บทที่ 8 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
แขกในงานพากันหัวเราะแห้ง ๆ ตอบรับท่าทีราวเจ้าสาวผู้นี้มิได้รู้สึกอับอาย หรือหวั่นไหวกับคำครหาที่ลอยวนอยู่ในบรรยากาศเลยแม้แต่น้อย
ใครจะคาดคิดว่าสตรีผู้มาแทนในงานแต่งจะรับมือกับสายตานับร้อยได้อย่างสง่างามเช่นนี้
รุ่ยหรันที่ยืนอยู่อีกฟากของแขกที่มายกชายินดี กลับกำถ้วยน้ำชาของตนแน่นขึ้นจนปลายนิ้วซีดขาว ดวงตาสั่นไหวด้วยความไม่เข้าใจ ฝาแฝดของหลานเมยรับมือยากเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่มีใบหน้าเดียวกัน กำเนิดจากสตรีหัวอ่อนเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงแตกต่างเช่นนี้
หลานฮวาหันไปสบตาอีกฝ่ายพอดี ก่อนจะยกยิ้มให้รุ่ยหรันอย่างอ่อนหวาน หากแต่ในแววตากลับราวมีดเล่มเล็กจ่ออยู่กลางอก
“ข้าคงต้องขอบคุณสตรีผู้กล้าหาญที่มางานแต่งของคนรักเก่า ทั้งยังแต่งตัวงดงามเสียจนแย่งความสนใจไปจากเจ้าสาวเสียเอง…”
เสียงของหลานฮวาดังไม่เบาไม่ดังนัก แต่ก็พอให้แขกในงานหลายคนหันขวับมามองหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
รุ่ยหรันถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ ใบหน้าสวยงามซีดเผือด หากจะโต้เถียงกลับก็ยาก เพราะหลายคนต่างซุบซิบกันอยู่ก่อนหน้าแล้วว่านางแต่งองค์ทรงเครื่องประหนึ่งเป็นเจ้าสาวอีกคน
“แม้ท่านแม่ทัพจะไม่ยิ้ม ไม่กล่าวอวยพรใด ๆ แต่เจ้าสาวของเขากลับยิ้มรับทุกถ้อยคำ ใครกันแน่…ที่เป็นผู้พ่ายแพ้”
ถ้อยความลอยวนในหัวแขกบางคนก่อนจะเปลี่ยนจากความสงสารรุ่ยหรัน…เป็นความสงสัย
หลานฮวาหันกลับไปยกถ้วยชาจากถาดอีกใบขึ้นมาช้า ๆ แล้วกล่าวเสียงหวานเจือเย็น
“มาเถิดเจ้าค่ะ ท่านลุง ท่านอา ดื่มให้สุขใจ…เพราะข้าเองก็สุขใจไม่น้อยที่ได้แต่งกับแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล อีกในเร็ววันนี่อาจจะได้จัดงานแต่งให้เขารับอนุเพิ่มอีกหลายคนให้สมฐานะ“
แล้วจิบอีกถ้วยด้วยท่วงท่าชวนให้ผู้คนที่มองอยู่ ล้วนไม่อาจละสายตา
แน่นอนในเมื่อหลานฮวารู้อยู่แล้วว่าคนที่นั่งเคียงข้างคงจะรีบแต่งรั่วหรันเข้ามาหลังจากจบงานนี้ นางก็จะแต่งให้เขาเพิ่มอีกหลายคนหน่อยจะเป็นไรไป ในเมื่อนางต้องรับมืออนุที่เขารักดั่งดวงใจ ก็ลองให้อนุรักของเขารับมือกับอนุคนอื่นๆ ที่จะแต่งเข้ามาพร้อมกับรั่วหรันคงสนุกมิใช่น้อย
“นางเพียงหยอกล้อเล่นเท่านั้น ข้ามิเคยคิดจะแต่งอนุเพิ่ม ต้องขออภัยทุกท่านด้วย ได้เวลาส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอแล้ว”
แขกในงานต่างพากันหัวเราะแห้ง หันมองหน้ากันด้วยความกระอักกระอ่วน ขณะที่รุ่ยหรันสีหน้าเปลี่ยนจากข่มกลั้น กลายเป็นราวกับถูกตบหน้ากลางงานมงคล
