LOGINบทที่ 10 กลอนเดิมที่ขยับไปนิดเดียว
รุ่งเช้าในตำหนักใหญ่ แสงแดดอ่อนส่องผ่านม่านแพรบาง ลูบไล้ผิวพระพักตร์ที่ยังไม่ทรงลืมเนตร
ฮ่องเต้พลิกพระวรกายขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนสายพระเนตรจะทอดลงยังข้างเตียงจุดเดิมที่ทรงวางกลอนนั้นไว้เมื่อคืน
กระดาษแผ่นบางยังอยู่ไม่มีรอยขาด ไม่มีรอยเปื้อน
แต่…มันขยับไปเล็กน้อย
จากแนวตรงกลายเป็นเฉียงจากขอบโต๊ะเพียงสองนิ้ว
น้อยเสียจนคนธรรมดาย่อมไม่สังเกตแต่ไม่ใช่สำหรับผู้เคยเป็นองค์ชายผู้ระแวดระวังทุกฝีก้าว
พระเนตรทอแววครุ่นคิดทันที
“มีใครมา…เมื่อคืน”
พระองค์ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่พระหัตถ์กลับยกขึ้นลูบปลายกระดาษเบา ๆราวกำลังพิจารณาว่าใคร ที่เข้าถึงตัวได้เงียบงันถึงเพียงนี้ และใคร…ที่เจ็บพอจะกล้าหยิบ แต่เจ็บกว่าจึงยังวางไว้ที่เดิม
อีกฟากหนึ่ง…ในตำหนักไท่หวงไท่โฮว่
“เสี่ยวหลิง”
น้ำเสียงเรียกนั้นราบเรียบ เย็นเสียยิ่งกว่าน้ำค้างยามรุ่งสางนางกำนัลสาววัยสิบห้าเศษที่รับใช้ใกล้ชิดรีบก้าวเข้าไปคุกเข่า
“เพคะไท่หวงไท่โฮว่”
“กลอนบทนั้น…เจ้ายังจำคำได้อยู่หรือไม่”
“หม่อมฉันจำได้ครบทุกวรรคทุกถ้อยเพคะ”
“ดี” ไท่หวงไท่โฮว่พยักหน้าช้า ๆ พระหัตถ์ลูบขอบถ้วยชา ก่อนเอ่ยต่ออย่างเยือกเย็น
“เจ้าจะไปเล่าให้เหล่าขุนนางฟังว่า…แม้เพียงบทกลอนบทเดียว ก็อาจปลุกปีศาจในอดีตให้กลับมา…และปีศาจที่ว่านั่น เคยทำให้เลือดตกในวังมาแล้วครั้งหนึ่ง”
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ”
“แต่เจ้าอย่าพูดตรงเกินไป” ไท่หวงไท่โฮว่ช้อนสายเนตรขึ้นสบ
“จงให้พวกเขาคิดเอาเองว่าคนแซ่เจิ้ง หากได้กลับมา จะนำภัยมาสู่ราชสำนักเพียงใด”
อีกไม่กี่วันต่อมา…ในท้องพระโรงเมื่อมีผู้ขอให้เจิ้งซูเฟยได้ปรากฏในพิธีใหญ่ในฐานะพระมารดาโดยกำเนิด เสียงคัดค้านกลับดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดจากขุนนางกลุ่มหนึ่ง
“เจิ้งซูเฟยเคยมีคดีลับในอดีต ฝ่าบาทอาจมิทรงทราบ กลอนที่เขียนให้พระองค์ แม้ฟังดูสะเทือนใจ…แต่แท้จริงอาจเป็นเพียงกลศึก”
“หญิงผู้นั้นเคยเกี่ยวข้องกับการล้มล้างฝ่ายขวาในรัชกาลก่อน!”
“หม่อมฉันมีคำยืนยันจากผู้รับใช้เก่า ที่ยังมีชีวิตอยู่จนบัดนี้”
ฮ่องเต้นิ่งฟัง แม้สีพระพักตร์จะยังเรียบเฉย แต่ใจนั้น…กลับมีพายุคลื่นซัดเข้าหากันอย่างเงียบงัน
ในราตรีที่สายลมโบกเบาตำหนักหลวงยังเงียบงันเช่นทุกค่ำคืน
ทว่าเงาร่างหนึ่งกลับเคลื่อนไหวอย่างไม่ปกติ
มิใช่ขันที
มิใช่องครักษ์
แต่เป็น…ฮ่องเต้ผู้มักเก็บพระองค์หลังม่านคำสั่ง พระองค์ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นผ้าแพรสีหม่น
ไร้มงกุฎ ไร้เครื่องประดับ
ทรงเสด็จออกจากตำหนักโดยไม่มีแม้แต่ผู้ติดตามเส้นทางที่ทรงเลือก…กลับไม่ใช่หอราชการ หรือหอคัมภีร์
แต่เป็นตำหนักหนึ่งที่เคยถูกลืมเลือนไปตามกาล
“ตำหนักเย็นใจ”
ที่เคยเป็นตำหนักประจำตำแหน่งสตรีนามว่า ฮองเฮาเจิ้ง เมื่อสิบแปดปีก่อน
พระหัตถ์หนึ่งเปิดบานหน้าต่างอีกข้างลูบรอยหยาบบนกำแพง
“รักของแม่…คือรักที่หยั่งรากลึกในโลหิต”
วรรคหนึ่งในกลอนนั้นผุดขึ้นในห้วงความคิด แต่สิ่งที่ฮ่องเต้ทรงพบภายในตำหนัก…กลับเป็นร่องรอยที่ไม่มีใครเคยกล่าวถึงในราชสำนัก
รอยขีดเขียนบนกำแพงจากเล็บมือเศษผ้าเย็บมือที่เหลือเพียงครึ่งแผ่น จี้หยกครึ่งดวง ที่ถูกฝังไว้ใต้กระถางเก่า และสมุดบันทึกเล่มจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในพื้นไม้ที่โยกเยก
