เสียงฝีเท้าเยื้องย่างเข้ามาด้วยความเบาหวิว มือเรียวกอบกุมกันแน่นเสียจนเปียกชื้น กลิ่นเครื่องหอมของไม้กฤษณาลอยกระทบเข้าโสตประสาทยิ่งเป็นเหตุให้จูฟางหรงประหม่า น่าแปลกที่หนนี้หลงโหย่วอี้มาเข้าห้องหอ ชาติก่อนเขายังหมางเมินไม่คิดเหยียบเข้ามาที่นี่แม้เพียงครึ่งก้าว
เพราะจูฟางหรงได้เรียนรู้รสชาติของการถูกอ๋องปีศาจเล่นงานมาแล้วหนหนึ่ง ครานี้นางย่อมไม่ต้องการเป็นปรปักษ์กับเขา หากสมรสพระราชทานล้มได้โดยง่ายนางไม่มีทางมานั่งเป็นปลาตากแห้งรอบที่สองเช่นนี้หรอก
จูฟางหรงจะขอใช้มารยาหญิงล่อหลอกเพื่อยืมมือเขากำจัดหอหงฮวาสุดชั่วช้าที่อยู่เบื้องหลังการตายของครอบครัวนางให้จงได้ หลังจากนั้นนางจะเขี่ยเขาทิ้งไปซะ
พรึบ!
จูฟางหรงสงบใจ เมื่อถูกปลดผ้าคลุมออก เปลือกตาบางช้อนขึ้นแช่มช้า นัยน์ตาแวววาวดั่งไข่มุกยามราตรีสบประสานกับนัยน์ตาคมปลาบดุจมีดดาบของบุรุษเบื้องหน้า
“ท่านอ๋อง”
เอ่ยปากไม่ทันไร ลำคอระหงก็ถูกมือหยาบระคายคว้าหมับอย่างไร้ความปรานี
“เจ้า…จงใจมาเป็นพระชายาของข้าเพราะมีเจตนาอื่นแอบแฝงใช่หรือไม่” หลงโหย่วอี้เอ่ยลอดไรฟัน น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกข่มขวัญ
ใบหน้าเกลี้ยงเกลายามนี้เริ่มแปรผันเป็นแดงก่ำเนื่องจากจูฟางหรงใกล้ขาดอากาศหายใจจากแรงบีบบี้ของเขาอยู่รอมร่อ
“คะ…แค่ก ท่านอ๋อง ท่านพูดเรื่องใดเพคะ”
จู่ ๆ ร่างเพรียวบางในอาภรณ์สีชาดก็ถูกชายหนุ่มตวัดลงบนฟูกนอนด้วยความหยาบโลน กลีบเหมยกุ้ยฮวา [1] ที่ใช้ตกแต่งอย่างงดงามประณีตซะสาดเกลื่อนพื้น ข้อมือทั้งสองฝั่งถูกกดเอาไว้เหนือศีรษะจนไม่อาจขัดขืน
“เจ้าอย่ามาทำไขสือ คิดว่าข้าโง่งมเพียงนั้นเชียวรึ”
พรึบ!
ชุดวิวาห์ลายวิจิตรถูกเขาฉีกกระชากเสียจนขาดวิ่น ผิวกายขาวเนียนผุดโผล่สร้างความอับอาย จูฟางหรงเบิกตาค้างตัวแข็งทื่อ
นี่เขาเป็นประสาทหรือไง ทำไมหนนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน เขากลายเป็นสุนัขบ้าดีเดือดไปตอนไหนกัน?!
“ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ พระองค์กำลังคิดทำสิ่งใด”
หลงโหย่วอี้หรี่นัยน์ตาสำรวจปานสีชมพูระเรื่อด้วยความใคร่รู้ เท่าที่เขาสืบทราบมา มือสังหารของหอหงฮวาจะมีสัญลักษณ์บัวสี่กลีบอยู่บนร่างกาย ทว่าปานของนางในยามนี้มันกลับไม่ใช่
ฝ่ามือกว้างคลายพันธนาการออกแช่มช้า จูฟางหรงเห็นว่าแรงบีบกดถูกผ่อนปรน นางจึงดันกายออกห่างเขาเดี๋ยวนั้น แล้วจึงเรียกสติพยุงร่างพิงหัวเตียงเพื่อตั้งหลัก มือเรียวคว้าผ้าห่มขึ้นมาเพื่อใช้บดบังส่วนสงวนเอาไว้
“ท่านอ๋อง…”
นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม “ปานนั่นเจ้าได้มาอย่างไร”
จูฟางหรงกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอ หากเขาทราบว่าแท้จริงนางเพียงใช้ผงชาดชนิดพิเศษปลอมแปลงสัญลักษณ์บนอกซ้ายเอาไว้ นางต้องดับอนาถด้วยเงื้อมมือเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ตอนหม่อมฉันยังเล็ก ท่านพ่อบอกว่าหม่อมฉันเผลอหยิบเกสรดอกไม้พิษเข้าปาก ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ท่านหมอก็เลยขับพิษออกทางเส้นโลหิต และทิ้งร่องรอยเป็นปานบุปผาหกกลีบเอาไว้เพคะ”
“โกหก!”
ข้อมือเล็กถูกอีกฝ่ายกระชากจนตัวลอยหวือแขนแทบเคล็ด ใบหน้างามเหยเกเพราะอาการเจ็บแปลบกำลังแล่นวาบเข้ามาราวกระดูกในกายใกล้แหลกละเอียด
จูฟางหรงอยากสวนกลับจริงแท้ แต่ยามนี้นางกำลังสวมบทบาทเป็นสตรีผู้อ่อนแอ และดูเหมือนเขากำลังหยั่งเชิงนางเช่นเดียวกัน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเจ็บนะเพคะ”
หลงโหย่วอี้โน้มกระซิบชิดใบหู “เจ้าคิดว่าข้าดูไม่ออกหรือ แสร้งอ่อนแอตบตาข้า สารภาพมาว่าเจ้าเป็นคนของหอหงฮวาใช่หรือไม่ ตอนตายแขนขาจะได้อยู่ครบ”
จูฟางหรงตัวสั่นเทาราวลูกนกตกน้ำ นัยน์ตาหงส์ร้อนรื้นแดงก่ำ ม่านน้ำตาก่อขึ้นมาบดบังจนภาพตรงหน้าพร่าเลือน นางมิได้เกรงกลัวเขาสักนิด จูฟางหรงกำลังข่มความโมโหที่ปะทุข้างในใจมิให้ระเบิดอยู่ต่างหาก
“มานี่”
หลงโหย่วอี้ฉุดกระชากลากถูร่างระหงจนปลิวติดมือ เขาโยนนางกระแทกกำแพงไม่คิดแยแส หลังบางชนแผ่นหินสุดแข็งกระด้างอย่างรุนแรง
อั๊ก!
จูฟางหรงทรุดฮวบลงบนพื้น โลหิตสีแดงฉานไหลลงตรงมุมปาก
เจ็บเป็นบ้า! หากข้าไม่คิดยืมมือท่านสังหารคนชั่ว ข้าจะปลิดชีพท่านเสียตอนนี้เลย โหย่วอี้อ๋องคนถ่อย
จูฟางหรงช้อนตามองเขาแข็งกร้าว พริบตาเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นไหวระริก เสียงใสเว้าวอน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันทำสิ่งใดให้พระองค์โกรธเคืองงั้นหรือ ไยต้องรุนแรงถึงเพียงนี้เพคะ”
ร่างสูงยอบกายลงเนิบนาบ มือหยาบระคายช้อนปลายคางโค้งมนขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาจุดรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมบริเวณมุมปาก ปลายนิ้วโป้งขยับเช็ดคราบโลหิตที่ไหลซึมออกมาจากขอบปากบางเฉียบดุจดั่งทะนุถนอม ทว่ามันกลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเหยียดหยาม
จูฟางหรงเบือนหน้าหนี แต่ก็ถูกฝ่ามือกว้างบีบปลายคางบังคับให้สบตาเขาไว้แน่น
“โกรธหรือ หากโกรธก็ตอบโต้สิ เจ้าเป็นวรยุทธ์ไม่ใช่หรือไร”
จูฟางหรงส่ายหน้า “หม่อมฉันเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ จะเป็นวรยุทธ์ได้อย่างไรเพคะ”
“สตรีตลบตะแลง ใบหน้างดงามดุจปีศาจจิ้งจอก คิดให้ใครตกหลุมพรางงั้นหรือ”
ท่านน่ะสิ ปีศาจ! จะตกหลุมพรางหรือไม่เดี๋ยวได้รู้กัน
หลงโหย่วอี้ผลักคางของจูฟางหรงเสียจนหน้าหัน เขาคว้าไหล่แคบทั้งสองดันแนบกำแพง จากนั้นก็ตรึงแขนเรียวไว้ด้วยโซ่ตรวน
^เหมยกุ้ยฮวา ดอกกุหลาบ
ไม่น่าเชื่อว่านับจากวันที่จูฟางหรงยินยอมร่วมหอกับหลงโหย่วอี้ ทำให้พิษที่เป็นส่วนหนึ่งในกายถูกขับออกไปได้ ซ้ำยังช่วยรักษาอาการหนาวเย็นของหลงโหย่วอี้จนหายขาดอีกด้วย“ฮองเฮาพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ขึ้นฝั่งกันก่อนนะเพคะ”เป่าชุนเห็นว่าพวกนางล่องเรือออกมาไกลจากตัวเรือนมากเกินไป และยามนี้ขอบฟ้าก็เริ่มทอประกายน้ำเงินเหลือบทองแล้วจูฟางหรงเผยยิ้มซุกซน “ได้สิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ข้าอยากได้เหลียนฮวา [1] ดอกนั้น หากใช้กลีบของมันผสมลงในอ่างอาบน้ำจะต้องสดชื่นมากเป็นแน่ ท่านพี่เหนื่อยล้าจากราชกิจมานาน ยามนี้ได้หวนมาพักผ่อนที่เรือนกลางหุบเขา ข้าอยากให้เขาผ่อนคลายมากที่สุด”เป่าชุนมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังเจ้าเหลียนฮวาสีชมพูอมม่วงซึ่งเด่นตระหง่านท่ามดอกอื่น ๆ เพราะในสระแห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเหลียนฮวาสีขาวเสียมากกว่า“แต่ไกลมากเลยนะเพคะ เป่าชุนเกรงว่าถ้าเราเข้าใกล้อีกนิด จะมืดค่ำเสียก่อน”จูฟางหรงยิ้มหวาน “ไม่เป็นไรข้ามีวิธี เช่นนั้นเจ้ารอข้าตรงนี้ก็พอ”เป่าชุนกะพริบตาถี่เมื่อสตรีร่างระหงลุกยืนบน
แพขนตาหนาขยับแผ่ว จูฟางหรงอึกอัก “ก็เปล่าเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันยังไม่พร้อม” จูฟางหรงเองก็ค่อย ๆ ปล่อยวางเรื่องเมื่อชาติก่อนได้แล้ว ยามนั้นเขาจะทรมานนางก็ไม่แปลก ในเมื่อจูฟางหรงเป็นมือสังหารของศัตรู อีกอย่างที่นางต้องหวนมาเกิดใหม่หาใช่เขาปลิดชีพนางโดยตรง เป็นนางที่เลือกจบชีวิตตนเองอย่างขลาดเขลาเพื่อหลีกหนีปัญหา“หรงเอ๋อร์ ในทุกคืนข้ามักติดอยู่ในภวังค์ฝันแห่งหนึ่ง ทุกอย่างคล้ายเรื่องจริงมาก ข้าเห็นเจ้าร่วงหล่นลงจากผาสูงชัน ยามนั้นข้าอยากยื่นมือดึงเจ้าขึ้นมาแต่ไม่อาจทำได้ ข้ารู้เพียงว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด และข้าเองก็กระโจนลงหน้าผาตามเจ้าไป ข้าเห็นเจ้าสิ้นใจตรงหน้าข้าเองก็เจ็บปวดอย่างมาก ภวังค์ฝันนี้ข้าติดอยู่กับความรู้สึกสุดทุกข์ทรมาน ข้าไม่รู้ว่าไยจึงฝันไม่เป็นมงคลเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากนั่นคือเรื่องของเราเมื่อภพชาติใดก็ตาม ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้าขอโทษ และนับจากนี้ข้าจะเป็นสามีที่ดี จะดูแล ทะนุถนอมเจ้า และสัญญาจะรักและมีเพียงเจ้าผู้เดียวตลอดไป...”จูฟางหรงนิ่งเงียบ ความรู้สึกหลากหลายมันจุกอกเต็มไปหมด เรื่องเมื่อชาติก่อนต่างฝ่ายก็ล้วนมีเส้นทางที่ต
ในวันที่ถังซือหงตัดสินใจช่วยรักษาบาดแผลให้หลงโหย่วอี้ เขาเองก็เริ่มวางทิฐิและปลดปลงเรื่องของจูฟางหรงแล้ว จูฟางหรงยินยอมมาช่วยเฉินกงตามคำร้องขอ เพราะตอนนั้นหลงโหย่วอี้ยังไม่ได้สติบัดนี้จูฟางหรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ถังซือหงก็เป็นเพียงพี่ชายร่วมสาบานที่ผิดต่อคำสัตย์ของตน เขาจึงไม่คิดห้ามปรามจูฟางหรงอีก ทุกอย่างนางควรได้ตัดสินใจและเดินบนเส้นทางที่เลือกอีกอย่างจูฟางหรงก็เฝ้าฝันมาตลอดว่านางจะได้พบกับพี่ชายที่ตนตามหา และมีชีวิตอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับตระกูลของตน เมื่อจังหวะและโชคชะตาได้กำหนดเช่นนี้ เทพเซียนก็มิอาจขวางจูฟางหรงจากไปไม่นาน หลงโหย่วอี้ก็ได้สติ ถังซือหงให้ยาสมานแผลชนิดเฉียบพลันแก่หลงโหย่วอี้ บาดแผลที่ได้รับจะรู้สึกถึงเพียงอาการชาเท่านั้น ทั้งสองคุยเปิดใจกันในทุกสิ่ง กระทั่งถังซือหงรู้ว่าหลงโหย่วอี้ก็คือคนที่จูฟางหรงตามหามาโดยตลอดเขายอมจำนนต่อโชคชะตา และปล่อยให้ทั้งสองได้แก้ไขปัญหากันเอาเอง“พี่ถัง ท่านไม่ตามพี่หญิงไปหรือเจ้าคะ”ถังซือหงส่งยิ้มบางให้ลี่ซือ “ไม่ล่ะ นางควรได้ตัดสินชีวิตตนเองบ้าง”
เจ้าของร่างสูงประคองแผ่นหลังบอบบางไว้ในอ้อมแขน เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างหูเล็ก “หรงเอ๋อร์ ที่เหลือข้าจัดการเอง”จูฟางหรงส่ายศีรษะเขามาได้อย่างไร!?“ไม่เพคะ เฟยหมิงอ๋องคือคนที่ทำลายตระกูลหม่อมฉัน หม่อมฉันจะแก้แค้นด้วยตนเอง”มุมปากของหลงเฟยหมิงยกขึ้นเผยความเย็นชาระลอกหนึ่ง “คิดว่าจะทำอะไรข้าได้งั้นหรือ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หากไร้ซึ่งตรากิเลนเพลิง พระองค์ก็ประหนึ่งฮ่องเต้แขนขาพิกลพิการ”“งั้นหรือ เสด็จอา ท่านชะล่าใจเกินไปแล้วกระมัง ตรากิเลนเพลิงนั่น ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นของจริง”เฟยหมิงอ๋องหน้ากระตุก ความร้อนรนสะท้อนออกมาผ่านแววตาของเขา “อย่ามาทำไขสือเล่นลิ้นกับข้า”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไม่เชื่อหรือ หากไม่เชื่อท่านก็ลองหยิบออกมาดูสิ”มือหยาบกร้านแง้มกล่องไม้สักในมือขึ้นแช่มช้า อกซ้ายของเขาเต้นระทึกด้วยความประหวั่นบรรดาทหารกล้าที่ถูกเฟยหมิงอ๋องควบคุมต่างไขว้เขว กระทั่งสิ่งที่เขาหยิบออกมาก็เป็นเพียงไม้แกะสลักรูปหงส์ง่อย ๆ อันหนึ่งหลงเฟยหมิงผงะ “มะ…ไม่จริง!”เฉินกงที่ยืนเยื้องไม่ไกลสาวเท้า
ทว่าจูฟางหรงก็ยังสงบนิ่ง และไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจใด เสียงใสถามอีกฝ่ายด้วยความใจเย็น “ท่านอ๋อง กำลังอยากบอกสิ่งใดหรือ”เฟยหมิงอ๋องคิดว่ายามนี้ตนกำลังถือไพ่เหนือกว่า “นางคือคนของหอหงฮวา ทุกคนก็รู้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองราษฎรย่ำแย่เพียงใด ฮ่องเต้หมายปลิดชีพโหย่วอี้อ๋องเพื่อลดทอนอำนาจทหารจนต้องเลือกสตรีไร้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นพระชายาของเขา นางคือมือสังหารของหอหงฮวา สตรีเช่นนี้นับว่ามีคุณสมบัติใดได้รับตำแหน่งฮองเฮา”เสียงทุ้มถกเถียงอึงอลขึ้นอีกครั้งจู่ ๆ จูฟางหรงก็หัวเราะครืนราวได้ชมเรื่องขบขัน “ท่านอ๋องไม่คิดเลยว่าท่านจะห่วงไยสายโลหิตเดียวกันเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อจริงเชียว แต่ทว่าท่านทำพลาดไปหนึ่งสิ่ง ท่านไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอกให้เอาบุญ ว่าข้ามีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮา”“ฮองเฮา ท่านอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ อีกเลย”“ข้าเปล่าแก้ตัว หากทุกคนยังไม่รู้ ข้าก็อยากจะประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ข้าคือคุณหนู เสิ่นฟางหรง และเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าเสิ่นที่รอดชีวิตจากการถูกใส่ความว่าเป็นกบฏ เมื่อสิบปีก่อน”หลงเฟ
บัลลังก์มังกรเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เนื่องจากเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เหล่าขุนนางไม่พบแม้แต่เงาของฮ่องเต้ พวกเขาจึงรวมตัวกันที่ลานหน้าตำหนักใหญ่ ต่างนั่งคุกเข่าตากแดดตากลม และอดอาหารเพื่อบีบคั้นให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันออกมาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง“ฝ่าบาทได้โปรดอย่าหมางเมินเหล่าอาณาประชาราษฎร์เลยพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ไม่ออกมาเกรงว่าคงต้องมีการแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่”เสียงขุนนางร้องดังระงมสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้ที่ยืนเหยียดยิ้มย่ามใจในยามนี้คงหลีกไม่พ้นเฟยหมิงอ๋อง เขารอโอกาสนี้มาเนิ่นนาน และผู้ที่ยุยงให้เหล่าขุนนางทำตัวประหนึ่งกบฏ ล้วนเป็นฝีมือของเขาเช่นเดียวกัน“พวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าแล้วงั้นหรือ ข้าเป็นไทเฮา ยามนี้ฝ่าบาทประชวรแต่ก็ยังทำภารกิจไม่ว่างเว้น หลักฐานก็มี ไยจำต้องพบพระพักตร์ฝ่าบาทให้ได้”“แต่ว่าไทเฮา การปกครองจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีองค์จักรพรรดินั่งบนบัลลังก์ ทว่ายามนี้ กระทั่งฮองเฮาก็ไม่มี”“ผู้ใดบอกงั้นหรือว่าไม่มี” เสียงใสโพล่งขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างระหงย่างกรายออกมาจากด้านในเนิบนาบด้วยท่วงท่างามสง่าเหล่าขุนนางปากอ้าตาค้