หลานฮวายิ้มอย่างไร้เดียงสา ยกชายกระโปรงเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวช้า ๆ แล้วประสานมือทักทายผู้อาวุโสอีกครั้งอย่างอ่อนน้อม
“อย่าถือสาข้าเลย” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นคล้ายคนละอายใจ “พวกท่านก็รู้มิใช่หรือ ว่าข้ามาจากที่ใด ธรรมเนียมของผู้ดี การพูดจาของชนชั้นสูง ข้าไหนเลยจะเข้าใจถ่องแท้”
นางหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายตาใส
“ก็แค่หยอกล้อเล่นเท่านั้นเจ้าค่ะ เห็นสตรีผู้อ่อนโยนคนหนึ่งยอมลำบากมาร่วมยินดีในวันแต่งของบุรุษที่เคยแนบแน่นข้าเลยพลั้งปากพูดไป…ว่านางคงอยากแต่งใจจะขาด แต่ในเมื่อสามีข้าเอ่ยปากต่อหน้าแขกมากมายเช่นนี้ว่า ไม่มีวันรับนางเป็นอนุ บุรุษเอ่ยแล้วไม่คืนคำ ข้าคงไม่ได้เรียกแม่นางรั่วหรันว่าน้องหญิงเสียแล้ว เสียดาย เสียดาย”
เสียงซุบซิบของแขกในงานดังขึ้นรอบทิศ บ้างซูดปาก บ้างเม้มปากอย่างอดกลั้น
ไม่รู้ทำเนียมงั้นหรือ
หากไม่รู้จริง เหตุใดถึงจิกกัดได้ลึกถึงเพียงนี้!ไม่เพียงแต่กล่าวเสียดสีอย่างแยบคาย
ยังอ้างฐานะต่ำต้อยที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาเพื่อกันตนเองจากการถูกตำหนิอีกด้วยแต่ยิ่งทำเช่นนั้น กลับยิ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าหลานฮวา ฉลาดจนไม่อาจประมาทได้
หลางหานเจิ้งรีบหันไปส่งสัญณานให้แม่สื่อรีบมาตัดจบพิธีก่อนที่เจ้าสาวของเขาจะทำรั่วหรันขายหน้าไปมากกว่านี้ เขาบอกอีกฝ่ายแล้วว่างานนี้ไม่จำเป็นต้องมายินดี เพราะไม่ว่าหลานฮวาจะเงียบหรือเอ่ยปาก รั่วหรันก็ไม่พ้นถูกมองไม่ดี แต่นางก็ยังมา
“…ต้องขออภัยทุกท่านด้วย ได้เวลาส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอแล้ว”
บ่าวสาวพากันโค้งส่งตัว ขบวนตะเกียงนำทางค่อย ๆ เคลื่อนไปยังเรือนหอ เสียงดนตรีพิณยังคลอแว่ว แต่ในใจของหลายคนกลับเงียบงัน
แม่ทัพหนุ่มก้าวเดินอย่างสงบไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ทว่าเมื่อเหลือเพียงเขาและหลานฮวาเดินเคียงกัน แววตาของเขากลับคมกริบจ้องหญิงสาวข้างกาย
“เจ้าสนุกหรือ”
เสียงทุ้มถามขึ้นขณะเดินผ่านทางเดินไม้ไผ่
หลานฮวาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยกลับโดยไม่หันไปมอง
“ไม่เจ้าค่ะ…ข้าแค่เริ่มต้นนับแต้ม”
เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวเสียงเรียบ
“เจ้าไม่เหมือนหลานเมย…” นางต่างจากหลานเมยมากจริง ๆ หากเป็นหลานเมยอีกฝ่ายคงทำเพียงแค่ยิ้มรับ
“ข้าไม่เคยบอกว่าเหมือน” เราสองฝาแฝดไม่มีสิ่งใดเหมือนกันเลย มีเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่หลอกตาผู้คน
