LOGINบทที่ 11 เสียงจากเงามืดในอดีต
ตำหนักชั้นนอกซึ่งเคยใช้เป็นที่พักของขันทีเกษียณ อากาศอบอ้าวปนกลิ่นยาและไม้เก่า ฮ่องเต้เสด็จเงียบ ๆ ท่ามกลางแสงยามสายอ่อน ๆ เพียงองค์เดียว มิได้ให้ราชองค์รักษ์ติดตามมาแม้แต่คนเดียว
“เขายังมีชีวิตหรือ ”
พระสุรเสียงนั้นแม้เบา แต่เปี่ยมด้วยแรงกดดัน
ขุนนางคนสนิทก้มหน้ารับคำ
“หากหม่อมฉันจำไม่ผิด…น่าจะเป็น ‘หลิวกงกง’ บัดนี้อยู่ตำหนักเก็บสมุนไพร ทำหน้าที่จดคัมภีร์ยาสมุนไพรถวายแพทย์หลวง ผู้นั้นเคยเป็นข้ารับใช้ของเจิ้งซูเฟย เมื่อครั้งอยู่ที่ตำหนักเย็นใจ…”
ภายในตำหนักไม้ที่เงียบสงบ เสียงฝีเท้าของฮ่องเต้ดังขึ้นกลางพื้นไม้ หลิวกงกงในวัยชรา เงยหน้าจากตารางยารายวัน ดวงตาขุ่นมัวของเขาเบิกกว้างเพียงชั่วครู่ ก่อนจะทรุดตัวคำนับแทบพื้น
“ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้มิได้ตรัสทันที หากเดินวนรอบห้องด้วยสายพระเนตรที่เยือกเย็นและเคร่งขรึม
“สิบแปดปีก่อน ท่านอยู่ที่ตำหนักเย็นใจ ใช่หรือไม่”
“หม่อมฉัน…มิกล้าปฏิเสธฝ่าบาท”
“ในวันที่เจิ้งซูเฟยถูกกล่าวหาว่าลอบวางยาเสด็จพ่อท่านอยู่ ณ ที่นั้นหรือไม่”
หลิวกงกงเงียบงันไปชั่วอึดใจ…ก่อนจะกล่าวช้า ๆ
“ข้าน้อย…อยู่ แต่ไม่มีผู้ใดอยากฟังเสียงของขันทีเฒ่าผู้หนึ่ง…”
เงาความทรงจำเริ่มก่อตัวในถ้อยคำ
“ในวันนั้น ข้าน้อยเห็นชัด ว่าซูเฟยมิได้แตะต้องถ้วยน้ำชาใบนั้นแม้แต่ปลายนิ้ว หากแต่หญิงอีกผู้หนึ่ง…เป็นผู้ที่วางยา และโยนความผิดให้ซูเฟย”
“หลังเกิดเรื่อง ข้าน้อยถูกสั่งให้ย้ายไปตำหนักอื่น…และถูกตัดเบี้ยหวัดชั่วคราว เหมือนเป็นการลงโทษเงียบ”
ฮ่องเต้นิ่งฟัง ริมพระโอษฐ์ขบแน่นจนเห็นเส้นเลือด
“ผู้ใด…เป็นผู้วางยากันแน่ ท่านกล้าตอบไหม ว่าไม่ใช่ไท่หวงไท่โฮว่”
หลิวกงกงสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่ง…ก่อนจะโค้งศีรษะแนบพื้นอย่างสิ้นท่า
“ข้าน้อยไม่อาจกล่าวออกมาได้ด้วยปากนี้…แต่ข้าน้อยยังเก็บสิ่งหนึ่งไว้…กล่องไม้ที่ไร้ค่าในสายตาผู้อื่น”
ขันทีเฒ่าหยิบกล่องไม้กล่องเล็กจากใต้แคร่เก่า ภายในบรรจุจี้หยกอีกครึ่งหนึ่งที่เข้าคู่กับหยกซีกหนึ่งที่ฮ่องเต้เพิ่งพบเมื่อวันก่อน พร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งบันทึกสั้น ๆ ที่ซูเฟยเคยฝากไว้
‘…หากลูกข้ายังมีชีวิต ได้โปรดนำหยกนี้ไปมอบให้ เขาจะเข้าใจ’
ในห้องเงียบงันนั้น ฮ่องเต้เพียงเอ่ยเบา ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว…”
ตำหนักกลางรับแขกในวังหลังยามห้ายามย่ำ
ห้องหนึ่งถูกจัดขึ้นเป็นสถานที่สอบสวนอย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีเครื่องยศ ไม่มีขุนนาง ไม่มีผู้สังเกตการณ์ มีเพียงบุคคลผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าองค์ฮ่องเต้ กับเสียงเงียบงันที่กดดันเสียยิ่งกว่าเสียงตวาด
“จำข้าได้หรือไม่”
“เมื่อสิบแปดปีก่อน…เจ้าคือนางกำนัลผู้เฝ้าหน้าตำหนักเย็นใจในคืนนั้น ใช่หรือไม่”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นหน้าซีดเผือดทันที
“ฝ่าบาท…หม่อมฉัน…”
“ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงอยากรู้ ว่าผู้ใดนำถ้วยชานั้นเข้าไปในตำหนักของฮองเฮาเจิ้งใช่ท่านหรือไม่”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นมือสั่น ไม่กล้าสบพระพักตร์ “หม่อมฉัน…เพียงรับคำสั่ง…จากอีกผู้หนึ่ง…แต่หม่อมฉันมิรู้ว่ามันมีพิษ…หม่อมฉัน…แค่ทำตามหน้าที่…”
พระราชกระแสรับสั่งลับ เริ่มกดดันผู้ที่เคยอยู่เบื้องหลัง
“ข้าจะไม่ลงโทษผู้ใดที่ยอมบอกความจริง แต่หากใครปิดบังแม้เพียงเศษเสี้ยว ข้าจะถือว่าพวกเขา ‘ทรยศต่อเลือดในร่างกายของข้า’”
ผู้คนเริ่มแตกตื่น ข่าวลือเริ่มแพร่ในวังว่าองค์เหนือหัวทรงเรียกสอบอดีตอย่างลับที่เกี่ยวกับอดีตฮองเฮา อาจมีผู้ใหญ่ในวังที่เกี่ยวข้องแม้แต่ไท่หวงไท่โฮว่ก็อาจตกเป็นเป้า
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ







