บทที่ 3 สายใย
ความเงียบในเรือนเมฆขาวหนักอึ้งจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจตนเอง แสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านบาง ๆ สะท้อนบนผืนกระดาษสีขาวซีดในมือหญิงสาว ราวกับฉายให้เห็นเงาของอดีตอันเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด…
หลานฮวานั่งลงช้า ๆ บนเบาะ หน้าตรงกับแสง พับชายอาภรณ์เรียบร้อยก่อนจะค่อย ๆ คลี่จดหมายนั้นออก
สายตาก้มมองจดหมายที่เริ่มคลี่ออกอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรหวัด ๆ อ่อนช้อย ลายมือที่นางเคยคุ้นแต่เลือนหายไปจากความทรงจำ เป็นลายมือของคนที่เคยเขียนชื่อของนางบนกล่องไม้ใต้ต้นหลิว…ครั้งยังเยาว์วัย ตัวอักษรทุกตัวถูกจรดด้วยมือละเมียดละไม น่าจะเขียนด้วยน้ำหมึกชั้นดี เพราะยังไม่ซีดจางแม้ผ่านกาลเวลา
ถึงฮวาเอ๋อร์ของพี่…ข้าคงเห็นแก่ตัวมากที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไว้โดยไม่บอกใคร
แต่หากเจ้าได้อ่าน แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆ
ข้ารู้ ว่าจดหมายฉบับนี้อาจไม่มีวันไปถึงเจ้า
แต่ข้าก็ยังเขียน ด้วยความหวังบาง ๆ ว่า… หากข้าหายไปจริง ๆ
จะมีใครซักคน…อาจเป็นเจ้า…ที่ได้อ่านมัน
ข้าไม่รู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อเป็นภาพลวงตาที่ครอบครัวนี้ใช้บังแสงเงาของเจ้า
เจ้าคือข้า และข้าก็คือเจ้า เราคือเงาสะท้อนกันและกันในโลกที่ไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของสองคน
พี่ขอโทษ ที่ได้ทุกอย่าง ทั้งที่ไม่สมควรได้อะไรเลย
แต่พี่…ไม่เคยลืมเจ้า ไม่เคย
ใต้ต้นหลิวหลังเรือนน้อยที่เคยซ่อนจดหมายกัน พี่ยังเก็บกล่องไม้เล็ก ๆ ไว้อยู่
ในนั้น…มีบางอย่างที่เจ้า ควรรู้
หลานฮวาชะงักเมื่ออ่านถึงตรงนี้หัวใจที่นิ่งแน่นกลับเต้นแรงขึ้นจังหวะหนึ่ง มือที่เคยเย็นชากลับกำกระดาษแน่นโดยไม่รู้ตัว
ถ้าข้าต้องจากไปก่อน…โปรดอย่าให้อภัยใครง่าย ๆ แม้แต่ครอบครัวของเราเอง
เพราะบางที ความจริง ที่เจ้าไม่เคยรู้…อาจเปลี่ยนทุกอย่าง
รักจาก…หลานเมย
หลานฮวาสูดลมหายใจเข้าลึกใจที่เคยแข็งดังเหล็กกลับเต้นแรงไม่เป็นส่ำมือที่เคยแน่วแน่กลับสั่นเล็กน้อย ยามที่ตาสบกับถ้อยคำตรงหน้า
หลานฮวากำจดหมายแน่นขึ้น ดวงตาเย็นชาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์
นางลุกพรวดพราดตรงไปดิ่งไปยังตู้เสื้อผ้าเมื่อครู่ ดึงถึ้งอาภรณ์ทั้งหมดออกมาจากตู้
หลานเมยเคยเขียนบอกนางว่าชอบสีฟ้า ดั่งท้องฟ้า มันหมายถึงอิสระ แต่ในตู้มีเพียงอาภรณสีกลีบดอกบัว
