บทที่ 7 งานมงคล
งานมงคลสมรสแห่งจวนแม่ทัพบูรพา
เสียงฆ้องกลองมงคลดังลั่นทั่วจวน เสียงดนตรีเคล้าคลอด้วยเสียงหัวเราะของแขกเหรื่อที่เบียดแน่นแน่นในเรือนรับรอง หญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงสดนั่งนิ่งอยู่ในห้องหอ เบื้องหน้าคือผ้าม่านสีแดงที่ถูกกางไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคล แต่เบื้องในจิตใจกลับดำมืด
“คุณหนูเจ้าคะ ถึงเวลาแล้ว”
เสียงบ่าวสาวใช้เอ่ยขึ้นเบา ๆ หลานฮวาพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้อง ชุดเจ้าสาวยาวลากพื้น เสียงกระดิ่งเงินที่ขอบชายผ้าดังแผ่วเบาทุกย่างก้าว
อีกฝั่งหนึ่งของเรือน เจ้าบ่าวในชุดแต่งงานเต็มยศยืนรออยู่หน้าศาลากลางสวน ดวงตาคมใต้คิ้เข้มไม่มีแววตื่นเต้น ไม่มีแม้แต่ความอ่อนโยนที่คู่ควรจะมอบให้เจ้าสาวของตน
ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างดี จัดจ้านตระการตา ทว่าภายในใจกลับว่างเปล่า ยามที่ทั้งสองยืนเคียงกันบนเวทีพิธี ทั้งเสียงแสดงความยินดีของแขก และคำกล่าวอวยพรจากผู้ใหญ่ ล้วนดังอยู่รอบกาย…แต่ไร้ซึ่งความหมาย
ไม่มีมือที่จับกันแน่น ไม่มีรอยยิ้มสบตากันแม้เพียงนิด
“ขอให้รักมั่นคงตราบฟ้าดินสลาย” ผู้เฒ่ากล่าวอวยพร
หลานฮวาเพียงยิ้มบางใต้ผ้าคลุมรอยยิ้มที่เหมือนรอยเยาะในแววตา ส่วนแม่ทัพหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เพียงประสานมือคำนับตามพิธี
งานมงคลนี้ช่างเหมือนเวทีละคร บทบาทเจ้าสาวเจ้าบ่าวถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ใจทั้งสองกลับล่องลอยไปคนละทิศ
เสียงหัวเราะแผ่วเบา ลอยปะปนมากับกลิ่นเครื่องหอมและเหล้าชั้นดี แขกเหรื่อในงานขุนนาง ข้าราชการ และสตรีสูงศักดิ์ต่างจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างคึกคัก ทว่าเบื้องหลังเสียงหัวเราะเหล่านั้น คือคำกระซิบกระซาบที่หลุดลอดออกมาเป็นระยะ
“เฮ้อ…แม้จ้าวหลานเมยจะงามล่มเมืองก็จริง แต่สุดท้ายก็ถูกลือว่าตายเพราะอกหักเสียแล้ว”
“แล้วคุณหนูคนใหม่…นั่นใช่หรือไม่ ว่ากันว่าเป็นแฝดผู้น้องที่เคยถูกส่งไปอยู่กับเฒ่าพิษที่เขาอู๋เยว่”
“แม้หน้าตาจะเหมือน แต่ดูสิ…แววตานั่น ข้าขนลุก!”
“ว่าไปแล้วก็สงสารนางเหมือนกันนะ แต่งเข้ามาทั้งที่แม่ทัพไม่ได้รัก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสาวคนเดิมหรือเจ้าสาวตัวแทน คนอย่างแม่ทัพหลางหานเจิ้ง…ใจเขามีเพียงรุ่ยหรันคนเดียว”
เสียงกระซิบกระซาบไม่ต่างอะไรกับพิษค่อย ๆ ไหลเวียนไปทั่วงาน
แม้หลานฮวาจะนั่งสงบงามอยู่ในชุดเจ้าสาว แต่สายตานับสิบที่จ้องมองมา มีแต่การประเมิน ดูถูก สงสัย และ…เยาะเย้ย
นางได้ยินทุกคำ
นางรู้ว่าเสียงเหล่านั้นหากเป็นเจ้าสาวคนอื่นคงเจ็บไม่น้อย แต่นางก็เพียงแค่มุมปากยกยิ้ม…เย็นชา
เสียงดนตรีในงานมงคลยังคงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง แขกเหรื่อทยอยยกถ้วยอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่นั่งเคียงกันบนแท่นทองคำ แต่มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า แววตาของผู้คนมากกว่าครึ่งหันไปจับจ้องยังบุคคลหนึ่งที่เพิ่งปรากฏตัวในห้องโถง
รุ่ยหรัน ในชุดผ้าไหมสีน้ำผึ้งอ่อน เยื้องย่างเข้ามาอย่างอ่อนช้อย ผิวขาวผ่องและใบหน้าอ่อนหวานยิ่งกว่าดอกพีชยามผลิบาน นางยกมือคารวะอย่างนอบน้อม ทว่าแววตากลับสั่นระริกเมื่อต้องสบกับสายตาของหลานฮวา
แม่ทัพหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยแต่เก็บอาการทัน เขาเบือนหน้าไปอีกทาง ยกถ้วยสุราขึ้นจิบช้า ๆ
หลานฮวาเห็นทุกอย่างแต่แทนที่จะสะทกสะท้าน นางกลับหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ข้ามิคิดว่าเจ้าจะกล้าเหยียบเข้ามาในงานนี้ได้จริง ๆ”
สายตาของนางทอดมองรุ่ยหรันอย่างนึกขัน ราวกับว่านางมิใช่สตรีคู่แข่งในหัวใจของสามีตน แต่เป็นตัวตลกในโรงละคร
“หรือเจ้าหวังจะมาชิงตำแหน่งเจ้าสาวในห้วงสุดท้ายกัน”
หลานฮวาเพียงยกถ้วยสุราขึ้น ยิ้มอ่อนหวานต่อหน้าแขกเหรื่อ ก่อนจะเอนศีรษะเล็กน้อยพอให้ใครต่อใครเข้าใจว่าเจ้าสาวยินดีรับการอวยพร
ทว่าลึกลงไปในดวงตาดำขลับคู่นั้น…กลับแฝงด้วยความเย็นชาและหยามเหยียด
รุ่ยหรันยืนนิ่งอยู่เพียงครู่ แล้วค่อยก้มหน้าลงหลบสายตานั้นด้วยหัวใจที่สั่นไหว นางมาเพื่อประกาศว่าต่อให้อีกฝ่ายได้แต่ง แต่เป็นนางต่างหากที่เป็นเจ้าของเจ้าบ่าวที่แท้จริง แต่ไม่คาดว่าสตรีจากเขาห่างไกลจะโต้กลับเช่นนี้
หลานฮวาวางถ้วยสุราลงเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวเล็กน้อยไปทางรุ่ยหรัน ดวงตาคู่งามที่คล้ายจะยิ้ม ทว่ากลับเยียบเย็นดั่งน้ำค้างเหน็บหนาวยามเหมันต์
“หากเจ้าต้องการแย่งตำแหน่งฮูหยินเอกจากข้า…เกรงว่าคงต้องไปขอสมรสพระราชทานจากฮองเต้เสียก่อน”
เงียบอึ้งไปทั้งโต๊ะ คนใกล้เคียงถึงกับกลั้นหายใจ
หลานฮวายังไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางปรายตามองรุ่ยหรันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยเสียงเบาราวกับเล่าเรื่องธรรมดา
“ว่าแต่…ทั้งบิดาเจ้าและตัวเจ้าเอง ได้ทำสิ่งใดเพื่อบ้านเมืองนี้กันหรือ…หรือเพียงเดินตามเงาหลังแม่ทัพหลางหานเจิ้ง ข้าละสงสารนัก…เดินตามเขาเสียจนลืมแม้แต่จะยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง เอาความดีความชอบแม่ทัพไปขอพระราชทานสมรสกับฝ่าบาทเสียสิ ดูแล้วเจ้าน่าจะถนัดทำเช่นนั้นมากว่า”
รุ่ยหรันกัดริมฝีปากแน่น ใบหน้าขาวผ่องซีดเผือดลงราวถูกตบกลางตลาด
หลานฮวาเพียงยิ้มรับถ้วยอวยพรอีกใบจากแขกที่พยายามเบี่ยงประเด็นความอึดอัด แล้วกล่าวเสียงหวาน
“วันมงคล…ควรดื่มให้สุขใจ มิใช่หรือเจ้าคะ” นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มจนหมดถ้วยก่อนจะฉีกยิ้มกว้างด้วยความยินดี
ตอนพิเศษ 6 พ่อลูกสายรบ แม่สายยาพิษเมื่อแม่จับลูกกินยาตั้งแต่ขวบครึ่ง“ขมมาก…” เด็กชายตัวน้อยน้ำตาคลอเมื่อหลานฮวาหยดยาสีดำลงปาก“อือ อมไว้” นางว่าเสียงเรียบ“ท่านแม่…ข้าอยากกินขนม”หลางหานเจิ้งรีบเข้ามาอุ้มลูกพร้อมมองภรรยาอย่างอ้อนวอน“ฮวา…ลูกยังเล็กนัก”“หากท่านออกรบแล้วโดนพิษ ท่านจะหวังให้ลูกกินขนมรอท่านรอดกลับมาหรือ”“…ข้าจะเตรียมจดหมายพินัยกรรมไว้แต่เนิ่น ๆ ก็แล้วกัน…”การฝึกเชิงยุทธของพ่อลูกตั้งแต่ซื่อเหยียนอายุห้าขวบ หลางหานเจิ้งก็ให้เขาเริ่มฝึกหมัดพื้นฐาน“ข้าเจ็บ” เด็กน้อยครวญเมื่อฝ่ามือถลอกจากไม้กระบอง“แม่เจ้าเคยขุดสมุนไพรด้วยมือเปล่ากลางหิมะ ยังไม่ร้องเลย เจ้าเป็นชายจะร้องไห้เชียวหรือ”ซื่อเหยียนมองหน้าบิดา ก่อนเงียบและฝืนฝึกต่อจากนั้นหลางหานเจิ้งก็หันหลังไปซับน้ำตา…ของตัวเอง“ใจเจ้ากล้ากว่าใจข้าเสียอีก ซื่อเหยียน…” เขากระซิบเบา ๆ ด้วยเสียงสะเอื้อน จำต้องฝึกให้บุตรชายแข็งแกร่ง แต่ก็แอบน้ำตาซึมทุกคราที่เห็นเขามีน้ำตาอุบัติเหตุจากห้องปรุงยาวันหนึ่ง ซื่อเหยียนแอบเข้าห้องของมารดาคิดว่าเป็นครัว หยิบขวดที่คิดว่าเป็นน้ำหวานขึ้นมาชิม…ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในตั่ง ห่มผ้าแน่นหนาหลาน
ตอนพิเศษ 5 ท่านแม่ทัพกับลูกน้อยใครจะคิดว่าแม่ทัพผู้ดุดันแห่งแคว้นจะกลายเป็น บิดาผู้คลั่งรักลูกได้ถึงเพียงนี้แม้จะยังคงเป็นแม่ทัพที่ศัตรูหวาดกลัวในสนามรบ แต่ภายในจวนหลาง เขาคือชายผู้เงอะงะในยามอุ้มลูก และเคร่งเครียดยิ่งกว่าออกศึกยามลูกน้อยร้องไห้กลางดึกคืนแรกหลังจากลูกเกิดหลังหลานฮวาคลอด ลูกชายตัวน้อยถูกตั้งชื่อว่า หลางซื่อเหยียน หมายถึงหมอกเย็นแห่งขุนเขาคืนแรกหลังจากลูกเกิด หลางหานเจิ้งนั่งเฝ้าข้างเปลตลอดทั้งคืน“เขาจะหายใจไม่ออกไหม”“ไม่เจ้าค่ะ เด็กทุกคนก็เป็นแบบนี้”“แน่ใจหรือหรือเราควรมีหมอเฝ้าไว้ตลอดยามค่ำ”บ่าวรับใช้ต่างพากันอมยิ้มเมื่อเห็นแม่ทัพแห่งชายแดนผู้ไม่เคยย่อมคุกเข้าให้ใคร กำลังนั่งพับเพียบอยู่หน้าตั่งของลูกน้อย ดวงตาที่เคยดุดันกลับอ่อนโยนลงราวแสงจันทร์ที่สาดลงบนยอดหญ้าเมื่อเขาอุ้มลูกครั้งแรก หลางหานเจิ้งอุ้มดาบได้หลายร้อยเล่ม แต่พออุ้มลูกกลับแข็งทื่อประหนึ่งถือศิลาต้องคำสาป“ข้า…อุ้มแบบนี้ถูกหรือไม่”“ผิดหมดเลยเจ้าค่ะ เอาท้องคุณชายน้อยแนบอก ไม่ใช่แนบแขนแข็ง ๆ ของท่าน”แต่แล้วเมื่อซื่อเหยียนเงียบเสียงและซุกหน้าลงกับอกของเขา หลางหานเจิ้งนิ่งไปนาน…ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงจ
ตอนพิเศษ 4 เริ่มต้นชีวิตคู่…และชีวิตใหม่ในครรภ์หลังจากที่หลานฮวาตัดสินใจ ลองใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยา กับหลางหานเจิ้ง ชีวิตประจำวันของทั้งสองค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากความเคยชินสู่ความผูกพันที่ลึกซึ้งเขาเริ่มลุกก่อนทุกเช้า ชงชาสมุนไพรให้นาง นางเริ่มคอยรอเขากลับจากว่าราชการ แล้วตักข้าวให้ในมื้อค่ำบางวันเขาจะนั่งแกะผลไม้อย่างเงียบ ๆ ให้นาง บางวันนางจะถักด้ายให้เขาเอาไปเย็บผ้าคลุมไหล่ใหม่ไม่มีคำรักพร่ำเพรื่อ ไม่มีพิธีรีตรองแต่การกระทำเล็ก ๆ เหล่านี้ค่อย ๆ เติมเต็ม ใจ ที่เคยด้านชาจากอดีตจนกระทั่งวันหนึ่ง…ยามสายของฤดูใบไม้ผลิหลานฮวารู้สึกคลื่นไส้อย่างไร้สาเหตุมาแล้วหลายวันในที่สุดนางก็ยอมให้หมอประจำจวนตรวจดู“คุณหนู…มิใช่ ฮูหยิน…ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ ท่านตั้งครรภ์แล้ว”นางนิ่งไปครู่หนึ่งไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เพราะจิตใจนาง…ไม่เคยเตรียมรับข่าวนี้จริง ๆบุตรคนหนึ่ง…ในร่างของนางบุตรของนางกับเขาเมื่อหลางหานเจิ้งกลับมาถึงเรือนเขารู้ได้ทันทีว่านางมีเรื่องจะบอก หลานฮวาไม่ได้พูดอะไรทันที นางเพียงวางมือเขาเบา ๆ บนหน้าท้องของตนเอง แล้วกระซิบช้า ๆ“ท่านจะได้เป็นบิดาแล้ว”เขาชะงักไปชั่วขณะจากนั้นคุกเข
ตอนพิเศษ 3 มือหนึ่ง…และรอยยิ้มแรกบรรยากาศบนเรือนเหม่ยฮวานิ่งสงบเสียงใบไม้ไหวแผ่วเบา คล้ายเสียงกระซิบของหัวใจหลางหานเจิ้งยังคงนั่งอยู่ข้างนางมือเขายังประสานกับมือนางอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าแรงไปเพียงนิด จะทำให้นางผละหนีเวลาผ่านไปเพียงครู่หรืออาจเนิ่นนานกว่าที่ใครจะรู้หลานฮวาที่เคยมองลงต่ำพลันขยับนิ้วมือเล็กน้อยก่อนที่ปลายนิ้วของนางจะค่อย ๆกุมมือเขาตอบ อย่างเงียบงัน และมั่นคงหลางหานเจิ้งไม่ได้หันมามองทันทีแต่หัวใจเขาเต้นถี่ขึ้นราวกับจะขาดไม่ใช่เพราะหวังว่านางจะรักแต่เพราะรู้ว่า…นางเริ่มเชื่อใจและในจังหวะที่สายลมพัดเอาเส้นผมของนางปลิวมาสะบัดเบา ๆนางกลับยกมืออีกข้างมาจัดมันอย่างเงียบ ๆพร้อมกับ ยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มที่ไม่ใช่เพื่อปกปิด ไม่ใช่เพื่อเย้ยหยันแต่เป็นรอยยิ้มแท้จริง เหมือนบุปผาที่ผลิบานโดยไม่ทันได้รู้ตัวว่า ฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้วหลางหานเจิ้งเห็นรอยยิ้มนั้นจากหางตาเขาไม่พูดอะไร เพียงแต่โน้มตัวลงเล็กน้อยใช้แขนอีกข้างประคองลมเย็นที่พัดมาทางนางไม่ให้โดนตัว“หนาวหรือไม่”เสียงของเขายังแผ่ว อ่อนโยนเหมือนเดิมหลานฮวาส่ายหน้าช้า ๆก่อนจะเอนศีรษะพิงกับเสาเรือนอย่า
ตอนพิเศษ 2 ใต้เงาจันทร์ ใจหนึ่งเผยความจริงหลานฮวานั่งมองเปลวเทียนที่สั่นไหวในยามค่ำคืน แสงอุ่นนั้นคล้ายคลึงกับดวงตาของหลางหานเจิ้งที่มองนางอย่างไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่วันที่เขาแต่งนางเข้าจวน…จนถึงวันนี้ เขายังคงเป็นเช่นเดิมเขาอยู่ตรงนั้นเสมอ“ความรักระหว่างชายหญิง ข้าเคยเห็นมานัก…แต่ไม่เคยเข้าใจ”นางพึมพำกับตนเอง “บางที…มันอาจจะไม่ต่างจากความรู้สึกที่ข้ามีให้พี่สาวฝาแฝด ความรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้ ความเงียบที่ไม่อึดอัด ความคิดถึงในยามจากไกล”แม้นางจะบอกกับหลางหานเจิ้งว่า “ข้าอาจจะรักท่าน”แต่นางก็ไม่รู้ว่า รักเช่นนั้นลึกซึ้งเพียงใดนางไม่รู้ว่ารักคือแรงปรารถนาอันเร่าร้อนหรือคือความเข้าใจอันลึกซึ้งระหว่างวิญญาณสองดวง แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้แน่คือ…“เมื่ออยู่ใกล้เขา ข้ารู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าตนไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา”กับคนอื่น หลานฮวาต้องปั้นหน้า ต้องระวังคำพูด ต้องคอยรับมือกับอันตรายรอบด้าน แต่กับเขา…นางแค่นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ก็พอ เขาไม่เร่งเร้า ไม่คาดหวังนางไม่รู้ว่าเรียกสิ่งนี้ว่ารักหรือไม่แต่หาก “รัก” คือการไม่อยากให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิต นางก็กลัวอยู่ลึก ๆ ว่า หากวันหนึ่งเขาหายไ
ตอนพิเศษ 1 เกี้ยวภรรยาตนเองมิผิด“ขอเพียงเจ้าอยู่ตรงนี้… ข้าจะรอ”หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง หลานฮวาไม่เคยแสดงความยินดีหรือให้ความสนิทสนมกับสามีของตนแม้แต่น้อย นางยังคงใช้ชีวิตเช่นเคย มีเรือนของตน ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น และไม่เปิดใจรับใครเข้ามาเพิ่มทว่า แม่ทัพหลางหานเจิ้งกลับไม่เคยบังคับ เขาเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ และรอ ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง ดอกไม้พิษดอกนี้จะยอมเผยกลีบงามให้เขาเห็นด้วยตนเอง“วันนี้เจ้ากินข้าวหรือยัง”“ท่านแม่ทัพอย่ากังวล ข้าไม่ใช่คนลืมกินข้าว”“เจ้ากินแต่อาหารที่คนครัวทำ ข้าฝึกฝีมือมาหลายเดือน… ลองชิมดูหน่อยสิ”หลานฮวาเหลือบมองถ้วยซุปปลาที่เขายื่นมา รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก “ท่านทำเอง”“ด้วยมือของข้าเอง ขนาดแม่ทัพยังต้องล้างปลา นั่นเรียกว่าความรักใช่หรือไม่”“ไม่แน่ใจ อาจจะเรียกว่าความว่างงาน”แม่ทัพหลางหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะนั้นทำให้สาวใช้แถวนั้นพากันกลั้นยิ้ม เพราะไม่ค่อยมีใครได้เห็นแม่ทัพหน้านิ่งของพวกนางยิ้มเช่นนี้บ่อยนักในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก พายุกระหน่ำจวนจนประตูเรือนหลายแห่งเปิดกระแทกเสียงดัง สาวใช้ทุกคนรีบหาที่หลบ ฝนสาดเข้าเรือนเหม่ยฮวาจนเปี