เสียงล้อไม้เคลื่อนบดบนทางคับแคบริมหุบเขาเฟยหย่า กีบเท้าม้านับสิบห้อตะบึงตามหลังมาอึกทึกครึกโครม
“พระชายา ทำอย่างไรดีเพคะ ท่านอ๋องจะตามทันแล้ว”
ใบหน้าเกลี้ยงเกลายามนี้ผุดซึมไปด้วยหยาดเหงื่อวาวระยับ คิ้วสวยขมวดแน่นจนเกิดเป็นปม ลมหายใจติดขัดหนักหน่วง อกด้านซ้ายกระเพื่อมถี่เพราะกำลังอ่อนล้าโรยแรง
“ไม่มีเวลาแล้ว เป่าชุนเจ้าหนีไปไม่ต้องสนใจข้า”
เป่าชุนส่ายหน้าระรัว ประกายตาแดงก่ำ “ไม่เพคะ พระชายาจะไปที่ใดเป่าชุนจะขอติดตามท่านไปด้วย”
จูฟางหรงจนใจกับความดื้อดึงของสาวใช้ผู้ภักดี แม้พวกนางรู้จักกันที่วังหลวง ทว่าทั้งสองกลับผูกพันธ์กันเฉกเช่นพี่น้อง
“เป่าชุน เจ้าบอกว่าจะเชื่อฟัง และภักดีกับข้าใช่หรือไม่”
เป่าชุนพยักหน้า “เพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าฟังข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า หนีไป!”
ฟิ้ว…ฉึก!
เป่าชุนตาเบิกโพลงกายแข็งค้าง จูฟางหรงตื่นตระหนก นัยน์ตาหงส์ลดต่ำลงเรื่อย ๆ กระทั่งพบว่าเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งที่พุ่งเฉียดข้างแก้มนางเมื่อครู่ ปักเข้าบริเวณอกซ้ายของเป่าชุนเสียแล้ว
“เป่าชุน!!”
จูฟางหรงรู้สึกคล้ายฟ้าดินพลิกผัน หัวใจแทบแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
“พะ…พระชายา เป่าชุนอกตัญญูคงร่วมเดินทางกับท่านไม่ได้แล้ว”
เป่าชุนโงนเงนดั่งต้นหญ้าต้องสายลม ม่านตาของจูฟางหรงขยายกว้าง มือเรียวคว้าไปเบื้องหน้าละล้าละลัง ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ร่างของเป่าชุนร่วงหล่นลงจากรถ ไม่นานเกาทัณฑ์ดอกที่สองก็โผเข้ามาเฉียดเหนือศีรษะ
จูฟางหรงไม่อาจประวิงเวลา บังเหียนรถม้าไร้สารถีบังคับ แขนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำจากการถูกทัณฑ์ทรมานยกขึ้นปาดน้ำตาลวก ๆ จูฟางหรงสลัดความเศร้าโศกทิ้ง จากนั้นตั้งใจบังคับรถม้าเพื่อหลบเลี่ยงคมหอกห่าธนูที่พุ่งเข้ามาดั่งพายุคลั่ง
โครม!