“เจ้าถูกคนพวกนั้นบีบบังคับแม้กระทั่งสีของเครื่องแต่งกายเลยหรือ”
เสียงคำรามในลำคอดังขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจนพอจะฟังออกว่าเต็มไปด้วยความคั่งแค้น
หลานฮวาคุกเข่าลงตรงหน้ากองอาภรณ์ที่กระจัดกระจายอยู่ตรงพื้นปลายนิ้วไล้ผ่านเนื้อผ้าเนื้อดีทีละชุดล้วนแล้วแต่เป็นสีชมพู กลีบดอกบัวอ่อน ๆ ไปจนถึงสีพีชบาง ๆ ไม่แม้แต่จะมีเงาของสีฟ้าให้เห็นแม้เพียงริ้วเดียว
“สีฟ้าคืออิสระ…พวกเขาไม่แม้แต่จะให้เจ้าหายใจเป็นตัวของตัวเองเลยด้วยซ้ำ”
เสียงของนางแผ่วเบา ทว่าข้างในกลับแหลมคมดั่งเข็มพันเล่ม ปลายนิ้วหยุดลงบนผืนผ้าผืนหนึ่ง ก่อนจะกำแน่น แล้วลุกขึ้น
“เจ้าถูกจับขังไว้ในกรงทอง ให้ยิ้ม ให้พยักหน้า ให้แต่งตัวให้เหมือนคนที่เขาต้องการ แล้วสุดท้าย…เขาก็ผลักเจ้าลงเหวเหมือนกับที่ทำกับข้า”
หลานฮวาหยิบชุดสีชมพูอ่อนที่ดูหรูหราที่สุดขึ้นมา แล้วเหวี่ยงมันลงบนเตียงอย่างไม่ไยดี
นางเดินตรงไปยังกล่องไม้เครื่องประดับ เปิดมันออกแววตาแข็งกร้าวเมื่อเห็นว่าแม้แต่ปิ่นปักผม สร้อยคอ กำไล ทุกชิ้นล้วนเป็นลวดลายของกลีบบัวอ่อนราวกับถูกจัดวางตามแบบเดียวกัน
“ดี…ตั้งใจจะให้ข้ากลายเป็นหลานเมยแทนอย่างนั้นหรือ” หลานฮวาหัวเราะเย็นเสียงหัวเราะที่ไร้ความสุข ไร้ความรู้สึกก่อนที่นางจะพูดเสียงต่ำ ดุจคำสัญญาที่กลั่นออกจากเลือดและน้ำตา
“หากเจ้าถูกบังคับให้สวมบทบาทดาวนำโชค…ข้าจะทำให้ทุกคนต้องชดใช้ที่เคยพรากเจ้าจากท้องฟ้า” นางเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดอาภรณ์ท้องหมดเป็นชิ้นเล็กชิ้น
เสียงตัดผ้า กร๊อบ กร๊อบ ดังสะท้อนในความเงียบของเรือน จนแม้แต่ผนังไม้เก่าแก่ยังสั่นสะท้าน
หลานฮวานั่งคุกเข่ากับพื้น พับผ้าชั้นดีที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ
ไม่มีแม้แต่ความลังเลในแววตา
นางลงมือทำราวกับมันคือพิธีกรรมพิธีล้างคำสาปของพี่สาวผู้ถูกกักขัง และบ่มเพาะความแค้นของตนให้หนาแน่นยิ่งขึ้น
เศษผ้าสีอ่อนยังอุ่นไอจากมือของนางหลานฮวานั่งทรุดอยู่กลางกองผ้าที่เพิ่งตัดขาดอ้อมแขนกอดมันแน่นเข้ากับอก ราวกับมันคือร่างของใครบางคนที่ไม่อาจหวนคืน
ริมฝีปากเม้มแน่น
เสียงกรีดร้องอัดแน่นในลำคอ ถูกกลั้นไว้จนกลายเป็นเสียงสะอื้นเงียบ ๆ นางไม่กล้าเปล่งเสียงเพราะกลัวคนด้านนอกจะได้ยินกลัวใครจะมาพรากช่วงเวลาเศร้าโศกส่วนตัวนี้ไป กลัวแม้แต่เพียงเสี้ยวของความรู้สึกนี้จะหลุดรอดไปถึงหูของผู้ที่ไม่ควรรู้
แม้บิดาจะทอดทิ้งนาง
แม้ผู้คนจะมองว่านางคือดาวหายนะ
แต่มีเพียง หลานเมย เท่านั้น…ผู้เดียวในโลกนี้ ที่ไม่เคยมองนางเช่นนั้น
นางยังจำได้…
“หลานฮวา เจ้าสบายดีหรือไม่ ท่านทวดให้อ่านตำรายาวันละสามเล่มหรือเปล่า”
“วันนี้ข้าได้เรียนร้อยดอกไม้กับแม่ใหญ่ สีชมพูนั้นเหมือนกลีบบัวมากเลย ข้าคิดถึงเจ้า…ที่นั่นมีดอกไม้หรือเปล่า”
ตัวอักษรบรรจงประสานเป็นลายมืออ่อนหวาน ปลอบประโลมใจดั่งยามฝนโปรย
หลานฮวาเคยอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนแทบจะจำได้ทุกคำพี่สาวคือผู้เริ่มต้นส่งจดหมายถึงนางก่อน แม้แต่ตอนที่นางยังเขียนหนังสือไม่คล่อง หลานเมยก็ยังเขียนให้ นางก็เขียนตอบกลับไปด้วยตัวอักษรเบี้ยว ๆ ไม่เป็นระเบียบ
เดือนแล้วเดือนเล่า
ปีแล้วปีเล่า
สายใยนั้นไม่เคยขาด
แม้นางจะอยู่กลางหุบเขาพิษ แม้จะอยู่ในถ้ำกลางฤดูหนาวอันเหน็บหนาว จดหมายของพี่สาวยังคงเดินทางไปถึง กล่องไม้ใบเดิมยังคงเต็มไปด้วยข้อความห่วงใยที่ไม่มีใครรู้
หลานฮวาซุกหน้าเข้ากับเศษผ้า กลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอ ราวกับยอมให้น้ำตากัดกร่อนหัวใจตัวเอง
“พี่เมย…ท่านรู้ใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่มีใครอีกแล้ว…”
จู่ ๆ แววตาโศกก็หลายเป็นเครียดแค้นในแับพลัน
“พวกเจ้าต้องการให้ข้าเป็นหลานเมยใช่หรือไม่…งั้นก็จงจำไว้ให้ดี ว่า ตัวแทนหลานเมย ที่พวกเจ้าพากลับมา ไม่ได้ชักจุงง่ายดั่งหลายเมยที่พวกเจ้าเคยมี”
เมื่อผืนผ้าเฉดสีอ่อนพังพินาศกลายเป็นเศษชิ้น เศษเสี้ยวหลานฮวาลุกขึ้น ก้าวยาวไปยังห่อผ้าน้อย แล้วนำอาภรณ์ของตนเองในห่อผ้าออกมาแขวนแทนสี
ผ้าสีดำขลับถูกแขวนแทนที่เครื่องแต่งกายของพี่สาว ชุดสีดำสนิทตั้งแต่ไหล่จรดชายกระโปรงแถบขอบเงินบาง ๆ เงาวับเย็นเยียบ แม้จะมืดมน แต่กลับสง่างามจนหยุดหายใจ
หลานฮวาเปลี่ยนชุดเงียบ ๆ
นางปล่อยผมยาวดำสนิทลงมาไม่รวบ ไม่ประดับ ไม่แซมดอกไม้ แค่เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็คล้ายวิญญาณกลางหุบเขาเหมันต์ที่เพิ่งออกมาล่าเลือด
ในเงาสะท้อนของกระจก ไม่มีอีกแล้ว ‘คุณหนูจ้าว’ ที่อ่อนแอ หรือเด็กสาวผู้มีตราดาวหายนะติดตัวเหลือเพียงหญิงสาวที่แบกคำสาบานไว้เต็มสองบ่า และจ้องมองความพินาศของสกุลจ้าวด้วยดวงตาสงบนิ่ง…จนขนลุก
