“กินอะไรดีล่ะลิน” นัทธมนถามอย่างเป็นกันเองนั่นก็ทำให้นลินนารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“พี่นัทล่ะคะ”
“พี่ว่าจะกินผัดซีอิ๊วน่ะ”
“งั้นลินเอาเหมือนพี่ค่ะ แม่ค้าจะได้ทำพร้อมกัน”
นัทธมนเดินไปสั่งอาหารกับแม่ค้าจากนั้นก็เดินกลับมานั่งรอที่โต๊ะ
นลินนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนยกภูเขาออกจากอก การได้ออกมาจากบรรยากาศอึมครึมของแผนกทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
“เป็นไงบ้างคะ วันแรกที่นี่” นัทธมนถามด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายอย่างเป็นห่วง
“ก็ดีค่ะ” นลินนายิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าเรื่องความไม่ชอบมาพากลที่เจอได้อย่างไร
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูลินนาดูเครียดๆ” น้ำเสียงของนัทธมนเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ ทำให้เธอรู้สึกไว้วางใจมากขึ้น
นลินนาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่เธอเจอในตอนเช้า
“คือวันนี้ลินตรวจสอบเอกสารแล้วเจอว่ามีการสั่งวัสดุที่ไม่ตรงสเปกหลายรายการเลยค่ะ อย่างเหล็กเส้น ปูนซีเมนต์ หรือกระเบื้อง” เธอพูดเสียงเบาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านัทธมนตั้งใจฟัง เธอก็เล่าต่อ
“ลินบอกใครหรือยัง”
“ลินบอกคุณมนตรี แต่คุณมนตรีให้ทำตามนั้นและบอกว่ามันเป็นเรื่องของเจ้านาย ห้ามสงสัย ห้ามซักถาม แล้วก็ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาดค่ะ” นลินนาพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดระคนหวาดกลัว ใบหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงท่าทีของคุณมนตรี
“แต่ลินก็บอกพี่”
“ก็ลินไม่รู้จะบอกใครนี้คะ ทุกคนทำงานกันเคร่งเครียดมากมีพี่นัทคนเดียวที่ยอมคุยกับลิน”
นัทธมนฟังอย่างเงียบๆ ใบหน้าของเธอดูเครียดขึ้นมาทันที ดวงตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความกังวล เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พี่เองก็เคยเจอแบบที่ลินเจอมาก่อน” นัทธมนพูดเสียงแผ่วเบาดวงตาเศร้าลงเล็กน้อย
“หมายความว่าไงคะ พี่นัทก็เคยเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกันเหรอคะ” เธอถามด้วยความสงสัย
“ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้ไม่นาน พี่เองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นเป็นโครงการใหญ่โครงการหนึ่งพี่เห็นว่าปูนซีเมนต์ที่สั่งมาไม่ตรงตามที่ระบุในสัญญาเลยลองไปบอกคุณมนตรี เขาก็พูดเหมือนที่พูดกับลินเป๊ะเลยค่ะ แถมยังขู่ด้วยว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครจะโดนไล่ออก”
นลินนารู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่คิดว่าจะมีเพื่อนร่วมงานคนไหนที่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
“แล้วพี่ทำยังไงคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้และหวังว่าจะได้คำแนะนำ
นัทธมนส่ายหน้าช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึดอัดใจก่อนจะพูดขึ้น
“พี่จะทำอะไรได้ล่ะ ถ้าเราเอาเรื่องนี้ไปบอกลูกค้าคนที่เดือดร้อนก็คือเรา พี่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้คุณมนตรีทำเองหรือเพราะเป็นคำสั่งของเจ้านายอีกที ถึงเราจะมีหลักฐานแต่พนักงานตัวเล็กอย่างเราจะเอาอะไรไปสู้กับหัวหน้าแผนกได้ล่ะ ตอนนี้พี่ก็ทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาทำงานไป ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ค่ะ” เธอพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
นัทธมนเองก็หนักใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะงานสมัยนั้นหายากและเธอก็ทางบ้านให้ต้องรับผิดชอบอีกหลายชีวิต
นลินนาเงียบไปทันที ความผิดหวังถาโถมเข้าใส่ เธอเข้าใจความรู้สึกของนัทธมนเป็นอย่างดี เพราะเธอก็คิดแบบเดียวกัน จะเสี่ยงกับการตกงานในวันแรกของการทำงานได้อย่างไรกัน
“ลินไม่รู้จะทำยังไงดีเลยค่ะพี่นัท มันรู้สึกอึดอัดใจมากเลย”
นัทธมนเอื้อมมือมาจับมือนลินนาเบาๆ เพื่อปลอบโยน
“พี่เข้าใจนะลิน พี่เองก็รู้สึกแบบนั้นแหละค่ะ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ ถ้ายังอยากทำงานอยู่ที่นี่” เธอมองนลินนาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ก็จริงค่ะ ถ้าลินงัดข้อกับหัวหน้าตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานไม่กี่วันลินก็คงถูกไล่ออกแล้วประวัติการทำงานของลินก็คงแย่มาก จะมีบริษัทไหนกล้ารับลินทำงาน” หญิงสาวพูดอย่าปลงตก
“เอาเป็นว่าเราก็แค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอค่ะ ไม่ต้องไปคิดมากเรื่องอื่นเลย ผัดซีอิ๊วมาแล้วเรากินกันดีกว่านะ”
“ค่ะพี่นัท ดูท่าทางอร่อยมากด้วยนะคะ”
นลินนากลับมาสนใจกับผัดซีอิ๊วตรงหน้า เหมือนไม่สนใจกับสิ่ง แต่ในใจลึกๆ เธอก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี การต้องเห็นความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเธอ
ทั้งสองสาวทานอาหารกลางวันต่อจนเสร็จสิ้น บรรยากาศเริ่มกลับมาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจของนลินนาก็ยังคงมีก้อนหินหนักๆ วางทับอยู่ เธอรู้ว่างานที่เพิ่งได้มานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับความไม่ชอบมาพากลอีกหลายครั้งในอนาคต แต่ในวันนี้ เธอได้รู้แล้วว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีนัทธมนที่เข้าใจความรู้สึกของเธอ
นลินนากลับมานั่งที่โต๊ะทำงานด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งกว่าเดิม คำพูดของนัทธมนที่บอกว่า ‘ทำอะไรไม่ได้’ ยังคงก้องอยู่ในหู เธอพยายามจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า แต่จิตใจกลับว้าวุ่น เธอเหลือบมองเอกสารการสั่งซื้อที่วางอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง ความผิดปกติเหล่านั้นยังคงเป็นเหมือนเงาตามติด ไม่ว่าจะพยายามลืมแค่ไหน มันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอ
ตลอดบ่ายนลินนาพยายามทำงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอไม่อยากให้ใครมองว่าเธอเป็นพนักงานใหม่ที่เชื่องช้า แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดในใจที่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อถึงเวลาเลิกงานหญิงสาวก็รีบเก็บของทันที หญิงสาวรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่วันนี้กำลังจะผ่านพ้นไป เธอเดินออกจากแผนกจัดซื้ออย่างเร่งรีบ ไม่ต้องการที่จะอยู่ให้นานไปกว่านี้ เธอต้องการกลับบ้าน เพื่อพักผ่อนและจัดการกับความเครียดที่ถาโถมเข้ามา
นลินนาเวลาเดินทางกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้าเหมือนกับตอนเช้า บรรยากาศบนรถไฟฟ้าในช่วงเวลาเลิกงานเต็มไปด้วยผู้คนเบียดเสียด แต่เธอก็ไม่ได้สนใจมากนัก จิตใจของเธอยังคงจมอยู่กับเรื่องราวที่บริษัท
เมื่อมาถึงบ้านกลิ่นหอมของอาหารลอยมาแตะจมูก นลินนายิ้มอย่างโล่งใจเพราะเธอได้กลับมาสู่พื้นที่ปลอดภัยของตัวเองอีกครั้งเธอจะต้องทิ้งความไม่สบายใจให้หมดก่อนจะเดินเข้าบ้าน
“กลับมาแล้วเหรอลลิน เป็นไงบ้าง วันแรกที่ทำงาน เหนื่อยไหมลูก” ป้าสุรีย์เดินออกมาจากห้องครัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะป้า” เธอโกหกคำโต พยายามฉีกยิ้มให้กว้างที่สุด เพื่อไม่ให้ป้าสังเกตเห็นถึงความผิดปกติในใจของเธอ
“แล้วที่ทำงานเป็นไงบ้าง เพื่อนร่วมงานใจดีไหม หัวหน้าดุหรือเปล่า” ป้าสุรีย์ถามอย่างสนใจ
“ก็ดีค่ะป้า เพื่อนร่วมงานก็น่ารักดีค่ะ หัวหน้าก็ดีค่ะ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย” นลินนาพยายามควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด พยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในแผนกเพราะไม่อยากให้ป้าสุรีย์ต้องกังวล
“งั้นก็ดีแล้วจ้ะ ไปอาบน้ำอาบท่าให้สดชื่นนะลูกป้าเตรียมกับข้าวไว้ให้แล้วหิวหรือยัง”
“หิวแล้วค่ะป้า” นลินนาตอบรับอย่างร่าเริง พยายามแสดงให้ป้าเห็นว่าเธอมีความสุขดี เพื่อให้ป้าสบายใจ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ นลินนาก็ออกมาทานข้าวกับป้าสุรีย์ เธอเล่าถึงการในวันแรกที่ทำงาน เล่าถึงรุ่นพี่ที่ชื่อนัทธมนที่ช่วยสอนงานเธออย่างดี หญิงสาวรู้ดีว่าการโกหกไม่ใช่เรื่องดีแต่ในสถานการณ์แบบนี้ การบอกความจริงอาจจะทำให้ป้าสุรีย์ต้องเป็นกังวลมากเกินไป
ในค่ำคืนนั้น แม้จะทานข้าวและพูดคุยกับป้าจนคลายความกังวลไปได้บ้าง แต่เมื่อกลับมาอยู่ในห้องคนเดียว ความรู้สึกอึดอัดใจก็กลับมาอีกครั้ง นลินนานอนพลิกตัวไปมาบนเตียง พยายามคิดหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาที่เธอเจอในวันแรกของการทำงาน เธอไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดีและถ้าเธอปล่อยเรื่องนี้ไปเธอจะสามารถทำงานในที่แห่งนี้ได้อย่างสบายใจจริงหรือ
“ที่รักเหนื่อยไหม” เขากระซิบข้างหู ปากก็พรมจูบไปทั่วใบหน้า หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ“ถ้างั้นพี่ว่าลินน่าจะขย่มพี่บ้างดีไหม”พูดจบเขาก็พลิกร่างของเธอให้ขึ้นมานอนอยู่บนตัวเขานลินนาวางมือบนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ สะโพกงอนงามบดขยี้แก่นกายด้วยความเสียวซ่าน“โอ่ว...แน่นอะไรอย่างนี้...ลินจ๋า...อ่าส์...อืมม...ดีจัง”ธีรกฤษมองกลีบกุหลาบที่กลืนกินท่อนเอ็นเข้าออกด้วยความซ่านสยิว แม้ว่าเธอจะตัวเล็กแต่ร่างกายของเธอก็โอบรัดเขาไว้ได้จนหมด หญิงสาววนสะโพกไปมาเป็นวงกลม ด้วยแรงปรารถนาที่ลุกโชน“โอ่วว...เสียวจังที่รัก... ลินเก่งจัง...พี่เสียวไปหมดแล้ว...อ่าส์”เขาแทบคลั่งกับทุกการเคลื่อนไหวของคู่หมั้นสาว นลินนาทำทุกอย่างตามจังหวะที่ร่างกายเรียกร้อง เมื่อเห็นใบหน้าสุขสมของคนรักเธอก็ยิ่งเร่งจังหวะอย่างไม่รู้จักเหนื่อย เนิ่นนานจนเสียงครางของชายหนุ่มดังไม่ขาดสาย“อ่า...โอ่ว...ลินจ๋า...แบบนั้นแหละ...อ่าส์...อื้มมม...อูววซ์”“อ๊ะ...อ่าส์...เสียวจัง”หญิงสาวโยกสะโพกขึ้นลงตามอารมณ์ ทุกจังหวะครอบลงมาบนท่อนเอ็นร้อนเสียวจนเธอต้องจิกเล็บลงบนแผงอกกว้าง ธีรกฤษเอื้อมมือมาบีบคลึงเต้านมเพิ่มความเสียว สองนิ้วบี้
เขาเสียวจนต้องครางออกมาอย่างไม่อาจควบคุม ปากหยักดูดกินสองเต้า ความเสียวแล่นไปทุกส่วนของกายเขาขบเม้มเต้างามเพื่อบรรเทาความเสียวที่แล่นพล่านไปทั่ว“อ๊ะ!”ร่างบางสะดุ้งตามแรงกัด ความเสียวซ่านทวีคูณ มือน้อยเร่งจังหวะเร็วขึ้นจนชายหนุ่มต้องพ่นลมหายใจทางปาก“ที่รัก...ผมจะไม่ไหวแล้ว คุณช่างน่ารักอะไรอย่างนี้ อูซวซซซ์ แบบนั้น...อ่าส์”เขาครางแทบไม่เป็นภาษา เส้นเลือดรอบท่อนเอ็นบวมปูนจนแทบจะปริ“พร้อมนะที่รัก”ตอนนี้ธีรกฤษเสียวจนเกินจะต้านท่อนเอ็นร้อนมันอยากมุดเข้าไปหาร่องแห่งความสุขจนทนต่อไปไม่ไหว นลินนาไม่ตอบ แต่เธอแอ่นสะโพกขึ้นรอความสุขที่เขากำลังจะมอบให้ชายหนุ่มสอดแทรกท่อนเอ็นเข้าเพียงแค่ส่วนหัวก็ต้องสูดปากระบายความเสียว“ลินจ๋า ไม่เกร็งนะครับคนเก่งของพี่”“อ๊ะ!...”นลินนารู้สึกถึงความแข็งร้อนที่พยายามสอดเข้าร่องสาว ความใหญ่โตของเขาบวกกับการขมิบของเธอที่ทำวันละหลายร้อยรอบ ส่งผลให้ทุกอย่างแทบจะคล้ายกับสาวบริสุทธิ์“อื้ม.....ไมมันคับกว่าเดิมที่รัก พี่จะพยายามให้ลินเจ็บน้อยที่สุดนะ”เขาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน ความคับแน่นของเธอนับวันจะยิ่งมากขึ้นแทบจะแตกใส่เธอทันทีเพียงแค่ได้เข้าไปแค่ส่วนปลายหยัก
เครื่องบินแตะรันเวย์ที่นาริตะในเวลาเช้าธีรกฤษก็จับมือหญิงสาวมารอกระเป๋าจากนั้นเขาก็ใช้บริการรถเช้าเพื่อพาหญิงสาวมุ่งหน้าสู่คาวากุจิโกะเมืองเล็กๆ ริมทะเลสาบที่ขึ้นชื่อเรื่องวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยงามที่สุด ทั้งสองเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่นลินนากับเขาช่วยกันเลือก“สวยกว่าที่คิดไว้นะคะพี่ธีร์” นลินนามองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นภูเขาไฟฟูจิอย่างชัดเจน ยอดเขามีหิมะปกคลุมตัดกับท้องฟ้าสีครามดูแล้วสวยงามราวกับภาพวาด“ชอบไหม” เขากอดเธอจากด้านหลังเกยคางไว้บนไหล่มน“ชอบที่สุดเลยค่ะพี่ธีร์วิวมันสวยมาก”“ลินจะนอนพักก่อนหรือจะไปเที่ยวดีล่ะ”“มาไกลถึงที่นี่แล้วจะเอาแต่นอนได้ยังไงคะ”ทั้งสองพักที่โรงแรมนี้หนึ่งคืนจากนั้นก็ไปเที่ยวต่อที่เมืองหลวงทั้งคู่ก็พากันไปที่ห้าแยกชิบูย่า หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของโตเกียว นลินนาตื่นตาตื่นใจมากกับทุกสถานที่ที่คนรักพาเธอไป ชายหนุ่มพาเธอไปเดินเล่นที่ฮาราจูกุแหล่งรวมแฟชั่น หญิงสาวเพลิดเพลินกับการเดินชมร้านค้าที่หลากลายมีทั้งเสื้อผ้าสีสันสดใสและของกระจุกกระจิกน่ารักๆนอกจากเดินเที่ยวแล้วเขายังพาเธอไปซื้อสินค้าแบรนด์เนมอีกหลายอย่างทั้งที่เธอพยายามจะปฏิเสธแต่ชายหนุ่มก็ไม่เ
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วความรักของนลินนาและธีรกฤษ เติบโตและพัฒนาไปอีกขั้น จากคู่รักที่ต้องผ่านบททดสอบและอุปสรรคมากมาย บัดนี้สถานะของทั้งสองได้ขยับจากแฟนมาเป็น คู่หมั้นอย่างเป็นทางการ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้กลับมาเติมเต็มชีวิตของพวกเขา กำหนดวันแต่งงานถูกวางไว้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ซึ่งเป็นเวลาที่ทั้งคู่ตั้งใจจะเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบหลังจากพิธีหมั้นผ่านพ้นไปนลินนาก็ตัดสินใจย้ายมาทำงานที่บริษัทของธีรกฤษตามที่เขาเคยเอ่ยปากชวนไว้ แม้ธีรกฤษจะอยากให้เธอมาทำงานในตำแหน่งเลขาของเขาเพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา แต่เธอก็ยังคงยืนกรานที่จะทำงานในแผนกจัดซื้ออย่างที่เธอถนัดและคุ้นเคย“พี่ธีร์คะ ลินเข้าใจว่าพี่อยากให้ลินมาเป็นเลขา แต่ลินมีความสุขกับการทำงานในแผนกจัดซื้อมากกว่าค่ะ ลินถนัดงานด้านนั้นจริงๆ” เธอจ้องมองเขาด้วยแววตาออดอ้อนธีรกฤษถอนหายใจเล็กน้อย เขาอยากให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ เขาจริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับในเหตุผลของเธอ“ให้ลินทำงานที่แผนกจัดซื้อนั่นแหละดีแล้วธีร์ อย่างน้อยลินก็จะได้ช่วยดูแลแผนกจัดซื้อเพราะแผนกนี้เป็นแผนกที่สำคัญมาก จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนบริษัทของชัยวัฒน์อีก”