เพราะบริเวณนี้หินก้อนใหญ่มีมาก เป็นเหตุให้รถม้าเซถลาเสียหลัก ร่างระหงกลิ้งหลุน ๆ ตกลงมาอย่างรุนแรง
จูฟางหรงทั้งเจ็บและจุกจนพูดไม่ออก เสียงที่ไล่ตามหลังมาตลอดระยะทางสงบลงแล้ว มิใช่พวกเขาจากไปทว่ากำลังมองนางด้วยความสังเวชอยู่ต่างหาก จูฟางหรงรู้สึกว่าหูของตนอื้ออึงไปหมด นัยน์ตาหงส์พร่าเบลอไม่ชัดแจ้ง
บุรุษร่างสูงเยื้องย่างใกล้เข้ามาเนิบช้าพร้อมกระบี่อ่อนที่ถือไว้มั่น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาช่างเย็นชาและดุดันดุจปีศาจ
เสียงทุ้มเอ่ยเย็นเยียบ “จูฟางหรง เจ้าจะกลับไปกับข้าเพื่อยอมรับผิดดี ๆ หรือเจ้าเลือกที่จะตายอย่างทรมานอยู่ตรงนี้”
จูฟางหรงแค่นยิ้ม แขนเรียวพยายามดันพื้นเพื่อพยุงร่างของตนให้ยืนขึ้นด้วยความทุลักทุเล อาภรณ์แสนงดงามยามนี้เปื้อนเขรอะไปด้วยเศษฝุ่นคราบโลหิต ริมฝีปากสีกุหลาบกระอักของเหลวสีแดงฉานออกมาคำโต
“ท่านอ๋อง ข้ายอมรับว่าข้ากระทำผิดที่คิดทำร้ายท่าน แต่เป่าชุนไร้ความผิด ไยท่านต้องสังหารนาง”
เขาไม่ได้ตอบกลับ ทว่าบุรุษร่างสูงฝั่งตรงข้ามยังยืนสงบนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งยังแผ่กลิ่นอายครั่นคร้ามออกมาจนคนมองเสียวสันหลังวาบ
หากถูกเขาจับกุม นางจะต้องถูกเขาทรมานจนตาย ผู้ใดก็ว่าโหย่วอี้อ๋องเหี้ยมโหดอำมหิต ในเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่อาจลุล่วง เช่นนั้นจูฟางหรงขอเลือกทางเดินที่ไม่ต้องเจ็บซ้ำซ้อนเสียยังดีกว่า
ร่างระหงถอยร่นไปเบื้องหลังทีละก้าว คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง เขาจดจ้องสตรีตรงหน้าที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อย ๆ
“ท่านอ๋อง!”
องครักษ์ผู้ติดตามง้างธนูรอฟังคำสั่งอยู่นานเห็นผู้เป็นนายนิ่งสนิทก็เร่งเอ่ยปาก ดูเหมือนว่าเชลยของพวกเขากำลังเล่นแง่บางอย่าง
มือแกร่งยกขึ้นเป็นสัญญาณ บรรดาทหารและองครักษ์ก็หุบปากฉับ จากนั้นลดธนูลง
จูฟางหรงหัวเราะประหนึ่งคนเสียสติ “ทำไมเพคะ ท่านยิงสิ ยิงเลย หรือว่าท่านยังติดใจเรื่องที่เรายังเป็นสามีภรรยากัน”
“เจ้ากลับมา”
“กลับรึ กลับให้ท่านทรมานข้าก่อนตายงั้นหรือ จะฆ่าก็ไม่ฆ่า จะปล่อยก็ไม่ปล่อย ท่านสนุกมากหรือไม่ที่ได้เห็นข้าเหมือนตายทั้งเป็น โหย่วอี้อ๋อง…”
เท้าเล็กเปิดขึ้นและเริ่มเข้าใกล้ขอบผาเรื่อย ๆ หน้าหล่อเหลาก็ยิ่งหม่นทะมึน
“ข้าบอกให้เจ้ากลับมา!”
“คนเผด็จการ ท่านมันอ๋องปีศาจ!”
จูฟางหรงตัดสินใจกระโดดลงหน้าผาอย่างไม่ลังเล บรรดาทหารเบื้องหลังวิ่งกรูเข้ามา ต่างเบิกตากว้างตะลึงลาน จูฟางหรงประสานกับนัยน์ตาคมกริบของเขา แววตาของบุรุษผู้นี้ช่างเยือกเย็นและน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจร้าย
เขาไม่ได้เห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแม้สักเสี้ยว กักขังหน่วงเหนี่ยวทรมานนางอย่างแสนสาหัส วันนี้จูฟางหรงเลือกจบชีวิตอันแสนบัดซบนี้ลง หวังว่าโลกหน้านางจะไม่ต้องเกิดมาเป็นมือสังหารให้ใครหลอกใช้ และไม่ถูกสามีข่มเหงเฉกเช่นชาตินี้อีก
ลาก่อนหลงโหย่วอี้
.
.
.
“เฮือก!!”
