไปในทุ่งหญ้าพร้อมกับร้องตะโกนบอกให้ชญานินรีบตามมา
ชญานินไม่รอช้า กระตุ้นเจ้าโซดาให้พุ่งตัวตามไปติดๆ การขี่ม้าในทุ่งหญ้ากว้างที่มีภูเขาสูงเป็นฉากหลังเช่นนี้ ทำให้รู้สึกฮึกเหิม ตื่นเต้น และปลอดโปร่งอย่างที่พิชานันท์พร่ำบอกจริงๆ เธอสนุกจนสั่งให้ม้าทะยานไปข้างหน้าเร็วขึ้นอีก
กระทั่งพากันมาถึงกลางทุ่งหญ้าโล่งๆ พิชานันท์จึงส่งสัญญาณมือให้หยุด ก่อนตะโกนถามชญานิน “มาแข่งกันไหม ใครจะเร็วกว่ากัน”
“เอาสิ” คนกำลังสนุกได้ที่พยักหน้ารับทันที
“เริ่มตรงนั้นนะ นับถึงสาม ใครถึงต้นไม้ใหญ่นั่นก่อนก็ชนะไปเลย”
ชญานินมองกอหญ้าสูงที่พิชานันท์ชี้เป็นจุดเริ่มต้นกับต้นไม้ใหญ่ติดรั้วหลังไร่ที่ถูกชี้เป็นเส้นชัย แล้วยกมือบอก “โอเค ถ้าพร้อมแล้วขิงก็ให้สัญญาณเลยนะ”
“ได้” พิชานันท์พยักหน้ารับ มองชญานินยิ้มๆ อยู่ครู่หนึ่ง ค่อยหันไปมองทางข้างหน้า สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มนับ “หนึ่ง สอง สาม!”
“ฮี่!!”
ม้าทั้งสองตัวออกตัวเกือบพร้อมกัน พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่มากขึ้นจากเมื่อครู่ ผลัดกันนำผลัดกันตามอยู่หลายครั้ง จนเลยครึ่งทางมาชญานินก็เป็นฝ่ายนำ แต่ไม่นานก็ตกเป็นรอง เพราะไม่คุ้นเคยพื้นที่ พิชานันท์ชำนาญทางมากกว่า เดี๋ยวเดียวก็กลับมานำอีกครั้ง และห้อม้าเร็วขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อเห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า
สุดท้ายพิชานันท์ก็เป็นฝ่ายชนะ
ส่วนชญานินพุ่งตามมาช้าเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“อีกนิดเดียว ก็จะชนะแล้วเชียว” ชญานินพูดเสียงหอบนิดๆ มือลูบแผงคอของเจ้าโซดาหายใจฟืดฟาดจากการวิ่งมาเหนื่อยๆ พอมันนิ่งลงแล้ว จึงหันมองรอบตัวอย่างสนใจ “ไร่ของขิงอยู่ติดเขาขนาดนี้เลยเหรอ นี่มันตีนเขาเลยนะ ที่ดินที่เสี่ยนั่นอยากได้ ใช่ตรงนี้หรือเปล่า”
“ใช่” พิชานันท์พยักหน้าชี้ไปทางชายป่ารกทึบใกล้ๆ “เสี่ยวงศกรอยากได้ที่ดินตรงนั้น รีสอร์ตของเขาก็อยู่ทางนั้น ถัดจากตรงนี้ไปนิดเดียว”
“ป่ารกขนาดนี้ เขาจะเอาไปทำอะไร ขยายรีสอร์ต?”
