ตอนที่
2
แผนร้ายบนปลายพู่กัน
ในขณะเดียวกัน ที่สำนักงานใหญ่ของมาเฟีย เมฆากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและน่าเกรงขาม คีรินทร์บอดี้การ์ดและคนสนิทของเขากำลังรายงานเรื่องการเคลื่อนไหวของธุรกิจของศัตรูอย่างเคร่งเครียด “นายครับ ผมว่าเรื่องนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล” คีรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ
เมฆายกมือขึ้นห้าม “ฉันรู้” น้ำเสียงของเขานิ่งและหนักแน่น “นายไม่ต้องรายงานเรื่องนี้แล้ว”
“แต่ว่า...” คีรินทร์พยายามจะแย้ง “ผมว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องในอดีต”
“ฉันบอกแล้วว่าฉันรู้” เมฆาย้ำเสียงเข้ม ทำให้คีรินทร์ต้องเงียบไปในที่สุด เขารู้ดีว่าเมื่อเมฆาพูดคำนี้แล้วก็ไม่มีใครที่จะกล้าขัดคำสั่งของเขาอีกต่อไป
เมฆาเงียบไปครู่หนึ่ง เขายกมือขึ้นลูบที่รอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้แขนเสื้อ ซึ่งเป็นร่องรอยเดียวที่หลงเหลือจากเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำในวันนั้นยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เสียงกรีดร้องของ นภัสสร ผู้เป็นแม่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหูของเขา และใบหน้าของชายที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันยังคงติดตา ไม่ใช่ใครทีไหนแต่เป็น ธีรุตม์ ผู้ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเขา
ธนัท พ่อของเขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของเมฆา เขาสอนให้เมฆาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความโหดร้ายและเชื่อว่าอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้เมฆาเอาตัวรอดได้
เมฆาไม่เคยลืมคำพูดของพ่อ “ในโลกนี้ไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแอ ถ้าแกไม่ล่า แกก็จะเป็นเหยื่อ”
ตั้งแต่เด็ก เขาต้องอยู่กับความกลัวและความโดดเดี่ยว จนกระทั่งเขาได้พบกับ หมอณภา จิตแพทย์ที่พ่อเขาจ้างมา หมอนภาคือคนเดียวที่เข้าใจความเจ็บปวดในใจของเขา และเป็นคนเดียวที่เขาเปิดเผยทุกอย่างให้ฟัง
เมฆาหยิบภามพถ่ายของ พิมพ์แพร คู่หมั้นที่ถูกธนัทพ่อของเขาเลือกเพื่อผลประโยชน์ของตระกูล แต่เมฆาไม่ได้สนใจในตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
แสงไฟสีขาวสาดส่องลงบนแคนวาสผืนใหญ่ ภายในห้องทำงานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของพ่อ ปริมลดาในชุดเสื้อยืดสีขาวเปื้อนสีและกางเกงยีนส์ขาดเข่านั่งอยู่บนพื้นไม้เก่าๆ มือที่เคยจับพู่กันเพื่อสร้างสรรค์งดงามในวัยเด็ก ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอาวุธที่ใช้ถ่ายทอดความมืดมนในใจของเธอออกมาอย่างบ้าคลั่ง เธอใช้ความรู้สึกทั้งหมดที่มีระบายความเจ็บปวดลงบนผืนผ้าใบ พู่กันถูกปาดไปมาอย่างรุนแรงจนสีดำและสีเทาผสมปนเปกันอย่างน่ากลัว มันไม่ใช่แค่ภาพวาด แต่มันคือการสลักความแค้นลงไปในทุกเส้นสาย
ภาพความทรงจำเมื่อหกเดือนก่อนยังคงฉายชัดในหัวเธอ ภาพที่พ่อนั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะอาหาร ภาพที่แม่นอนซูบผอมจากอาการตรอมใจ และภาพที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้าย ปริมลดาหลับตาลง ภาพของใบหน้าเรียบเฉยของเมฆาลอยขึ้นมาในความคิด น้ำตาที่เคยแห้งเหือดไปนานแล้วกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่หยดน้ำตาในครั้งนี้มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจ
เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ภาพของฟ้าใส เพื่อนสนิทของเธอปรากฏบนหน้าจอ “แกกำลังอะไรอยู่” ฟ้าใสถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
“ฉันอยู่กับแม่” ปริมลดาตอบเสียงเรียบ “กำลังวาดภาพไปเรื่อยๆ น่ะ แต่ฉันก็วาดภาพที่สวยงามเหมือนเมื่อก่อนไม่ค่อยได้แล้ว” เธอสารภาพด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ฉันรู้ว่าแกเจ็บปวด” ฟ้าใสพูดอย่างไม่เข้าใจ “แต่แกจะเอาความเจ็บปวดมาทำลายตัวเองไม่ได้นะปริม”
“ฉันไม่ได้ทำลายตัวเอง ฉันแค่ต้องการปลดปล่อยมัน” ปริมลดาพูดต่อ “ฟ้าใสแกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่ใช่ไหม”
“เป็นสิ เป็นตลอดไป” ฟ้าใสตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ฉันอยากให้แกสัญญากับฉันอย่างหนึ่ง สัญญากับฉันว่าจะไม่ทำอะไรบ้าๆ”
ปริมลดาเงียบไปครู่หนึ่ง เธอรู้ดีว่าคำสัญญาที่ฟ้าใสขอนั้นเธอคงทำตามไม่ได้ “ฉันจะทำให้ดีที่สุด” เธอตอบเพียงสั้นๆ และรีบวางสายไป เพราะไม่อยากให้เพื่อนต้องรับรู้ถึงความดำมืดในใจของเธอ ปริมลดารู้ดีว่าฟ้าใสเป็นห่วงเธอมาก แต่ความแค้นนี้เป็นสิ่งที่เธอต้องจัดการด้วยตัวเองเพียงลำพัง
เธอลงมือวาดภาพต่อไปจนดึกดื่น ภาพของเธอดูเหมือนคนบ้าที่กำลังระบายอารมณ์อยู่บนแคนวาส แต่แท้จริงแล้วเธอแค่ต้องการปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจออกมา ภาพวาดชิ้นนี้ไม่ใช่แค่ผลงานศิลปะ แต่มันคือจดหมายถึงเมฆา จดหมายที่เธอเขียนขึ้นด้วยเลือดเนื้อและหัวใจของเธอเอง เธอมั่นใจว่าภาพวาดชิ้นนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ เพราะมันเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความมืดมนที่เขาเองก็ต้องเคยสัมผัส
เธอใช้เวลากับภาพนี้อยู่หลายวัน จนในที่สุดภาพวาดนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ ปริมลดาก็ถอยหลังออกมามองผลงานของตัวเอง มันคือภาพของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆสีดหนาทึบและหยาดฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่ใช่ภาพที่สวยงาม แต่มันคือภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ที่เธอต้องเผชิญหน้า ปริมลดายิ้มบางๆ ที่มุมปากและยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปผลงานชิ้นนั้น ก่อนจะโพสต์ลงบนโซเชียลมีเดียพร้อมกับคำบรรยายสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย “ในโลกที่ไร้แสงสว่าง ฉันเลือกที่จะสร้างความงามจากความมืดมน”
ตอนที่4การ์ดเชิญสีดำ ฟ้าใสยอมทำตามแต่โดยดี พวกเธอเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด ปริมลดาหยิบการ์ดเชิญสีดำที่หรูหรานั้นขึ้นมา แล้วยื่อนให้เพื่อนดูอย่างไม่ลังเล เมื่อฟ้าใสเห็นชื่อของเมฆา ปรากฏบนการ์ดดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตกใจและมีแววตาหวาดกลัว “นี่มันอะไรกันปริม” ฟ้าใสขึ้นเสียงอย่างตกใจ “แกจะไปทำไมที่นั่น”“นี่คือโอกาสที่ฉันจะได้เข้าไปในโลกของเขา” ปริมลดาอธิบาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและหนักแน่น “และฉันต้องการให้แกไปกับฉัน”“ไม่!!! ฉันไม่ไป” ฟ้าใสปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันบอกแกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้ มันอันตรายนะปริม”“ฉันรู้ว่ามันอันตราย แต่ฉันต้องการจะไป” ปริมลดาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “ถ้าแกไม่ไป ฉันก็จะไปคนเดียว”ฟ้าใสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอรู้ดีว่าปริมลดาไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนใจง่ายๆ เมื่อคิดจะทำอะไรแล้วก็จะทำจนสำเร็จ และการปล่อยให้เพื่อนไปคนเดียวอาจจะอันตรายกว่า “ก็ได้ฉันจะไปเป็นเพื่อนแก” ฟ้าใสถอนหายใจยาว “แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น แกต้องสัญญาว่าจะหนีมากับฉันทันที”“สัญญา” ปริมลดาตอบรับด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แต่เธอรู้ดีว่าการมีเพื่อนไปด้วยทำให้เธอ
ตอนที่3คนนี้เป็นใครเมฆาเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปที่หน้าฟีดข่าวสาร เขาเลื่อนดูผลงานศิลปะต่างๆ ที่มีคนอัปโหลดขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา ก่อนที่สายตาอันคมกริมของเขาจะไปสะดุดเข้ากับภาพผลงานของปริมลดา ภาพวาดที่เต็มไปด้วยความมืดมนแต่กลับแฝงไปด้วยความงดงามที่น่าหลงใหล มันคือภาพสะท้อนความรู้สึกที่ซับซ้อนที่เมฆาเองก็เคยมีอยู่ในใจ “คนนี้เป็นใคร” เมฆาถามคีรินทร์ด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งจนน่าขนลุก สายตาของเขาไม่ได้จ้องมองที่ภาพวาดเพียงอย่างเดียว แต่เขากำลังอ่านใจของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังภาพนั้น คีรินทร์รีบหาข้อมูลทันทีก่อนจะและอ่านข้อมูลของปริมลดาให้เมฆาฟัง “ปริมลดา อายุ 25 ปี เพิ่งเรียนจบจากต่างประเทศ เป็นนักออกแบบอิสระ” “ฉันอยากรู้เรื่องราวของเธอให้มากกว่านี้” เมฆาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเลศนัย “ตรวจสอบประวัติของเธอให้ละเอียดที่สุด” “ครับนาย” คีรินทร์ตอบรับอย่างเคร่งเครียด เขารู้ดีว่าเมื่อเมฆาให้ความสนใจกับใครแล้ว คนๆ นั้นจะต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษอย่างแน่นอน เมฆาเลื่อนภาพผลงานของปริมดูอีกครั้ง ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เขารับรู้ถึงความร
ตอนที่2แผนร้ายบนปลายพู่กัน ในขณะเดียวกัน ที่สำนักงานใหญ่ของมาเฟีย เมฆากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและน่าเกรงขาม คีรินทร์บอดี้การ์ดและคนสนิทของเขากำลังรายงานเรื่องการเคลื่อนไหวของธุรกิจของศัตรูอย่างเคร่งเครียด “นายครับ ผมว่าเรื่องนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล” คีรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจ เมฆายกมือขึ้นห้าม “ฉันรู้” น้ำเสียงของเขานิ่งและหนักแน่น “นายไม่ต้องรายงานเรื่องนี้แล้ว” “แต่ว่า...” คีรินทร์พยายามจะแย้ง “ผมว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องในอดีต” “ฉันบอกแล้วว่าฉันรู้” เมฆาย้ำเสียงเข้ม ทำให้คีรินทร์ต้องเงียบไปในที่สุด เขารู้ดีว่าเมื่อเมฆาพูดคำนี้แล้วก็ไม่มีใครที่จะกล้าขัดคำสั่งของเขาอีกต่อไป เมฆาเงียบไปครู่หนึ่ง เขายกมือขึ้นลูบที่รอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้แขนเสื้อ ซึ่งเป็นร่องรอยเดียวที่หลงเหลือจากเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำในวันนั้นยังคงสดใหม่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เสียงกรีดร้องของ นภัสสร ผู้เป็นแม่ยังคงก้องกังวานอยู่ในหูของเขา และใบหน้าของชายที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันยังคงติดตา ไม่ใช่ใครทีไหนแต่เป็น ธีรุตม์ ผู้ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของพ่
ตอนที่1แผนการของปีศาจตัวน้อยแสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องกระทบใบหน้าซูบผอมของ ปวริศา เปลือกตาที่เคยสดใสกลับปิดสนิทราวกับไม่อยากตื่นขึ้นมาพบกับโลกที่แสนโหดร้าย ปริมลดา นั่งกุมมือแม่ไว้แน่น พยายามส่งความอบอุ่นให้แต่กลับพบเพียงความเย็นเฉียบที่น่าใจหาย ลมหายใจที่แผ่วเบาของแม่ดังเป็นจังหวะที่ซ้ำซากอยู่ในห้องเงียบงัน ยิ่งตอกย้ำความจริงที่ว่าชีวิตของแม่เธอกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย 6 เดือนที่ผ่านมา บ้านของปริมลดาหลังนี้ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของ วรวิทย์ พ่อของเธอ ชายผู้เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัว แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลงในพริบตา เมื่อข่าวการล้มละลายของธุรกิจครอบครัวกระหน่ำซ้ำเติมหัวใจของทุกคนและข่าวที่พ่อ “ฆ่าตัวตาย” ก็กลายเป็นเพียงคำพูดสวยหรูที่สื่อใช้ปิดบังความจริงที่น่ากลัว ปริมลดาจำได้ขึ้นใจ วันที่พ่อนั่งกุมขมับอยู่บนโต๊ะอาหาร ก่อนจะเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาอย่างเจ็บปวด “เมฆาเป็นคนไม่ดีเลยนะปริม” คำพูดสุดท้ายของพ่อในวันนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวเธอ ราวกับเป็นคำเตือนสุดท้ายก่อนที่ความมืดมิดจะกลืนกินทุกอย่างที่เธอรัก ตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจความหมายท
บทนำกับดักร้ายพ่ายรัก นิ้วเรียวยาวของหญิงสาวแตะลงบนหน้าจอมือถืออย่างแผ่วเบา ภาพถ่ายในอดีตฉายชัดตรงหน้า ภาพที่ครอบครัวของเธอเคยสมบูรณ์แบบ เสียงหัวเราะของพ่อดังคลออยู่ในความทรงจำ ขณะที่รอยยิ้มอบอุ่นของแม่ก็พร่าเลือนไปกับหยดน้ำตาที่เอ่อล้น แต่ภาพเหล่านั้นก็สลายไปเมื่อภาพของชายคนหนึ่งปรากฎขึ้น เมฆา... ชื่อนี้ไม่ได้มีความหมายว่าท้องฟ้าที่กว้างใหญ่และสดใสอีกต่อไปแต่มันคือเงามืดที่บดบังชีวิตของเธอจนแทบมองไม่เห็นแสงสว่าง เขาคือมาเฟียผู้ทรงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังความพินาศของครอบครัวเธอ เธอเฝ้ามองชีวิตของตัวเองพังทลายลงต่อหน้าต่อตา พ่อที่เคยเป็นเสาหลักกลับจากไปอย่างปริศนา แม่ที่เคยแข็งแรงกลับนอนซมอยู่บนเตียง เธอเคยมีทุกอย่าง แต่ในชั่วพริบตาเดียวก็ไม่มีอะไรเหลือเลย “เกมนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้น และฉันจะทำให้มันจบลงด้วยมือของฉันเอง ปริมลดาไม่ใช่นกน้อยที่ไร้รังอีกต่อไป แต่เธอกำลังจะกลายเป็นนักล่าที่เต็มไปด้วยคมมีดซ่อนไว้ภายใต้ความอ่อนหวาน เธอจะใช้ร่างกายและหัวใจเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงเขา เพื่อทำลายเขาให้สิ้นซากในวันที่เขารักเธอมากที่สุด เพราะ