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
เสียงนี่ เสียงสตรีผู้นี้นี่ใครกัน หรือข้าอยู่ในปรโลกแล้ว…
จูฟางหรงหันรีหันขวางทว่ากลับรู้สึกคล้ายคนตาบอดสนิท ดูเหมือนยามนี้ศีรษะของนางกำลังถูกบางอย่างปกคลุมไว้ หนำซ้ำจูฟางหรงยังรู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังนั่งอยู่บนบางอย่างซึ่งลอยตัวเหนือพื้นดิน
มือเรียวยกขึ้นด้วยอาการสั่นเทา เสียงเล็กจากด้านนอกยังคงถามย้ำ ทว่าหูของจูฟางหรงนั้นอื้ออึงไปตั้งนานแล้ว
เสียงลมหายใจหอบถี่ดังวนเวียนภายในโซนสมองพลางกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงคอประหนึ่งลำบากยากยิ่ง ไม่นานผ้าที่คลุมปกปิดการมองเห็นก็ถูกเลิกขึ้นจนสุด
นัยน์ตาหงส์เบิกค้างตะลึงลาน
เรายังไม่ตายอีกหรือ!?
จูฟางหรงควานหาบางอย่างบริเวณเข็มขัดผ้า และได้พบเรื่องอัศจรรย์ที่ว่ายามนี้ นางกำลังนั่งอยู่บนเกี้ยวเจ้าสาวเมื่อหลายเดือนก่อน เพราะเครื่องแต่งกายบนเรือนร่างมันได้ยืนยันบางอย่างจนแจ่มชัด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ทำไม ทำไมข้ากลับมาที่นี่ล่ะ”
ซองกระดาษขนาดเล็กร่วงแหมะลงบนตัก จูฟางหรงคลี่อ่านข้อความด้านในก็นิ่งค้างไปอีกหน มือเรียวยกขึ้นกุมขมับ
ภารกิจลับของนางคือการลอบสังหารโหย่วอี้อ๋องโดยแฝงตัวในฐานะคุณหนูสกุลจูลูกสาวเสนาบดีผู้ถือครองตำแหน่งปิงปู้ [1] แห่งแคว้นช่านเป่ย ซึ่งแน่นอนนางเติบโตมาในคราบของคุณหนูเพียงคนเดียวของสกุลจูตั้งแต่เยาว์วัยเพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยมีหอหงฮวาเป็นผู้หนุนหลัง
การวิวาห์ครั้งนี้ก็หาใช่งานพิธีการเล็ก ๆ จูฟางหรงกำลังเข้าสู่ประตูวิวาห์กับโหย่วอี้อ๋องอีกครั้ง แน่นอนว่าหากนางเลือกลงจากเกี้ยวตามแผนการ ไม่นานจูฟางหรงก็ต้องพบจุดจบเดิม
นั่นคือความตายและความทรมาน!
หอหงฮวาเป่าหูและหลอกใช้นางมาโดยตลอดทั้งที่หอบัดซบนี่คือเบื้องหลังการตายทั้งหมดของครอบครัวนาง จูฟางหรงก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้น เมื่อใดที่นางล้ม หอเส็งเคร็งนั่นก็พร้อมกำจัดนางทิ้งในทันที ไม่ว่าจูฟางหรงคิดเลือกเส้นทางใด ก็ล้วนมีจุดจบที่ไม่สวยหรูทั้งสิ้น
จูฟางหรงตริตรองเพื่อหาทางรอดให้ตนเองอยู่นาน เหงื่อก็ผุดซึมเต็มฝ่ามือ ยามนี้หลงโหย่วอี้ยังไม่รู้จักหรือระแคะระคายในตัวของนาง เช่นนั้นโอกาสบัดซบที่ไม่ต้องการ
จูฟางหรงขอเลือกคว่ำกระดานหมากดูสักครา
“วางเกี้ยว…ถึงลานพิธี เชิญเจ้าสาวลงจากเกี้ยว…”
สีหน้างดงามยามนี้เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกระวนกระวายใจ มือทั้งสองบีบบี้เพื่อปลอบประโลมตนเอง
หรงหรง คิดสิ หนี หรือเดินหน้าต่อ
“คุณหนู ถึงเวลาแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงแม่สื่อดังขึ้น จูฟางหรงหลุดจากภวังค์ ผ้าแพรสีชาดที่วางทิ้งไว้ถูกคลุมลงบนศีรษะอีกครั้ง
จูฟางหรงกำหนดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ ร่างระหงยืดกายขึ้นแช่มช้า ขาเสลาก้าวออกมาจากเกี้ยวด้วยท่วงท่างามสง่า
ในโลกนี้ขอแค่มีชีวิตรอดถึงไม่ยุติธรรมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมิใช่หรือ เช่นนั้นข้าจะขอกำหนดชะตาชีวิตใหม่ด้วยตัวข้าเอง
^เสนาบดีกรมกลาโหม หรือปิงปู้ (兵部) เสนาบดีกรมนี้ทำหน้าที่ด้านธุรการทางทหารมากกว่าถือกำลัง
จูฟางหรงผละจากระเบียงเรือ หลงโหย่วอี้สังเกตบทสนทนาของสตรีทั้งสองอยู่ตลอดเพื่อรอจับพิรุธ ไม่นานร่างระหงก็ย่างกรายออกไปที่ลานด้านหน้าไม่ห่างจากเขามากนัก นัยน์ตาคมกริบปรายมองเรือนร่างระหงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชิ! อย่าตาค้างแล้วกัน ข้าควรส่งสัญญาณให้พวกเขาสังหารท่านไปเสียเลยดีหรือไม่เสียงบรรเลงจากคงโหวดังขึ้นอีกครั้ง จูฟางหรงยอบกายลงแช่มช้า นางค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย หลงโหย่วอี้ยังนั่งนิ่งประหนึ่งหุบเขาน้ำแข็ง ทั้งที่ภายในใจของเขามันเต้นเร้าโครมคราม ไยนางจึงทำให้อกซ้ายเขามันคันยุบยิบอยู่เรื่อย จูฟางหรงทำราวกับนางมีเสน่ห์จิ้งจอกอยู่ บางคราก็ทำให้เขาเผลอไผลโดยไร้สาเหตุจูฟางหรงหมุนตัวเพื่อลอบสบตาสตรีบนเรือสำราญอีกฝั่ง นางสังเกตหาเงาของมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่บนเรือลำนั้น ทำนองของดนตรีเริ่มเพิ่มจังหวะความเร็ว จูฟางหรงพยายามควบคุมลวดลายการวาดมือ และเคลื่อนไหวเรือนร่างอรชรเข้าใกล้หลงโหย่วอี้อย่างแนบเนียนเดิมทีหลงโหย่วอี้แทบไม่คิดเหลือบแลนางสักเสี้ยวเพราะกำลังเร่งสงบใจ แต่ยามนี้จูฟางหรงสามารถทำให้เขาต้องย้ายสายตามาชมการแสดงได้แ
เรือสำราญขนาดใหญ่ล่องอยู่เหนือทะเลสาบเจียงซี นึกไม่ถึงเลยว่าบนเรือลำนี้จะมีการจัดแสดงนางระบำ ทั้งยังมากด้วยอาหารรสเลิศพร้อมสรรพจูฟางหรงและหลงโหย่วอี้นั่งอยู่คนละฝั่งระหว่างโต๊ะสำรับทรงกลม วันนี้หลงโหย่วอี้ไม่อยากออกมาด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ ไทเฮาก็คะยั้นคะยอไม่เลิก เขาจึงจำใจต้องมาอย่างเสียไม่ได้ ดูเหมือนการอภิเษกของเขาช่างเป็นที่น่าสนใจมากเสียจริง“ท่านอ๋อง เอาแต่จ้องหน้าหม่อมฉันเช่นนี้ คงไม่อิ่มหรอกนะเพคะ” จูฟางหรงเอ่ย ทั้งที่ยังเคี้ยวหมูน้ำแดงเต็มปากจนแก้มตุ่ยดั่งกระต่าย“หนวกหู”น้ำเสียงเย็นเยียบที่เปล่งออกมาเป็นเหตุให้เพลงที่บรรเลงอยู่ต้องหยุดลงเดี๋ยวนั้นเพราะเข้าใจผิด พวกเขาเกรงว่าจะถูกหลงโหย่วอี้ระบายโทสะจึงเร่งถอยห่างออกไป แม้คำที่บอกว่าหนวกหูจะเป็นการต่อว่าจูฟางหรง ทว่าเสียงดนตรีที่สงัดลงก็ทำให้ใจของเขาสงบได้เช่นกัน หลงโหย่วอี้จึงไม่ได้ทัดทานใดขึ้นยัยตะกละทุกอย่างน่าเบื่อเพียงนี้ ทว่าจูฟางหรงกลับไม่แยแสเขาสักกระผีกริ้นนางเอาแต่สนใจละเลียดชิมอาหารตรงหน้าราว
อรุณรุ่งมาเยือน จูฟางหรงก็เตรียมตัวออกไปตามนัดหมาย วันนี้นางเลือกแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อนสบายตา ส่วนด้านในสวมใส่อาภรณ์ที่ทะมัดทะแมง เพราะจูฟางหรงต้องเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในการเอาตัวรอด หากหลงโหย่วอี้ระแคะระคายขึ้นมา นางจะเลือกกลายเป็นปลาแล้วกระโดดลงแม่น้ำหนีเขาเสียเลย“พระชายา งดงามมากเลยเพคะ”จูฟางหรงเหลือบมองหน้าของเป่าชุน “เป่าชุน วันนี้เจ้าไม่ต้องตามไปปรนนิบัติข้าหรอกนะ”เป่าชุนสลดลง “ทำไมหรือเพคะ เพราะว่าหม่อมฉันดูแลพระชายาไม่ดีหรือเพคะ”“ดูเจ้าสิ” จูฟางหรงยิ้มบาง ร่างระหงลุกยืนเต็มความสูง มือเรียวคว้ามือของเป่าชุนมากุมไว้ จูฟางหรงไม่อยากให้เป่าชุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับตนอีกแล้ว “ไม่ใช่เช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อคืนเจ้าก็เห็นว่าข้าลอบออกไปท่องราตรี เจ้าอยู่ที่นี่ทำลายหลักฐานให้ข้าได้หรือไม่”เป่าชุนใจชื้น แท้ที่จริงจูฟางหรงก็มีภารกิจให้นางทำ “เพคะ”“พระชายา รถม้าพร้อมแล้วเพคะ”เสียงของนางกำนัลต้นห้องดังลอดเข้ามา จูฟางหรงรวบรวมลมหายใจจนแก้มโป่งพอง
หลงโหย่วอี้ยืนทำใจอยู่พักใหญ่ ไม่นานขาสูงก็ย่างกรายเข้ามาด้านในเนิบนาบ จูฟางหรงใจเต้นระรัวตามจังหวะการเหยียบย่างของอีกฝ่าย ทว่าสีหน้ายังแสร้งเผยยิ้มหวานเพื่อยั่วอารมณ์เขานัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ยามนี้จูฟางหรงหลงเหลือเพียงอาภรณ์บอบบางตัวใน ซ้ำยังเปิดไหล่เผยเนื้อหนัง“ไร้ยางอาย”“หา…ไร้ยางอายอย่างไรเพคะ ที่นี่ห้องหม่อมฉัน อีกอย่างก็ดึกมากแล้วด้วย อยู่ ๆ พระองค์ก็โผล่เข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ย…”ไม่ทันจบประโยค ลำคอขาวผ่องก็ถูกคว้าหมับอย่างไม่ไยดีแค่ก แค่ก“ท่านอ๋อง กำลังทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันนะ”“เจ้าอย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก เจ้ากำลังเล่นละครใช่หรือไม่”จะบ้าตาย ตาอ๋องนี่ขี้ระแวงชะมัดยาด ดีนะที่เรากลับมาทัน“หม่อมฉันจะเล่นละครใดเพคะ พระองค์ระแวงมากเกินไปแล้ว หากไม่เชื่อก็นอนที่นี่ด้วยกันเลยสิเพคะ”มือเรียวคว้าหมับไปยังข้อมือแกร่ง หลงโหย่วอี้สะดุ้งแผ่ว มือของเขาคลายออกจากลำคอระหงทันควัน ไม่ทันผละจากจูฟางหรงก็โผเข้ากอดเอวขอ