“ขยายความชั่วน่ะสิ! พ่อบอกว่าตีนเขาฝั่งโน้นมันชัน ไม่สะดวกขนของ แต่ที่ทางฝั่งเรานี่มันไม่ลาดชัน ขนของเข้าออกง่ายกว่า มันเลยอยากได้ไง”
หลังบอกในสิ่งที่รู้มาแล้ว สาวตัวเล็กก็กระตุ้นม้าเดินเข้าไปใกล้ชายป่า อยากไปดูว่ามันสะดวกกว่าตีนเขาท้ายไร่ของเสี่ยใหญ่ยังไง
แต่ยังไม่ทันได้ดูอะไร พวกเธอก็พลันได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากข้างในป่า จึงชะงักมองหน้ากันอย่างตกใจ แล้วรีบชักม้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่มีพงหญ้าขึ้นสูงเป็นที่กำบังพอดี
ไม่นานชายฉกรรจ์หลายคนก็ปรากฏตัวขึ้น ในมือมีปืนลูกซองกันทุกคน กลางแถวมีคนหาบกล่องขนาดใหญ่อยู่ พากันเดินเรียบไปตามตีนเขา มุ่งหน้าไปยังชายป่าอีกด้าน ที่เป็นที่ดินของเสี่ยวงศกร ลักษณะท่าทางไม่ใช่คนดีเลย ถ้าคนพวกนั้นพบว่าพวกเธอแอบดูอยู่ตรงนี้ ลูกซองที่เห็นคงลั่นออกมาทันทีแน่!
สองสาวพยายามซ่อนตัวให้นิ่งและเงียบที่สุด กลัวจะถูกพบตัวจนหัวใจเต้นแรงแทบจะทะลุออกมานอกอก เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้า พวกเธออดทนได้ดีจนพวกมันเดินผ่านไปโดยไม่รู้เลยว่ามีคนแอบดูอยู่
ทว่ายังไม่ทันได้โล่งออก ขณะที่พวกมันกำลังจะเดินหายลับไปแล้วนั้น สิ่งมีชีวิตที่มากับพวกเธอดันส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก
“ลาเต้!”
เป็นเจ้าลาเต้ร้องดังขึ้นพร้อมกับยกขาหน้าหนีงูตัวเขื่องที่กำลังแผ่แม่เบี้ยใส่มันอยู่!
พิชานันท์หน้าซีดเผือดทันตาเห็น ตกใจงูก็ตกใจ ตกใจที่ม้าร้องขึ้นมาในวินาทีสำคัญก็ด้วย เธอพยายามปลอบม้าให้สงบลงก่อนเสียงทางนี้จะไปดึงความสนใจของพวกที่เพิ่งเดินผ่านไป
“เสียงม้าที่ไหนน่ะ!”
“มีคนอยู่ตรงนั้น!!”
เสียงโหวกเหวกที่ดังมาจากชายป่าทำเอาสองสาวหน้าซีดกว่าเดิม
พวกมันรู้ตัวแล้ว!
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ชญานินรีบตะโกนบอกพิชานันท์ให้ชักม้ากลับเข้าไปในไร่ก่อน ไม่ว่ายังไงก็ต้องหนีให้ทัน
ทว่าพวกเธอยังเคลื่อนไหวช้าเกินไป...
ปัง!
“ฮี้!!/กรี๊ดดดดดด!”
ทั้งคนทั้งม้าร้องออกมาเสียงหลง เมื่อพวกมันยิงมาเฉียดจุดที่กำลังจะผ่านเพียงนิดเดียว เบียดเจ้าลาเต้แบบเผาขน ทำให้มันยิ่งตื่นตระหนก วิ่งเตลิดหนีไปอีกทางทันที พิชานันท์เองก็ตกใจจนไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้มันพาเตลิด ทางชญานินนั้นดีกว่าตรงที่ยังควบคุมม้าได้อยู่ แม้จะยากเต็มที แล้วในขณะที่เธอกำลังจะกระตุ้นม้าไปหาพิชานันท์นั่นเอง กระสุนอีกนัดก็ยิงออกมา
ปัง!
คราวนี้มันดังใกล้เข้ามาจนเจ้าโซดาตื่นตกใจ เกือบทำชญานินร่วงแล้ว ดีที่เธอดึงบังเหียนไว้แน่นมาก แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้น เมื่อมันสลัดเธอไม่พ้นหลังก็พาเตลิดไปทางตีนเขาด้วยกันซะเลย พุ่งแซงหน้าพวกพิชานันท์ไปอย่างเร็ว
เอาไม่อยู่แล้ว!
สองสาวได้แต่หมอบตัวลงกอดม้าไว้แน่น สายตาที่มองกันและกันสะท้อนความเป็นห่วงและหวาดกลัวกับเหตุการณ์ตรงหน้า พวกเธอไม่รู้จริงๆ ว่าชะตากรรมจากนี้จะเป็นเช่นไร จะรอดตายกันหรือเปล่า
คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ออกมาขี่ม้าเล่นก็มีเหตุให้ต้องหนีหัวซุกหัวซุน!
หนึ่งในคนที่ย้อนกลับมาตรงชายป่ามองสถานการณ์แล้วรีบบอกลูกพี่มัน “ม้าน่าจะพานังสองคนนั้นหนีเตลิดขึ้นเขาไปแล้วนะพี่”
“ตามไป! อย่าให้พวกมันหนีไปได้” สมยศ หัวหน้ากลุ่มลำเลียงของมาสั่งเสียงเหี้ยม วันนี้พวกเขาทดลองเส้นทางใหม่เป็นครั้งแรก เดิมทีคิดว่าเป็นงานง่ายๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นี่ดันมีคนมาเห็นเข้าพอดี จะไม่ให้เขาหัวเสียได้ไง ยังดีที่อีกฝ่ายเป็นแค่ผู้หญิงสองคน พวกเขาจำได้จัดการง่ายๆ หน่อย
“จะตามทันเหรอพี่ พวกมันขี่ม้าขึ้นไปนะ”
“ก็ทำให้ไม่มีสิวะ! ต่อให้ต้องขึ้นเขาลงห้วย วันนี้พวกมึงก็ต้องจับผู้หญิงสองคนนั้นกลับมาให้ได้!”
“แล้วของเราล่ะพี่”
“แบ่งคนครึ่งหนึ่งเอาของไปส่งตามเดิม ที่เหลือตามผู้หญิงพวกนั้นไปกับกู ไป!” สมยศสั่งจบก็หมุนตัววิ่งนำไปยังทิศทางที่เห็นม้าเตลิดขึ้นไปไวๆ เขามั่นใจว่าต้องตามทัน ป่าแถบนี้ทั้งรกทั้งทึบ คนยังไปมาลำบากมาก ประสาอะไรกับม้า ไม่นานเขาก็มองเห็นม้าตัวหนึ่งกำลังจะหายไปจากสายตา จึงยกปืนในมือขึ้นทันที
ปัง!
"เธอ...ปลอดภัยดีใช่ไหม"“คุณนินปลอยภัยดีครับ” พันรบตอบขณะสายตามองเจ้านายที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเป็นห่วง “ก่อนหน้านี้คุณนินกับคุณขิงหอมมาเฝ้าพ่อเลี้ยงอยู่ที่นี่จนค่ำ เพิ่งยอมให้คุณต้นไปส่งบ้านโน้นเมื่อตอนสามทุ่มนี่เองครับ”“ดีแล้ว ตอนนี้ไอ้ต้นอยู่ไหน”“เห็นว่าส่งคุณๆ เสร็จจะเลยไปตรวจไร่รอบดึกกับพวกอิศ พ่อเลี้ยงเลิกถามถึงคนอื่นได้แล้วครับ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง ปวดแผลมากหรือเปล่าครับ หมอว่าอาจจะปวดๆ ถ้าคืนนี้ไม่ดีขึ้นต้องไปโรงพยาบาล”“อืม ก็ปวดอยู่ แต่พอทนไหว” เตชทัตบอกเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้วถามต่อ “ที่ให้ไปตามสืบมาน่ะ ได้เรื่องหรือเปล่า”“คนที่ส่งพวกนั้นมา เป็นเสี่ยวงศกรไม่ผิดแน่ครับ คนของเราตามไปจนถึงรีสอร์ตมันเลย พ่อเลี้ยงอยากให้จัดการยังไง สั่งมาเลยครับ คนของเราพร้อมลงมือทันที”“จับตาดูไว้ก็พอ” เสียงเย็นชาสั่งออกมา “แล้วเพิ่มระดับคุมเข้มทั่วไร่ด้วย อย่าให้มีเรื่องแบบวันนี้เกิดขึ้นอีก”“ผมจัดการแล้วครับ” พันรบบอกด้วยสีหน้ารู้สึกผิดที่ไม่จัดการให้ดีแต่แรก พวกมันเลยสบช่องเข้ามาทำให้เจ้านายบาดเจ็บแบบนี้ โชคดีที่กระสุนนั่นไม่โดนจุดสำคัญ“เอาเถอะ” เตชทัตตัดบทหลังเห็นท่าทีคนสนิท เขารู้ว่า
แม่งเอ๊ย!เตชทัตสบถในใจเมื่อเห็นชญานินก้มหลบกระสุนเกือบไม่ทัน เขาชักปืนที่หยิบออกมาจากรถเมื่อกี้ขึ้นยิงสวนไปทางที่เห็นประกายไฟยามลั่นกระสุนของมันทันทีเมื่อพันรบเห็นเจ้านายเปิดฉากโต้กลับ เขาที่คว้าปืนออกจากรถมาไว้แล้วก็เข้าร่วมทันทีจากนั้นต่างฝ่ายต่างกระหน่ำยิงใส่อีกฝ่ายจนเสียงปืนดังสนั่น รถของชญานินยังตกเป็นเป้าของคนร้าย เธอจะขับออกไปก็ไม่ได้ จะลงรถก็ไม่ได้ ได้แต่ปิดหูไว้แน่นแล้วก้มตัวให้ต่ำที่สุดเพื่อหลบลูกปืน เตชทัตเห็นท่าไม่ดี ตะโกนบอกพันรบยิงขวางพวกมันไว้ให้ตนเข้าไปช่วยเธอออกมาจากรถก่อนเพราะการช่วยเหลือของพันรบ เตชทัตจึงสามารถพาชญานินลงมาจากรถได้ตามแผน พวกเขาย่อตัวต่ำวิ่งมาหลบหลังต้นไม้อีกครั้ง พอเขาหาร่องรอยบาดเจ็บบนตัวเธอไม่เจอถึงถอนใจบอก “อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวคนของผมก็มาแล้ว”ชญานินพยักหน้ารับเงียบๆ เนื้อตัวยังสั่นเทาไม่หาย นัยน์ตาคู่งามแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยด เธอแค้นใจเหลือเกิน เวลาเพียงไม่กี่วัน เธอถูกไล่ยิงแบบเอาถึงตายไปสองครั้งแล้วนี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือยังไง!หลังจากนั้นไม่นานคนของเตชทัตก็มาสมทบจริงๆ เสียงปืนที่เพิ่งซาลงดังสนั่นขึ้นอีกครั้งเหตุการณ์ตรงหน้าแทบจะเ
หลังเที่ยงชญานินเริ่มออกอาการอยากไปเดินดูในไร่ แต่จำได้ว่าเจ้าของเขาห้าม จึงแกล้งเดินผ่านโต๊ะทำงานเจ้าของไร่ไปยืนมองข้างนอกตาละห้อยบ่อยๆ เผื่อจะมีคนใจดียอมพาไปชมไร่ความพยายามของเธอเป็นผลในครั้งที่สาม เตชทัตคงทนมองเธอเดินไปเดินมาไม่ไหว เขาโทรสั่งให้พันรบมาเอางานที่เขาทำเสร็จแล้วไปดำเนินการต่อ เรียบร้อยแล้วถึงลุกขึ้นบอกชญานิน“ไปกัน”“ไปไหนคะ?” ถามเหมือนไม่รู้ แต่แววตากลับคาดหวังชัดๆเตชทัตอยากจะยิ้มเอ็นดู แต่กลัวอีกคนจะได้ใจ เลยตีหน้าตายบอก “ก็อยากออกไปเดินชมไร่ไม่ใช่เหรอ”“ได้เหรอคะ”“ตามมาสิ”เมื่อก้าวออกมาจากบ้านดินหอมถึงพบว่าแดดยังแรงอยู่ เตชทัตอดมองชญานินอย่างเป็นห่วงไม่ได้ แต่เธอกลับไม่กลัวแดดเลย ดูตื่นตาตื่นใจไปหมดตอนนี้ชญานินกำลังตื่นตาตื่นใจจริงๆ เธอมองต้นชาสีเขียวที่ปลูกเรียงเป็นแถวสุดลูกหูลูกตาอย่างนึกทึ่ง นี่เป็นผลงานของผู้ชายที่เดินอยู่ข้างๆ ทั้งหมดเลยหรือ เด็กคนนั้นบอกว่าเมื่อก่อนไร่นี้ก็เป็นไร่ชาคุณภาพดีทั่วไป พอเตชทัตมาสานงานต่อจากบิดาของเขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ บุกเบิกขยายพื้นที่เพิ่ม เอาชาสายพันธุ์ดีๆ มาปลูก จากที่ขายในประเทศก็ขยายตลาดส่งไปขายทั่วโลก สามปีกว่าเท่านั้
เวลาต่อมา หลังจัดการมื้อเช้าของตัวเองเสร็จ เตชทัตมองไปทางคนที่นัดแนะกันไว้ แล้วก็ต้องกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อเห็นชญานินรวบช้อนตามเขาทันที“เรียบร้อยแล้ว?”ชญานินดื่มน้ำให้เสร็จก่อน ค่อยตอบ “เรียบร้อยค่ะ เราไปกันเลยไหมคะ”“อืม ไปกัน”ตนุภัทรที่นั่งมองอยู่ตั้งแต่เตชทัตถามชญานินพลันเอ่ยถามขึ้น “นี่นัดแนะจะไปไหนกันอะ”“เข้าไร่ ขิงหอมไปด้วยกันไหม” ประโยคหลังเตชทัตถามพิชานันท์โดยตรง หญิงสาวก็ส่ายหน้าตอบทันที“ขิงขอบายค่ะ” เธอโตมาในไร่ชา เคยเข้าชมไร่เศรษฐกรมาก่อนแล้ว ให้ชญานินไปเปิดหูเปิดตาคนเดียวเถอะ และดูเหมือนคนชวนเองก็ไม่คิดว่าเธอจะไปด้วยอยู่แล้ว จึงบอกมาว่า“ถ้าเปลี่ยนใจก็ให้ไอ้ต้นพาไปนะ”พิชานันท์ได้ยินแบบนั้นยิ่งส่ายหน้าแรง “ไม่เปลี่ยนค่ะ ขิงไม่อยากไปกับนายนี่”“พูดจาให้มันดีๆ ซิ!” ตนุภัทรว่าหน้าหงิก“ฉันก็พูดจาดีๆ อยู่นี่ไง”“รวนเหรอ”“นายสิรวน!”เตชทัตถอนใจกับคู่กัดประจำไร่ ลุกขึ้นเรียกชญานิน “ไปเถอะ”“ไปค่ะ”เมื่อเห็นเตชทัตพาชญานินเดินเคียงกันออกไปแบบนั้น ตนุภัทรพลันหยุดเถียงกับพิชานันท์ เหลียวมองตามหลังสองคนนั้นไปด้วยสีหน้าแปลกใจพูดตรงๆ แล้วเขาแปลกใจตั้งแต่ได้ยินคำตอบของพี่ชายแล้
โชคดีที่เจ้าของโรงพยาบาลเป็นเพื่อนกับบิดาของสองหนุ่ม ทำให้ลดความยุ่งยากในการตรวจสองสาวไปพอสมควร ผลตรวจร่างกายของพวกเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชญานินต้องรอให้ครบสองอาทิตย์ ถึงจะถอดเฝือกที่แขนได้ ข้อเท้ายังคงงดใช้งานในระยะนี้ก่อน ส่วนพิชานันท์แค่ต้องระวังแผลใต้หน้าอก โดยสรุปแล้วทั้งสองคนไม่ต้องแอดมิทเมื่อเป็นเช่นนี้ สองหนุ่มจึงพาสองสาวขึ้นรถกลับไร่เศรษฐกรอย่างหมดห่วงกลับมาถึงไร่ ก็มานั่งคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกันอย่างจริงจัง ชญานินกับพิชานันท์เล่าเหตุการณ์โดยละเอียด พูดตรงกันว่าเห็นพวกมันกำลังขนของบางอย่างมา ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน และไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ไหน พอพวกมันรับรู้การอยู่ตรงนั้นของพวกเธอก็ลั่นกระสุนเข้าใส่ทันที“มานึกดีๆ แล้ว ดูเหมือนพวกมันกำลังจะเดินไปทางฝั่งรีสอร์ตของเสี่ยวงศกรเลยค่ะ”“ป่าแถบนี้ก็มีแต่มันที่กล้าเข้าไปบุกรุก” ตนุภัทรว่า“จะบอกว่าพวกมันเป็นพวกเดียวกับที่ไปเล่นงานเรากลางถนนในวันนั้น เป็นคนของคนที่ต้องการที่ดินท้ายไร่รุ่งรวินท์เหรอคะ” ชญานินถามขึ้นอย่างพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว “ในเมื่อรู้ว่าพวกมันเป็นใครแล้ว ทำไมเราไม่ไปจัดการพวกมันล่ะคะ”“เราทำอะไรพวกมัน
“ลุกไหวหรือเปล่า เป็นอะไรมากไหม” เตชทัตตีหน้าตายเดินไปหยิบผ้าขนหนูบนชั้นวางมายื่นให้เธอใช้คลุมตัว จากนั้นจึงถอยออกมามองด้วยสายตาอ่อนใจ ผู้หญิงอะไร ชอบหาเรื่องเจ็บตัวอยู่ได้“เจ็บไปหมดเลยค่ะ ลุกไม่ไหวด้วย” หญิงสาวสารภาพเสียงเบาขณะพยายามรวบสาบเสื้อใต้ผ้าคลุมเข้ามาให้ชิดกันมากที่สุด“ผมบอกว่าอย่าฝืนทำอะไรเกินตัว ทำไมไม่ฟังเลย”“อยากเช็ดตัวล้างหน้าน่ะค่ะ”“แล้วทำไงถึงลงไปนอนอยู่แบบนั้น” เขาถามไปแล้วในหัวพลันมีภาพผิวขาวเนียนโผล่มาให้ใจสั่น ขืนอยู่ในนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ คิดแล้วทำทันที วงแขนกำยำช้อนอุ้มร่างบางขึ้นมาโดยระวังไม่ให้ผ้าที่คลุมไว้หลุดออก“อ้ะ” คนถูกอุ้มดื้อๆ ตั้งท่าจะดิ้นให้เขาปล่อยลง แต่โดนมองด้วยสายตาดุๆ ก่อน“อยู่นิ่งๆ ระวังตัวเองหน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็ตกลงไปเจ็บอีกหรอก”ชญานินเม้มปากเถียง “ก็ฉันเห็นว่าพอจะช่วยตัวเองได้”“แล้วทำไมลงไปกองอยู่แบบนั้น” หลักฐานก็เห็นอยู่ทนโท่ ว่าเธอทำตัวเองเจ็บอีกแล้ว ดีแค่ไหนที่ไม่ได้หัวฟาดพื้นสลบไป“ก็...”“ไม่ต้องแก้ตัวแล้ว” เตชทัตเอ่ยขัดคนทำท่าจะเถียงต่อขณะวางร่างบางให้นั่งลงบนเตียง จากนั้นค่อยถอยออกมาถาม “ที่ล้มเมื่อกี้นี้เจ็บตรงไหนบ้าง ต้องเรียกห