บทที่ 5 พบคนรักของคนที่ต้องแต่งด้วยเสียงดนตรีอ่อนโยนจากสายพิณในสวนหลวงด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวดังคลอไหวไปกับสายลม หลานฮวาสวมชุดคลุมตัวยาวสีดำขลับ เดินทอดน่องอย่างสง่างามตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาให้ไปพบว่าที่สามี คนที่จะต้องร่วมชีวิตด้วยหลังจากนี้ บุรุษที่พี่สาวของนางเคยถูกหมั้นหมายไว้กับเขาศาลาริมสระบัวในสวนด้านทิศตะวันออกของจวนเสนาบดีจ้าวในยามบ่ายคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุปผาหอมจาง ๆ ดนตรีจากสายพิณดังแผ่วราวเลือนลางในความทรงจำ หลานฮวาเดินเข้าสู่ศาลาอย่างเงียบงัน สีหน้าเรียบนิ่งราวไม่มีอะไรในโลกนี้จะแตะต้องใจนางได้อีกแล้วบนม้านั่งหินในศาลา หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งก้มหน้า เช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าปักลาย ‘หลานเมย’ บนขอบผืนอย่างบรรจงหลานฮวาหยุดมองครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น เจ้าหยิบมาจากเรือนของหลานเมยสินะ”หญิงสาวสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า…หลานเมย”หลานฮวายกยิ้มมุมปาก นิ่ง ไม่ตอบในทันที นางจ้องมองหญิงสาวผู้นั้น พลางมองเงาตนเองที่สะท้อนในสระ…เป็นเงาของผู้ที่ยังมีชีวิต แต่อีกคนกลับหายไปจากโลกนี้ก่อนที่หลานฮวาจะทันได้พูดอะไร เสียงฝีเท้าหนักแน่นดัง
บทที่ 4 ยาพิษในราตรีคืนแรกของการมาเยือนจวนสกุลจ้าว ค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกคือ แสงจันทร์ฉาบลงบนหลังคาจวนเสนบดีจ้าว ราวกับแสงสุดท้ายก่อนพายุร้ายจะกระหน่ำลงมาดวงจันทร์ลอยลับหลังม่านเมฆ ทิ้งให้เงาค่ำครองทั่วเรือนจวนเสนาบดีลมเย็นเฉียบแทรกเข้าระหว่างซี่หน้าต่างราวกับเสียงกระซิบจากโลกวิญญาณและนั่นคือคืนแรกที่หลานฮวาเดินทางกลับมา…ลมเย็นหอบกลิ่นสมุนไพรประหลาดบางอย่างลอยผ่านหน้าต่างบานเล็กของห้องครัวใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่า กลิ่นหอมนั้นไม่ใช่กลิ่นของเครื่องปรุง แต่คือ พิษ จากยอดเขาอันไร้ผู้คนพิษนิมิตเงาเป็นยาที่ท่านทวดเคยเตือนนางมิให้ใช้ หากไร้เหตุจำเป็น มันไม่ฆ่า ไม่เจ็บ ไม่ปรากฏร่องรอย แต่จะชักนำผู้ถูกพิษเข้าสู่ห้วงฝันอันสั่นคลอนความจริงบิดเบือนเวลา ความทรงจำ และดึงเอาความกลัวที่ซ่อนลึกที่สุดมาเปิดโปง และหลานฮวา…เลือกใช้มันลงมือในคืนนี้เมื่อเรือนของหลานเมยกลายเป็นของนางเมื่อนางก้าวเข้ามาแทนที่พี่สาวเมื่อต้องเริ่ม ล้างบัญชี และตามหาความจริงในฝันฮูหยินจ้าว กรีดร้องสุดเสียงเมื่อร่างของนางตกลงจากหน้าผาสูงชัน ผ้าคลุมศีรษะสีแดงของเจ้าสาวพันรัดรอำคอนาง ดึงรั้งให้นางดิ่งลึกลงไปในหุบเหวที่ไ
บทที่ 3 สายใยความเงียบในเรือนเมฆขาวหนักอึ้งจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจตนเอง แสงแดดยามบ่ายส่องลอดม่านบาง ๆ สะท้อนบนผืนกระดาษสีขาวซีดในมือหญิงสาว ราวกับฉายให้เห็นเงาของอดีตอันเจ็บปวดที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัด…หลานฮวานั่งลงช้า ๆ บนเบาะ หน้าตรงกับแสง พับชายอาภรณ์เรียบร้อยก่อนจะค่อย ๆ คลี่จดหมายนั้นออกสายตาก้มมองจดหมายที่เริ่มคลี่ออกอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรหวัด ๆ อ่อนช้อย ลายมือที่นางเคยคุ้นแต่เลือนหายไปจากความทรงจำ เป็นลายมือของคนที่เคยเขียนชื่อของนางบนกล่องไม้ใต้ต้นหลิว…ครั้งยังเยาว์วัย ตัวอักษรทุกตัวถูกจรดด้วยมือละเมียดละไม น่าจะเขียนด้วยน้ำหมึกชั้นดี เพราะยังไม่ซีดจางแม้ผ่านกาลเวลาถึงฮวาเอ๋อร์ของพี่…ข้าคงเห็นแก่ตัวมากที่เขียนจดหมายฉบับนี้ไว้โดยไม่บอกใครแต่หากเจ้าได้อ่าน แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆข้ารู้ ว่าจดหมายฉบับนี้อาจไม่มีวันไปถึงเจ้าแต่ข้าก็ยังเขียน ด้วยความหวังบาง ๆ ว่า… หากข้าหายไปจริง ๆจะมีใครซักคน…อาจเป็นเจ้า…ที่ได้อ่านมันข้าไม่รู้ว่าข้าเกิดมาเพื่อตัวเอง หรือเพื่อเป็นภาพลวงตาที่ครอบครัวนี้ใช้บังแสงเงาของเจ้าเจ้าคือข้า และข้าก็คือเจ้า เราคือเงาสะท้อนกันและกัน
บทที่ 2 ยึดตัวตนหลานฮวาเงยหน้ามองบิดาและแม่ใหญ่แววตาเรียบสนิท ริมฝีปากยังคงยิ้มบาง…แต่ไร้ความอบอุ่น“หากจะให้ข้าแต่งงานแทนพี่หลานเมย…”“เช่นนั้น ทุกสิ่งที่เคยเป็น และกำลังจะเป็นของนางต้องเป็นของข้า”เสียงของนางชัดเจน หนักแน่น ราวกับกำลังประกาศกลางห้องโถง ไม่มีวาจาใดของบิดาหรือแม่ใหญ่แทรกขึ้นมาได้ในขณะนั้นแม้แต่สายตาของบ่าวไพร่ที่ยืนอยู่โดยรอบ ก็ยังต้องก้มหน้าหลบ“ตั้งแต่เกิดมา ข้าไม่เคยได้แม้แต่หยาดน้ำนมจากมารดา ถูกส่งขึ้นเขา ถูกลืมเลือน…ในขณะที่หลานเมยได้ทุกอย่าง ทั้งความรัก ทั้งชื่อเสียง ทั้งเรือนทั้งหอ”นางก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว สายลมยามสายพัดชายอาภรณ์ให้โบกเบา เหมือนคำประกาศของนาง กำลังจารไว้ในฟากฟ้าเหนือจวน“ในเมื่อพี่สาวตายไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ข้าจะรับทุกสิ่งของนางไว้ แม้แต่คนรับใช้ที่เคยดูแลนางก็ต้องมาดูแลข้า ในฐานะ…คนที่ยังมีชีวิตอยู่”บิดานางอ้าปากเหมือนจะเอ่ยคำใดแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดรอดออกมาทัน แม่ใหญ่ก็เพียงบีบพัดในมือแน่นเล็กน้อย ดวงตาฉายแววไม่สบอารมณ์ แต่ก็จำต้องกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม“ได้สิ เอาอย่างเจ้าว่าเลย เดี๋ยวพ่อจัดการให้”เรือนเมฆขาว คือชื่อที่จารึกไว้หน้าประตูไม้
บทที่ 1 กลับคืนเสียงเกือกม้าเหยียบลงบนดินแห้งแล้งในยามเช้ามืด คล้ายเสียงหัวใจของเมืองหลวงที่หยุดเต้นไปครู่หนึ่งยามที่มีรถม้าปรากฏที่หน้าประตูเมืองไม่มีใครรู้ว่าเป็นรถม้าใคร ไม่มีใครกล้าถามในดวงตาคมดุที่ฉาบด้วยม่านหมอกสีเทานั้นเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้ คล้ายความตาย คล้ายไฟแค้น คล้ายอดีตที่ยังไม่ถูกลืม มือขาวซีดแวกผ้าม่านรถม้าออกก่อนจะเอ่ยบอกยามเฝ้าประตูเมืองหลวง“เปิดประตู ข้ามีนามว่า หลานฮวา บุตรสาวคนเดียวของเสนาบดีคลังจ้าวหยงชิง”เสียงนางเรียบเย็น แต่ก้องสะท้อนในอกของทหารยาม เสี้ยววินาทีที่ได้สบตานาง ราวกับต้องมนตร์จนต้องรีบหลีกทางให้อย่างไม่รู้ตัว“ดาวหายะนะหรือ… ยังไม่ตาย”“นางกลับมาทำไมกัน หรือจะมารับช่วงต่อจากพี่สาว” แล้วเหตุใดนางจึงกล้าเอ่ยว่าตนเองคือบุตรสาวคนเดียวของเสนบดีจ้าวกัน แล้วพี่สาวที่ตายไปมินับญาติกันหรอกหรือ “เฮอะ ใครจะไปลืมได้… วันคลอดวันนั้นน่ะ ดาวดีมีเพียงดวงเดียว อีกดวงเป็นเคราะห์ร้ายจะนำพาทั้งตระกูลถึงแก่ความตาย”เสียงซุบซิบดังไม่ขาดสายในตลาดยามเช้า เมื่อข่าวการกลับมาของบุตรีต้องคำสาปกระจายไปทั่วเมือง ผู้คนจดจำได้เพียงว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าน
บทนำณ ค่ำคืนหนึ่งซึ่งดาวบนฟากฟ้าส่องแสงสลัว แสงจันทร์ทอดเงาเย็นเยียบลงบนเรือนร่างบอบบางของสตรีผู้กำลังเจ็บครรภ์ เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังก้องในห้องไม้เก่า ๆ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของชีวิตใหม่จะกรีดผ่านความเงียบสงัดนั้นทารกคนแรกคลอดออกมา พร้อมเสียงร้องสดใสดังพลิ้วไหว แววตากลมใสที่ลืมขึ้นครั้งแรกดูราวกับสะท้อนแสงดาว บรรดาผู้คนในเรือนต่างโห่ร้องยินดี กล่าวขานว่านางคือ “ดาวนำโชค” ที่จะนำความรุ่งเรืองและเกียรติยศสู่ตระกูลแต่แล้ว… ทารกคนที่สองกลับคลอดตามออกมาพร้อมเสียงร้องแผ่วเบา และรอยปานประหลาดรูปดอกไม้มอดไหม้กลางแผ่นหลัง ดวงตาคู่นั้นมืดมัว ไร้แววความยินดี แทบจะในทันที… มีเสียงหวีดร้องจากแม่นมดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก“นั่นมัน… ดาวหายะนะ!”ไม่มีแม้คำปลอบโยน ไม่มีแม้โอกาสได้ดูดดื่มน้ำนมจากอกของผู้ให้กำเนิด ทารกน้อยถูกพรากจากอกไปไกลแสนไกล ราวกับเป็นภาระที่ไม่อาจปล่อยให้อยู่ใกล้ผู้คนในเมืองหลวงได้นางถูกส่งตัวไปยัง เขาพิษ ดินแดนห่างไกลที่ผู้คนต่างเล่าขานถึงสัตว์ประหลาด พิษร้าย และหมอยาเฒ่าผู้มีชีวิตอยู่เกินร้อยปี ผู้ที่เป็นทวดของพวกนาง ผู้ถูกลืมเลือนจากโลกภายนอก นางเติบโตท่ามกลางกลิ่นสมุนไพร