เสียงเงียบงันปกคลุมห้องหอไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของทั้งสองคน หญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงเพลิงหันหน้ามองไปยังกระจกทองเหลือง เงาสะท้อนในนั้นไม่ใช่หลานเมยผู้แสนอ่อนหวาน หากแต่เป็นนางหลานฮวา ผู้มีประกายแข็งกร้าวในแววตา
“ท่านคงผิดหวัง” นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจน “ท่านคงอยากได้เจ้าสาวที่เชื่อฟัง นุ่มนวล และไม่เคยขัดใจท่านสักครั้ง”
แม่ทัพหนุ่มยังคงนิ่ง ดวงตาคมกริบของเขามองผ่านม่านเจ้าสาวไปคล้ายจะค้นหาอะไรบางอย่างในเงามืด
“หลานเมยจากไปแล้ว” เสียงเขาต่ำราวกับกระซิบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
ดวงตาของหลานฮวาพลันเยือกเย็นยิ่งกว่าหิมะบนยอดเขา
“อาจเป็นดั่งในจดหมายที่ทุกคนได้อ่านว่าเสียใจที่ท่านรักสตรีอื่น” นางตอบอย่างไร้ความลังเล “แต่ข้ารู้ว่านางไม่ได้รักท่านเลยสักนิด แล้วจะฆ่าตัวตายเพราะเหตุนั้นได้อย่างไรกัน การตายของนางข้าจะหาคำตอบให้ได้…ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม”
ชายหนุ่มจ้องหน้านางนิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดาอารมณ์ เขาก็รู้ดีว่าหลานเมยต้องแต่งกับเขาเพราะหน้าที่ และคิดว่านางคงจะมีใจให้เขาบ้างเพราะความใกล้ชิด ยิ่งจดหมายที่ถูกพบข้างศพนางเขียนเช่นนั้น ตัวเขาเองรู้สึกผิดไม่น้อย
แม่ทัพหนุ่มขยับมือแน่นขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเยียบเย็นแม้ในแววตาจะปรากฏร่องรอยบางอย่างคล้ายความเจ็บหน่วง
“หากเจ้าคิดว่านางมิได้รักข้า แล้วใครเล่าคือคนที่นางมีใจให้”
หลานฮวายืนนิ่งก่อนแค่นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“ไม่สำคัญหรอกว่าหลานเมยรักใคร สำคัญแต่ว่าใครกันที่พรากลมหายใจสุดท้ายของนางไป และเหตุใดทุกคนจึงยอมเชื่อแค่เพียงแผ่นกระดาษที่เขียนว่า ‘เสียใจ’ โดยไม่สงสัยเลยว่าความเงียบของพี่สาวข้าต่างหาก…คือคำร้องขอความช่วยเหลือสุดท้าย”
นางจ้องตาเขาแน่วนิ่ง ดวงตาสะท้อนแสงเทียนวับวาว
“ข้าแต่งเข้ามาในฐานะเจ้าสาวแทนผู้ตาย ข้าจะใช้สถานะนี้สืบจนกว่าจะรู้ว่าผู้ใดคือคนที่ผลักหลานเมยลงเหวด้วยน้ำมือหรือคำพูด”
แม่ทัพหนุ่มเงียบไปอีกครั้ง ม่านบาง ๆ พลิ้วไหวด้วยสายลมที่แผ่วผ่าน แต่ในอากาศกลับเต็มไปด้วยกลิ่นของแรงอาฆาต
“ถ้าเช่นนั้น…จงสวมบทบาทภรรยาของข้าให้ดี” เขากล่าวช้า ๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกไป “เพราะจวนแม่ทัพ…ไม่เหมาะกับคนหัวอ่อน หรือคนที่แสร้งว่าหัวแข็ง”
หลานฮวามองตามแผ่นหลังของเขาที่หายลับไปในเงามืด แล้วกระซิบกับตัวเองเสียงแผ่ว
“…และข้าก็ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั้น”
กลิ่นธูปอ่อน ๆ ลอยล่องไปทั่วจวนแม่ทัพประหนึ่งสายหมอกบางซ่อนคมมีด กลิ่นหอมไม่ใช่กลิ่นที่ใช้ในพิธีมงคล หากเป็นกลิ่นของธูปจันทน์เก่าเก็บและมีบางอย่างถูกผสมอยู่ในกลิ่นนั้น
ตอนพิเศษ 6 พ่อลูกสายรบ แม่สายยาพิษเมื่อแม่จับลูกกินยาตั้งแต่ขวบครึ่ง“ขมมาก…” เด็กชายตัวน้อยน้ำตาคลอเมื่อหลานฮวาหยดยาสีดำลงปาก“อือ อมไว้” นางว่าเสียงเรียบ“ท่านแม่…ข้าอยากกินขนม”หลางหานเจิ้งรีบเข้ามาอุ้มลูกพร้อมมองภรรยาอย่างอ้อนวอน“ฮวา…ลูกยังเล็กนัก”“หากท่านออกรบแล้วโดนพิษ ท่านจะหวังให้ลูกกินขนมรอท่านรอดกลับมาหรือ”“…ข้าจะเตรียมจดหมายพินัยกรรมไว้แต่เนิ่น ๆ ก็แล้วกัน…”การฝึกเชิงยุทธของพ่อลูกตั้งแต่ซื่อเหยียนอายุห้าขวบ หลางหานเจิ้งก็ให้เขาเริ่มฝึกหมัดพื้นฐาน“ข้าเจ็บ” เด็กน้อยครวญเมื่อฝ่ามือถลอกจากไม้กระบอง“แม่เจ้าเคยขุดสมุนไพรด้วยมือเปล่ากลางหิมะ ยังไม่ร้องเลย เจ้าเป็นชายจะร้องไห้เชียวหรือ”ซื่อเหยียนมองหน้าบิดา ก่อนเงียบและฝืนฝึกต่อจากนั้นหลางหานเจิ้งก็หันหลังไปซับน้ำตา…ของตัวเอง“ใจเจ้ากล้ากว่าใจข้าเสียอีก ซื่อเหยียน…” เขากระซิบเบา ๆ ด้วยเสียงสะเอื้อน จำต้องฝึกให้บุตรชายแข็งแกร่ง แต่ก็แอบน้ำตาซึมทุกคราที่เห็นเขามีน้ำตาอุบัติเหตุจากห้องปรุงยาวันหนึ่ง ซื่อเหยียนแอบเข้าห้องของมารดาคิดว่าเป็นครัว หยิบขวดที่คิดว่าเป็นน้ำหวานขึ้นมาชิม…ตื่นมาพบตัวเองนอนอยู่ในตั่ง ห่มผ้าแน่นหนาหลาน
ตอนพิเศษ 5 ท่านแม่ทัพกับลูกน้อยใครจะคิดว่าแม่ทัพผู้ดุดันแห่งแคว้นจะกลายเป็น บิดาผู้คลั่งรักลูกได้ถึงเพียงนี้แม้จะยังคงเป็นแม่ทัพที่ศัตรูหวาดกลัวในสนามรบ แต่ภายในจวนหลาง เขาคือชายผู้เงอะงะในยามอุ้มลูก และเคร่งเครียดยิ่งกว่าออกศึกยามลูกน้อยร้องไห้กลางดึกคืนแรกหลังจากลูกเกิดหลังหลานฮวาคลอด ลูกชายตัวน้อยถูกตั้งชื่อว่า หลางซื่อเหยียน หมายถึงหมอกเย็นแห่งขุนเขาคืนแรกหลังจากลูกเกิด หลางหานเจิ้งนั่งเฝ้าข้างเปลตลอดทั้งคืน“เขาจะหายใจไม่ออกไหม”“ไม่เจ้าค่ะ เด็กทุกคนก็เป็นแบบนี้”“แน่ใจหรือหรือเราควรมีหมอเฝ้าไว้ตลอดยามค่ำ”บ่าวรับใช้ต่างพากันอมยิ้มเมื่อเห็นแม่ทัพแห่งชายแดนผู้ไม่เคยย่อมคุกเข้าให้ใคร กำลังนั่งพับเพียบอยู่หน้าตั่งของลูกน้อย ดวงตาที่เคยดุดันกลับอ่อนโยนลงราวแสงจันทร์ที่สาดลงบนยอดหญ้าเมื่อเขาอุ้มลูกครั้งแรก หลางหานเจิ้งอุ้มดาบได้หลายร้อยเล่ม แต่พออุ้มลูกกลับแข็งทื่อประหนึ่งถือศิลาต้องคำสาป“ข้า…อุ้มแบบนี้ถูกหรือไม่”“ผิดหมดเลยเจ้าค่ะ เอาท้องคุณชายน้อยแนบอก ไม่ใช่แนบแขนแข็ง ๆ ของท่าน”แต่แล้วเมื่อซื่อเหยียนเงียบเสียงและซุกหน้าลงกับอกของเขา หลางหานเจิ้งนิ่งไปนาน…ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงจ
ตอนพิเศษ 4 เริ่มต้นชีวิตคู่…และชีวิตใหม่ในครรภ์หลังจากที่หลานฮวาตัดสินใจ ลองใช้ชีวิตเยี่ยงสามีภรรยา กับหลางหานเจิ้ง ชีวิตประจำวันของทั้งสองค่อย ๆ แปรเปลี่ยนจากความเคยชินสู่ความผูกพันที่ลึกซึ้งเขาเริ่มลุกก่อนทุกเช้า ชงชาสมุนไพรให้นาง นางเริ่มคอยรอเขากลับจากว่าราชการ แล้วตักข้าวให้ในมื้อค่ำบางวันเขาจะนั่งแกะผลไม้อย่างเงียบ ๆ ให้นาง บางวันนางจะถักด้ายให้เขาเอาไปเย็บผ้าคลุมไหล่ใหม่ไม่มีคำรักพร่ำเพรื่อ ไม่มีพิธีรีตรองแต่การกระทำเล็ก ๆ เหล่านี้ค่อย ๆ เติมเต็ม ใจ ที่เคยด้านชาจากอดีตจนกระทั่งวันหนึ่ง…ยามสายของฤดูใบไม้ผลิหลานฮวารู้สึกคลื่นไส้อย่างไร้สาเหตุมาแล้วหลายวันในที่สุดนางก็ยอมให้หมอประจำจวนตรวจดู“คุณหนู…มิใช่ ฮูหยิน…ขอแสดงความยินดีด้วยขอรับ ท่านตั้งครรภ์แล้ว”นางนิ่งไปครู่หนึ่งไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เพราะจิตใจนาง…ไม่เคยเตรียมรับข่าวนี้จริง ๆบุตรคนหนึ่ง…ในร่างของนางบุตรของนางกับเขาเมื่อหลางหานเจิ้งกลับมาถึงเรือนเขารู้ได้ทันทีว่านางมีเรื่องจะบอก หลานฮวาไม่ได้พูดอะไรทันที นางเพียงวางมือเขาเบา ๆ บนหน้าท้องของตนเอง แล้วกระซิบช้า ๆ“ท่านจะได้เป็นบิดาแล้ว”เขาชะงักไปชั่วขณะจากนั้นคุกเข
ตอนพิเศษ 3 มือหนึ่ง…และรอยยิ้มแรกบรรยากาศบนเรือนเหม่ยฮวานิ่งสงบเสียงใบไม้ไหวแผ่วเบา คล้ายเสียงกระซิบของหัวใจหลางหานเจิ้งยังคงนั่งอยู่ข้างนางมือเขายังประสานกับมือนางอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าแรงไปเพียงนิด จะทำให้นางผละหนีเวลาผ่านไปเพียงครู่หรืออาจเนิ่นนานกว่าที่ใครจะรู้หลานฮวาที่เคยมองลงต่ำพลันขยับนิ้วมือเล็กน้อยก่อนที่ปลายนิ้วของนางจะค่อย ๆกุมมือเขาตอบ อย่างเงียบงัน และมั่นคงหลางหานเจิ้งไม่ได้หันมามองทันทีแต่หัวใจเขาเต้นถี่ขึ้นราวกับจะขาดไม่ใช่เพราะหวังว่านางจะรักแต่เพราะรู้ว่า…นางเริ่มเชื่อใจและในจังหวะที่สายลมพัดเอาเส้นผมของนางปลิวมาสะบัดเบา ๆนางกลับยกมืออีกข้างมาจัดมันอย่างเงียบ ๆพร้อมกับ ยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัวรอยยิ้มที่ไม่ใช่เพื่อปกปิด ไม่ใช่เพื่อเย้ยหยันแต่เป็นรอยยิ้มแท้จริง เหมือนบุปผาที่ผลิบานโดยไม่ทันได้รู้ตัวว่า ฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้วหลางหานเจิ้งเห็นรอยยิ้มนั้นจากหางตาเขาไม่พูดอะไร เพียงแต่โน้มตัวลงเล็กน้อยใช้แขนอีกข้างประคองลมเย็นที่พัดมาทางนางไม่ให้โดนตัว“หนาวหรือไม่”เสียงของเขายังแผ่ว อ่อนโยนเหมือนเดิมหลานฮวาส่ายหน้าช้า ๆก่อนจะเอนศีรษะพิงกับเสาเรือนอย่า