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหลังจากเหตุการณ์เลวร้ายที่บ่อนของเสี่ยอำนาจสภาพจิตใจของนลินนาดีขึ้นมาก ส่วนบาดแผลบนใบหน้าของธีรกฤษก็เริ่มจางลง แต่เพราะเหตุการณ์นั้นก็ทำให้ทั้งเขาและเธอมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นธีรกฤษดูแลเอาใจใส่นลินนาอย่างดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้เขากลายเป็นเงาตามตัวของเธอ คอยรับส่งและอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ทำให้หัวใจของนลินนาเต็มไปด้วยความอบอุ่นวันเสาร์ธีรกฤษก็มาหานลินนาที่บ้านในเวลาบ่ายเพราะวันนี้ชายหนุ่มมีเรื่องสำคัญจะทำ“ป้าสุรีย์ไม่อยู่เหรอลิน”“ป้าออกไปกับเพื่อนค่ะ พี่ธีร์มีอะไรกับป้าหรือเปล่าคะ”“เปล่าหรอกครับ พี่ก็แค่จขอนุญาตพาลินออกไปข้างนอก”“เราจะไปไหนกันคะกลับดึกหรือเปล่า”“พี่จะพาลินไปทานข้าวที่บ้านแม่ของพี่น่ะ คงกลับไม่ดึกลินโทรบอกป้าก่อนนะท่านจะได้ไม่เป็นห่วง”“พี่จะพาลินไปไหนนะคะ” หญิงสาวถามย้ำเพราะไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงครอบครัวมาก่อนเลยและเธอก็ไม่เคยถาม“ไปบ้านแม่พี่ครับ ลินโทรบอกป้าก่อนนะแล้วพี่จะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟังทีหลัง” เขานัดบิดามารดาไว้แล้วว่าวันนี้จะพาคนรักไปกราบท่าน ที่ผ่านมาเขาไม่ได้เล่าเรื่องครอบครัวให้นลินนาฟังเพราะอยากจะมั่นใจก่อนว่าเขาพร
บรรยากาศภายในบ่อนเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม ผู้คนมากมายกำลังมั่วสุมอยู่กับการพนัน ธีรกฤษไม่สนใจสายตาของใคร เขากวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองหาเจ้าของบ่อนไม่นานนักเขาก็เห็นชายร่างท้วมคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา เขากำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ธีรกฤษเดินไปด้วยความมั่นใจว่านั่นคือเสี่ยอำนาจที่นัทธมนพูดถึง“มึงเอาแฟนกูไปไว้ที่ไหนวะ” ธีรกฤษตะคอกเสียงดังลั่นจนผู้คนรอบข้างหันมามองแต่เขาก็ไม่สนใจเพราะมีเพียงนลินนาเท่านั้นที่สำคัญสำหรับเขา“มึงพูดอะไรวะ” เสี่ยร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิดเพราะเสียงที่ดังของธีรกฤษทำให้นักพนันหันมามองด้วยความสนใจ“กูถามมึงอีกครั้งว่าแฟนกูอยู่ไหน” เขาตะโกนถามอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าตอนนี้คนของเสี่ยอำนาจเข้ามายืนล้อมเขาไว้“แฟนมึงคือใครวะ” เสี่ยอำนาจถามอย่างไม่สบอารมณ์“ก็ผู้หญิงที่ไอ้มนตรีมันให้คนไปเอามาส่งให้มึงไงล่ะ เธอชื่อลินเป็นและเธอเป็นแฟนกู”“กูไม่แน่ใจหรอกนะว่าผู้หญิงที่นอนรอกูอยู่ในห้องชื่ออะไร ถ้าเธอตื่นกูจะถามให้ก็แล้วกันนะ แต่ตอนนี้มึงต้องกลับไปก่อน” เสี่ยอำนาจเริ่มเบื่อที่จะคุย“กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้ากูไม่ได้ลินกลับไปพร้อมกู” ธีรกฤษตะคอกกลับ เขาแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเอ