จูฟางหรงตื่นตระหนก ไม่คิดเลยว่าการเลือกเข้าสู่ประตูวิวาห์ครั้งนี้ จะสาหัสจนแทบช้ำในตาย นางไม่รู้ว่าชาตินี้เขาสืบทราบเรื่องราว กระทั่งระแคะระคายถึงแผนการส่งตัวเจ้าสาวได้อย่างไร เดิมทีพิธีเข้าหอจูฟางหรงยังไม่ถูกเขาสอบสวนด้วยซ้ำ เพราะอย่างที่บอกเขาไม่ได้โผล่หน้ามาเฉกเช่นวันนี้ เหตุไฉนเรื่องราวจึงตาลปัตรไม่เป็นท่าไปเสียได้
บททดสอบใดของสวรรค์งั้นหรือ? นี่มันกลหมากกระดานใด บัดซบ บัดซบเสียจริง!
เพราะโหย่วอี้อ๋องกุมอำนาจทางการทหารเหนือกว่ากระทั่งฮ่องเต้ของแคว้น ผู้ใดก็ไม่อาจต่อกรกับเขา กาลข้างหน้าเกรงว่าทั้งแคว้นช่านเป่ยและต่างแคว้นเองก็ต้องศิโรราบแก่เขา
ด้วยเหตุนี้เองโหย่วอี้อ๋องจึงมีศัตรูอยู่ทั้งสี่ดินแดนแปดทิศ แม้เขาจะถูกลอบกัดอยู่หลายครา ก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ทุกครั้ง เขาจึงได้รับฉายาท่านอ๋องปีศาจแห่งสมรภูมิโลหิต
หอหงฮวาแอบอ้างตนเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมจึงหมายกำจัดอ๋องเจ้าปัญหาเช่นเขา หากวันหนึ่งโหย่วอี้อ๋องสามารถกุมอำนาจทุกอย่างและช่วงชิงบัลลังก์ไว้ได้ นั่นหมายถึงหอหงฮวาจะต้องถูกกวาดล้างไปด้วยเช่นกัน ซึ่งจูฟางหรงอยากให้เขาทำลายหอหงฮวาให้ราบเสีย นางจะได้ชำระแค้นให้ครอบครัวเสียที
หากจูฟางหรงเอาชนะใจหลงโหย่วอี้จนบรรลุเป้าหมาย นางจะตลบหลังแหกอกและหนีเขาไปให้ไกล อ๋องปีศาจจะได้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดเฉกเช่นผู้อื่นบ้าง การทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าจูฟางหรงได้แก้แค้นคนชั่วช้าถึงสองฝ่าย นับเป็นการยืมดาบฆ่าคนที่แยบยลยิ่งมิใช่หรือ
ก่อนอื่นนางต้องหาทางรอดชีวิตจากสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ ชาติที่แล้วจูฟางหรงต้องตายอเนจอนาถเพียงใดนางจำได้ไม่มีลืม
“ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ หม่อมฉันกลัวแล้ว”
จูฟางหรงถูกตรึงร่างแนบชิดกำแพงเย็นเฉียบ ไม่เพียงเท่านั้น หลงโหย่วอี้ยังหยิบผลผิงกั่ว [1] มาวางบนศีรษะของนาง
“อยู่นิ่ง ๆ หากเจ้าทำมันหล่น ข้าสาบานว่าธนูดอกนี้จะทะลวงเข้าเบ้าตาสวย ๆ ของเจ้า อย่ามาแสร้งบีบน้ำตาโง่ ๆ ใส่ข้า”
จูฟางหรงหายใจติดขัด เขาถึงขั้นใช้นางเป็นเป้าเพื่อความสนุก เพราะหลงโหย่วอี้หมายเค้นให้จูฟางหรงเผยวรยุทธ์จึงบีบบังคับนางด้วยวิธีป่าเถื่อน ทว่าหากจูฟางหรงยืนกรานจนวินาทีสุดท้ายเล่า เขาจะเลือกไว้ชีวิตหรือปลิดชีพนาง บางทีจูฟางหรงอาจต้องเลือกเดิมพัน
“ท่านอ๋อง พระองค์กำลังเข้าใจหม่อมฉันผิด หม่อมฉันอธิบายทุกอย่างได้เพคะ”
“ผิดหรือไม่ เดี๋ยวก็รู้เอง”
เสียงหัวใจเต้นถี่ระรัวจนอกอวบอัดกระเพื่อมขึ้นลง สมองของนางตีรวนกันไปหมด
อ๋องปีศาจ จอมมารขนานแท้ มิน่าศัตรูท่านจึงมากมายนัก หึ
จูฟางหรงขบฟันแน่น มองตามแผ่นหลังกว้างที่ถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ ไม่นานเขาก็หมุนตัวขวับ จากสีหน้าขึงขัง จูฟางหรงก็เปลี่ยนผันเป็นอ่อนหวานดุจกิ้งก่าเปลี่ยนสี
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ”
“แพศยา”
จูฟางหรงหน้าชา เขาช่างเป็นบุรุษที่ปากคอเราะรายยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามีสุนัขไปเกิดในปากหรืออย่างไร ดุยิ่งกว่าสุนัขบ้า ซ้ำยังโหดร้ายเกินกว่าปีศาจคลั่ง
นรกขุมสุดท้ายส่งมาเกิด
คันศรในมือกว้างถูกยกขึ้นแช่มช้า หลงโหย่วอี้ง้างสายธนูเพื่อเล็งเป้ามาที่ผลผิงกั่วบนศีรษะงามด้วยแววตาเย็นเยียบ
จูฟางหรงต้องกัดฟันและอดทนให้ผ่านพ้นสถานการณ์ตรงหน้าไปให้ได้ ยิ่งอ่อนแอไร้กำลังมากเพียงใด ข้อสงสัยที่เขามีต่อนางก็จะน้อยลงเท่านั้น นางต้องแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ [2] เพื่อกาลข้างหน้า
เหงื่อเม็ดละเอียดผุดพราวเต็มกรอบหน้างาม เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้ม
นางกำลังแสร้งหวาดกลัว คนที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักจะกลัวเพียงนี้หรือ ข้าจะต้องไม่ตกหลุมพรางของนางเป็นอันขาด
“เจ้ากลัวงั้นหรือ มิใช่ว่า มือสังหารจากหอหงฮวาไม่เคยเกรงกลัวความตาย ซ้ำยังถูกฝึกมาเพื่อสละชีพหรือ”
ที่เขากล่าวมาก็นับว่าใช่ แต่ยามนี้จูฟางหรงขอรักตัวกลัวตาย ไม่ยอมตายเพื่อใครหน้าไหนแล้วทั้งสิ้น ชาตินี้นางขอเป็นคนเห็นแก่ตัว บุญคุณที่กล่าวกรอกหูจากอาจารย์ผู้ไร้สัจจะของนางก็ดั่งผายลม เขาหลอกใช้บรรดาเด็กไม่ประสาที่มีความแค้นเป็นชนักติดหลังมาเป็นพวกพ้อง ทั้งที่หอหงฮวานั่นล่ะตัวดี ทำร้ายครอบครัวผู้อื่นแล้วแสร้งเป็นโพธิสัตว์หยิบยื่นความช่วยเหลือ
ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่า จูฟางหรงไม่ทันสืบทราบผู้อยู่เบื้องหลังของหอเน่าเฟะนั่น นางก็ต้องถูกไล่ล่าจากหลงโหย่วอี้จนต้องคิดสั้นจบชีวิต โชคดีที่สวรรค์คิดเมตตา ส่งนางมาให้ได้ล้างแค้นสมใจ เพราะคนโง่ขนานแท้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้านางนี่อย่างไร เขาไม่รู้หรอกหรือว่าตนกำลังทำผิดมหันต์ ปลิดชีพนางไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะหอบัดซบนั่น ต่อให้เป็นพวกพ้องก็พร้อมพรากลมหายใจไปได้ทุกเมื่อราวชีวิตคนประหนึ่งผักปลา
“หากพระองค์ทำเช่นนี้แล้วสบายพระทัย ก็เชิญเถิดเพคะ”
“หึ แววตาของเจ้ามันช่างแตกต่างจากสตรีทั่วไปจริง ๆ ไม่ต้องร้องขอให้ลำบาก เจ้าได้สมปรารถนาแน่”
มุมปากของเขายกโค้งบางเบา พร้อมเสียงเอ็นที่ยืดออกจนสุด
ฟิ้ว…
ลูกเกาทัณฑ์ถูกปล่อยออกจากคันธนูอย่างไม่ลังเล จูฟางหรงหลับตาแน่น
จะตายอีกครั้งก็ช่างมันเถิด แต่ถ้าสวรรค์จะส่งข้ามาอีก ช่วยยันข้าไปเกิดที่อื่นไม่ได้หรือไร
เคร้ง!
เสียงปลายแหลมคมหล่นลงพื้น
แปะ แปะ แปะ
โหย่วอี้อ๋องตวัดตามองฉับเพราะลูกธนูของเขาถูกใครบางคนยิงสวนเข้ามาจนหลงทิศ
บุรุษร่างสูงพอ ๆ กับตนเยื้องย่างเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม มือหนาถือธนูคันหนึ่งเอาไว้
“มาเร็วมิสู้มาได้จังหวะ...น้องข้า เจ้าช่างอารมณ์สุนทรีย์ยิ่งนัก วันเข้าหอ เจ้าก็เล่นสนุกกับชายาเพียงนี้เชียวหรือ”
“ฝ่าบาท”
^ผิงกั่ว คือ แอปเปิ้ล
^แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ หมายถึง แสร้งเป็นคนอ่อนแอ ไร้น้ำยา เพื่อหลอกลวงให้ศัตรูตายใจ ท้ายที่สุดจึงคว้าชัยชนะมาได้
ไม่น่าเชื่อว่านับจากวันที่จูฟางหรงยินยอมร่วมหอกับหลงโหย่วอี้ ทำให้พิษที่เป็นส่วนหนึ่งในกายถูกขับออกไปได้ ซ้ำยังช่วยรักษาอาการหนาวเย็นของหลงโหย่วอี้จนหายขาดอีกด้วย“ฮองเฮาพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว ขึ้นฝั่งกันก่อนนะเพคะ”เป่าชุนเห็นว่าพวกนางล่องเรือออกมาไกลจากตัวเรือนมากเกินไป และยามนี้ขอบฟ้าก็เริ่มทอประกายน้ำเงินเหลือบทองแล้วจูฟางหรงเผยยิ้มซุกซน “ได้สิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ข้าอยากได้เหลียนฮวา [1] ดอกนั้น หากใช้กลีบของมันผสมลงในอ่างอาบน้ำจะต้องสดชื่นมากเป็นแน่ ท่านพี่เหนื่อยล้าจากราชกิจมานาน ยามนี้ได้หวนมาพักผ่อนที่เรือนกลางหุบเขา ข้าอยากให้เขาผ่อนคลายมากที่สุด”เป่าชุนมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปยังเจ้าเหลียนฮวาสีชมพูอมม่วงซึ่งเด่นตระหง่านท่ามดอกอื่น ๆ เพราะในสระแห่งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเหลียนฮวาสีขาวเสียมากกว่า“แต่ไกลมากเลยนะเพคะ เป่าชุนเกรงว่าถ้าเราเข้าใกล้อีกนิด จะมืดค่ำเสียก่อน”จูฟางหรงยิ้มหวาน “ไม่เป็นไรข้ามีวิธี เช่นนั้นเจ้ารอข้าตรงนี้ก็พอ”เป่าชุนกะพริบตาถี่เมื่อสตรีร่างระหงลุกยืนบน
แพขนตาหนาขยับแผ่ว จูฟางหรงอึกอัก “ก็เปล่าเพคะ เพียงแต่หม่อมฉันยังไม่พร้อม” จูฟางหรงเองก็ค่อย ๆ ปล่อยวางเรื่องเมื่อชาติก่อนได้แล้ว ยามนั้นเขาจะทรมานนางก็ไม่แปลก ในเมื่อจูฟางหรงเป็นมือสังหารของศัตรู อีกอย่างที่นางต้องหวนมาเกิดใหม่หาใช่เขาปลิดชีพนางโดยตรง เป็นนางที่เลือกจบชีวิตตนเองอย่างขลาดเขลาเพื่อหลีกหนีปัญหา“หรงเอ๋อร์ ในทุกคืนข้ามักติดอยู่ในภวังค์ฝันแห่งหนึ่ง ทุกอย่างคล้ายเรื่องจริงมาก ข้าเห็นเจ้าร่วงหล่นลงจากผาสูงชัน ยามนั้นข้าอยากยื่นมือดึงเจ้าขึ้นมาแต่ไม่อาจทำได้ ข้ารู้เพียงว่าเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด และข้าเองก็กระโจนลงหน้าผาตามเจ้าไป ข้าเห็นเจ้าสิ้นใจตรงหน้าข้าเองก็เจ็บปวดอย่างมาก ภวังค์ฝันนี้ข้าติดอยู่กับความรู้สึกสุดทุกข์ทรมาน ข้าไม่รู้ว่าไยจึงฝันไม่เป็นมงคลเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากนั่นคือเรื่องของเราเมื่อภพชาติใดก็ตาม ข้าอยากบอกเจ้าว่าข้าขอโทษ และนับจากนี้ข้าจะเป็นสามีที่ดี จะดูแล ทะนุถนอมเจ้า และสัญญาจะรักและมีเพียงเจ้าผู้เดียวตลอดไป...”จูฟางหรงนิ่งเงียบ ความรู้สึกหลากหลายมันจุกอกเต็มไปหมด เรื่องเมื่อชาติก่อนต่างฝ่ายก็ล้วนมีเส้นทางที่ต
ในวันที่ถังซือหงตัดสินใจช่วยรักษาบาดแผลให้หลงโหย่วอี้ เขาเองก็เริ่มวางทิฐิและปลดปลงเรื่องของจูฟางหรงแล้ว จูฟางหรงยินยอมมาช่วยเฉินกงตามคำร้องขอ เพราะตอนนั้นหลงโหย่วอี้ยังไม่ได้สติบัดนี้จูฟางหรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ถังซือหงก็เป็นเพียงพี่ชายร่วมสาบานที่ผิดต่อคำสัตย์ของตน เขาจึงไม่คิดห้ามปรามจูฟางหรงอีก ทุกอย่างนางควรได้ตัดสินใจและเดินบนเส้นทางที่เลือกอีกอย่างจูฟางหรงก็เฝ้าฝันมาตลอดว่านางจะได้พบกับพี่ชายที่ตนตามหา และมีชีวิตอยู่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับตระกูลของตน เมื่อจังหวะและโชคชะตาได้กำหนดเช่นนี้ เทพเซียนก็มิอาจขวางจูฟางหรงจากไปไม่นาน หลงโหย่วอี้ก็ได้สติ ถังซือหงให้ยาสมานแผลชนิดเฉียบพลันแก่หลงโหย่วอี้ บาดแผลที่ได้รับจะรู้สึกถึงเพียงอาการชาเท่านั้น ทั้งสองคุยเปิดใจกันในทุกสิ่ง กระทั่งถังซือหงรู้ว่าหลงโหย่วอี้ก็คือคนที่จูฟางหรงตามหามาโดยตลอดเขายอมจำนนต่อโชคชะตา และปล่อยให้ทั้งสองได้แก้ไขปัญหากันเอาเอง“พี่ถัง ท่านไม่ตามพี่หญิงไปหรือเจ้าคะ”ถังซือหงส่งยิ้มบางให้ลี่ซือ “ไม่ล่ะ นางควรได้ตัดสินชีวิตตนเองบ้าง”
เจ้าของร่างสูงประคองแผ่นหลังบอบบางไว้ในอ้อมแขน เสียงทุ้มกระซิบแผ่วข้างหูเล็ก “หรงเอ๋อร์ ที่เหลือข้าจัดการเอง”จูฟางหรงส่ายศีรษะเขามาได้อย่างไร!?“ไม่เพคะ เฟยหมิงอ๋องคือคนที่ทำลายตระกูลหม่อมฉัน หม่อมฉันจะแก้แค้นด้วยตนเอง”มุมปากของหลงเฟยหมิงยกขึ้นเผยความเย็นชาระลอกหนึ่ง “คิดว่าจะทำอะไรข้าได้งั้นหรือ ต่อให้เป็นฮ่องเต้หากไร้ซึ่งตรากิเลนเพลิง พระองค์ก็ประหนึ่งฮ่องเต้แขนขาพิกลพิการ”“งั้นหรือ เสด็จอา ท่านชะล่าใจเกินไปแล้วกระมัง ตรากิเลนเพลิงนั่น ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นของจริง”เฟยหมิงอ๋องหน้ากระตุก ความร้อนรนสะท้อนออกมาผ่านแววตาของเขา “อย่ามาทำไขสือเล่นลิ้นกับข้า”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไม่เชื่อหรือ หากไม่เชื่อท่านก็ลองหยิบออกมาดูสิ”มือหยาบกร้านแง้มกล่องไม้สักในมือขึ้นแช่มช้า อกซ้ายของเขาเต้นระทึกด้วยความประหวั่นบรรดาทหารกล้าที่ถูกเฟยหมิงอ๋องควบคุมต่างไขว้เขว กระทั่งสิ่งที่เขาหยิบออกมาก็เป็นเพียงไม้แกะสลักรูปหงส์ง่อย ๆ อันหนึ่งหลงเฟยหมิงผงะ “มะ…ไม่จริง!”เฉินกงที่ยืนเยื้องไม่ไกลสาวเท้า
ทว่าจูฟางหรงก็ยังสงบนิ่ง และไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจใด เสียงใสถามอีกฝ่ายด้วยความใจเย็น “ท่านอ๋อง กำลังอยากบอกสิ่งใดหรือ”เฟยหมิงอ๋องคิดว่ายามนี้ตนกำลังถือไพ่เหนือกว่า “นางคือคนของหอหงฮวา ทุกคนก็รู้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนปกครองราษฎรย่ำแย่เพียงใด ฮ่องเต้หมายปลิดชีพโหย่วอี้อ๋องเพื่อลดทอนอำนาจทหารจนต้องเลือกสตรีไร้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นพระชายาของเขา นางคือมือสังหารของหอหงฮวา สตรีเช่นนี้นับว่ามีคุณสมบัติใดได้รับตำแหน่งฮองเฮา”เสียงทุ้มถกเถียงอึงอลขึ้นอีกครั้งจู่ ๆ จูฟางหรงก็หัวเราะครืนราวได้ชมเรื่องขบขัน “ท่านอ๋องไม่คิดเลยว่าท่านจะห่วงไยสายโลหิตเดียวกันเพียงนี้ น่าเหลือเชื่อจริงเชียว แต่ทว่าท่านทำพลาดไปหนึ่งสิ่ง ท่านไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอกให้เอาบุญ ว่าข้ามีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการที่จะได้รับตำแหน่งฮองเฮา”“ฮองเฮา ท่านอย่าแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ อีกเลย”“ข้าเปล่าแก้ตัว หากทุกคนยังไม่รู้ ข้าก็อยากจะประกาศให้รู้โดยทั่วกัน ข้าคือคุณหนู เสิ่นฟางหรง และเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าเสิ่นที่รอดชีวิตจากการถูกใส่ความว่าเป็นกบฏ เมื่อสิบปีก่อน”หลงเฟ
บัลลังก์มังกรเริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เนื่องจากเป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เหล่าขุนนางไม่พบแม้แต่เงาของฮ่องเต้ พวกเขาจึงรวมตัวกันที่ลานหน้าตำหนักใหญ่ ต่างนั่งคุกเข่าตากแดดตากลม และอดอาหารเพื่อบีบคั้นให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันออกมาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง“ฝ่าบาทได้โปรดอย่าหมางเมินเหล่าอาณาประชาราษฎร์เลยพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ไม่ออกมาเกรงว่าคงต้องมีการแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่”เสียงขุนนางร้องดังระงมสะท้อนก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้ที่ยืนเหยียดยิ้มย่ามใจในยามนี้คงหลีกไม่พ้นเฟยหมิงอ๋อง เขารอโอกาสนี้มาเนิ่นนาน และผู้ที่ยุยงให้เหล่าขุนนางทำตัวประหนึ่งกบฏ ล้วนเป็นฝีมือของเขาเช่นเดียวกัน“พวกเจ้าไม่เห็นหัวข้าแล้วงั้นหรือ ข้าเป็นไทเฮา ยามนี้ฝ่าบาทประชวรแต่ก็ยังทำภารกิจไม่ว่างเว้น หลักฐานก็มี ไยจำต้องพบพระพักตร์ฝ่าบาทให้ได้”“แต่ว่าไทเฮา การปกครองจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีองค์จักรพรรดินั่งบนบัลลังก์ ทว่ายามนี้ กระทั่งฮองเฮาก็ไม่มี”“ผู้ใดบอกงั้นหรือว่าไม่มี” เสียงใสโพล่งขึ้นจากทางด้านหลัง ร่างระหงย่างกรายออกมาจากด้านในเนิบนาบด้วยท่วงท่างามสง่าเหล่าขุนนางปากอ้าตาค้