ตอนพิเศษ 2 ใต้เงาจันทร์ ใจหนึ่งเผยความจริงหลานฮวานั่งมองเปลวเทียนที่สั่นไหวในยามค่ำคืน แสงอุ่นนั้นคล้ายคลึงกับดวงตาของหลางหานเจิ้งที่มองนางอย่างไม่เคยเปลี่ยน ตั้งแต่วันที่เขาแต่งนางเข้าจวน…จนถึงวันนี้ เขายังคงเป็นเช่นเดิมเขาอยู่ตรงนั้นเสมอ“ความรักระหว่างชายหญิง ข้าเคยเห็นมานัก…แต่ไม่เคยเข้าใจ”นางพึมพำกับตนเอง “บางที…มันอาจจะไม่ต่างจากความรู้สึกที่ข้ามีให้พี่สาวฝาแฝด ความรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้ ความเงียบที่ไม่อึดอัด ความคิดถึงในยามจากไกล”แม้นางจะบอกกับหลางหานเจิ้งว่า “ข้าอาจจะรักท่าน”แต่นางก็ไม่รู้ว่า รักเช่นนั้นลึกซึ้งเพียงใดนางไม่รู้ว่ารักคือแรงปรารถนาอันเร่าร้อนหรือคือความเข้าใจอันลึกซึ้งระหว่างวิญญาณสองดวง แต่สิ่งหนึ่งที่นางรู้แน่คือ…“เมื่ออยู่ใกล้เขา ข้ารู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าตนไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา”กับคนอื่น หลานฮวาต้องปั้นหน้า ต้องระวังคำพูด ต้องคอยรับมือกับอันตรายรอบด้าน แต่กับเขา…นางแค่นั่งนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ก็พอ เขาไม่เร่งเร้า ไม่คาดหวังนางไม่รู้ว่าเรียกสิ่งนี้ว่ารักหรือไม่แต่หาก “รัก” คือการไม่อยากให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิต นางก็กลัวอยู่ลึก ๆ ว่า หากวันหนึ่งเขาหายไ
ตอนพิเศษ 1 เกี้ยวภรรยาตนเองมิผิด“ขอเพียงเจ้าอยู่ตรงนี้… ข้าจะรอ”หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง หลานฮวาไม่เคยแสดงความยินดีหรือให้ความสนิทสนมกับสามีของตนแม้แต่น้อย นางยังคงใช้ชีวิตเช่นเคย มีเรือนของตน ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนอื่น และไม่เปิดใจรับใครเข้ามาเพิ่มทว่า แม่ทัพหลางหานเจิ้งกลับไม่เคยบังคับ เขาเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ และรอ ราวกับเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง ดอกไม้พิษดอกนี้จะยอมเผยกลีบงามให้เขาเห็นด้วยตนเอง“วันนี้เจ้ากินข้าวหรือยัง”“ท่านแม่ทัพอย่ากังวล ข้าไม่ใช่คนลืมกินข้าว”“เจ้ากินแต่อาหารที่คนครัวทำ ข้าฝึกฝีมือมาหลายเดือน… ลองชิมดูหน่อยสิ”หลานฮวาเหลือบมองถ้วยซุปปลาที่เขายื่นมา รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นตรงมุมปาก “ท่านทำเอง”“ด้วยมือของข้าเอง ขนาดแม่ทัพยังต้องล้างปลา นั่นเรียกว่าความรักใช่หรือไม่”“ไม่แน่ใจ อาจจะเรียกว่าความว่างงาน”แม่ทัพหลางหัวเราะร่วน เสียงหัวเราะนั้นทำให้สาวใช้แถวนั้นพากันกลั้นยิ้ม เพราะไม่ค่อยมีใครได้เห็นแม่ทัพหน้านิ่งของพวกนางยิ้มเช่นนี้บ่อยนักในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก พายุกระหน่ำจวนจนประตูเรือนหลายแห่งเปิดกระแทกเสียงดัง สาวใช้ทุกคนรีบหาที่หลบ ฝนสาดเข้าเรือนเหม่ยฮวาจนเปี