เด็กหญิงอายุราวสิบหนาวใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรายืนถือร่มฉีกยิ้มกว้างดั่งโลกใบนี้สดใสเสียเต็มประดา เขาไม่ได้ตอบกลับนาง แต่เลือกเบือนหน้าหนี พริบตาชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าหยาดฝนไม่ต้องกายของตนแล้วใบหน้าหล่อเหลาเปียกพราวด้วยหยาดน้ำแหงนมองอีกฝ่าย เขาจึงเห็นว่าเด็กหญิงคนนั้นกำลังยืนกางร่มให้ตนอยู่ ในขณะที่ไหล่อีกฝั่งของนางต้องเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนเพราะได้ปันร่มที่มากกว่าครึ่งเพื่อช่วยบดบังหยาดพิรุณให้เขา“ถอยไป”เสียงทุ้มแข็งกระด้าง แต่ดูเหมือนเด็กหญิงไม่สะทกสะท้านใด ร่างเล็กยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับ รอยยิ้มก็ประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด“ท่านพ่อบอกว่าหากตากฝนจะไม่สบายเอาได้ พี่ชายท่านอยากป่วยหรือ”“ไม่ต้องยุ่ง”เด็กหญิงยังไม่ยอมแพ้ นางล้วงบางอย่างในสาบเสื้อออกมา จากนั้นยื่นให้เขา นัยน์ตาคมมองตามของที่อยู่ในมืออีกฝ่ายก็พบว่าเป็นลูกกวาด“ท่านดูอารมณ์ไม่ดีนะเจ้าคะ กินนี่ท่านจะรู้สึกดีขึ้น”ชายหนุ่มยังทำหน้าขรึมและไม่ตอบกลับ หูของเขาได้ยินการเคลื่อนไหวบางอย่าง เพราะร่มบนศีรษะมันเอียงกระเท่เร่จากการที่นางเอาด้ามเหน็บบริเวณใต้รักแร้“ตายจริง คุ
นับตั้งแต่จูฟางหรงอภิเษกเข้ามาเป็นพระชายาของโหย่วอี้อ๋อง นางก็ถูกไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าทุกวันไม่ขาด วันนี้ก็เช่นเดียวกันพลังกายทั้งหมดของนางได้ประเคนแด่ไทเฮาไปเสียหมดแล้ว จูฟางหรงลากสังขารอันแสนโรยแรงเข้ามาภายในห้องบรรทมดั่งร่างไร้วิญญาณ“โอ๊ย เหนื่อยจะแย่ ข้าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย ไทเฮาช่างโหดร้ายจริงแท้ แทบไม่ให้ข้านั่งเลย ขาแข็งไปหมด”“พระชายา เป่าชุนนวดให้นะเพคะ”จูฟางหรงพยักหน้าหงึกหงัก แม้ไทเฮาเอ็นดูจูฟางหรงเป็นอย่างมาก ทว่านางก็ยังถูกไทเฮาเคี่ยวกรำเรื่องมารยาทอย่างหนักตลอดทั้งวัน เพราะจูฟางหรงถนัดแต่จับดาบง้างธนู ไหนเลยจะสันทัดกับการวางตัวเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ในวังหลวง หลายวันมานี้จูฟางหรงขลุกตัวอยู่แต่เพียงตำหนักไทเฮาไม่เป็นอันทำอะไร ทั้งยังไม่เคยพบหน้าสวามีของตนแม้สักเสี้ยว ดูเหมือนนางกำลังเล็งเห็นจังหวะเหมาะ“เป่าชุน เจ้าว่าคืนนี้เขาจะมาหรือเปล่า”เป่าชุนยิ้มแหย “พระชายา ถ้าหมายถึงท่านอ๋องล่ะก็...ดูเหมือนท่านอ๋องไม่เฉียดมาที่ตำหนักรองตั้งนานแล้วนะเพคะ เกรงว่าวันนี้คง…”“ดี ไม่มานั่นล่ะ ดีที่สุด เช่นนั้นวันนี้ข้า…” จูฟางหรงยิ้