บันทึกเล่มเล็กในมือฮ่องเต้
”…ข้าถูกกล่าวหาว่าลอบทำร้ายฮ่องเต้ทั้งที่ข้ายังมิรู้เลยว่าเพราะเหตุใด…”
“มีเพียงโอรสของข้าเท่านั้นที่ข้าอยากรอดเพื่อพบหน้าอีกครั้ง”
“วันที่ถูกลากออกจากตำหนัก ข้าร้องเรียกชื่อเขาทั้งน้ำตา แต่นางกลับหัวเราะ…”
ฮ่องเต้หนุ่มเอนแผ่นหลังพิงกำแพงนึกภาพตามตัวอักษร
เช้าวันถัดมา…ฮ่องเต้เสด็จเข้าหอคัมภีร์
ขอให้ขุนนางคนสนิทนำจดหมายในรัชกาลก่อน และบันทึกเวรยามเมื่อสิบแปดปีก่อนมาทูลถวาย
ไม่ใช่เพื่อเปิดโปงใครแต่เพื่อยืนยัน…ว่าในอดีต มีใครกันแน่ ที่โกหก การตัดสินโทษในวันนั้นถูกต้องจริงแล้วงั้นหรือ
บทที่ 17 พิษในร่มเงามีดที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม อันตรายยิ่งกว่าหอกทิ่มตรงหน้า และบางครั้ง การไว้ใจผิดคน…ก็เท่ากับเชิญภัยมาถึงตำหนักหลังการพิจารณาคดีในท้องพระโรง เจิ้งซูเฟยกลับตำหนักอย่างสงบ แต่ภายในวังยังมีแรงสั่นสะเทือนอยู่เงียบ ๆเพียงหนึ่งวันหลังจากนั้นขันทีผู้ดูแลตำหนักไท่ฮวา เอ่ยต่อไท่เฟยด้วยความนอบน้อม“เสี่ยวหลิง ลูกสาวมัวมัวเก่าผู้จงรักภักดี…ได้สมัครเข้ารับใช้ในตำหนักไท่เฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ไท่หวงไท่โฮว่เพียงพยักหน้า แต่สายพระเนตรเย็นดุจน้ำแข็ง“บอกนางว่า…ข้าต้องการความจริง ไม่ใช่ความภักดี”เสี่ยวหลิง นางอายุเพียงสิบหกปี ใบหน้ากลมขาว ผูกเปียเล็กหลังศีรษะ พูดจาเรียบร้อย ไม่สอดรู้ ไม่เสนอตัวเกินงามวันแรกที่เข้าตำหนัก เจิ้งซูเฟยมองอย่างเรียบเฉย“เจ้าชื่ออะไร”“เสี่ยวหลิงเพคะ มารดาเคยทำงานในวังสมัยก่อน”“ข้าไม่ถามเรื่องมารดา ข้าถามว่าเจ้าตั้งใจจะรับใช้อย่างไร”คำตอบที่เสี่ยวหลิงตอบ คือการก้มกราบลงอย่างเงียบงันหลายวันผ่านไปเสี่ยวหลิงดูเป็นเด็กขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เคยซุบซิบ แต่นางมักอยู่ใกล้เอกสาร โต๊ะเขียนหนังสือ หรือห้องเก็บของสำคัญ และทุกค่ำคืน จะกลับห้องช้ากว่าคนอื่นเล็กน้อยเสมอคนส
บทที่ 16 หรงชิง บุรุษผู้หวนคืนจากความตายบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว บางคนภาวนาให้เขาตายเสียที แต่เขากลับก้าวเข้าสู่ประตูวัง…ด้วยเท้าที่มั่นคง และหัวใจที่ยังภักดีต่อความจริงต้นฤดูใบไม้ร่วง ลมแล้งพัดแรงจากชายแดนเหนือ คาราวานหนึ่งจากแดนเถื่อนเคลื่อนเข้าสู่พระนครอย่างไร้ผู้เหลียวแลทว่าในหมู่ผู้เดินทางนั้น…มีชายสวมผ้าหยาบซีด ไม่เผยใบหน้า“นั่น…หน้าคล้ายอัครเสนาบดีหรงชิง!”“เป็นไปไม่ได้! เขาถูกประหารไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน!”ข่าวลือแพร่กระจายดุจไฟลามหญ้าในวังหลวงขุนนางชราหน้าซีดเผือด ขุนนางรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามราชสำนัก…เคยฆ่าคนผิดหรือไม่ในตำหนักลับของขุนนางผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ชายในชุดหยาบเผยโฉมอย่างชัดเจนต่อหน้าฮ่องเต้“หม่อมฉัน…หรงชิง ขอกลับมาสู่แผ่นดินภายใต้พระบารมีอีกครั้งสิบปีที่ผ่านมา…หม่อมฉันมิได้ตาย แต่ถูกขับให้ลี้ภัย รอวันที่ความจริงจะได้เป็นธรรม”เขาคลี่ผ้าผืนหนึ่งออกในนั้นคือจดหมายของเจิ้งซูเฟยจากสิบปีก่อนหมึก ตราประทับ และลายมือ…ตรงกับต้นฉบับทุกประการเนื้อความในจดหมายนั้น…มิใช่ถ้อยคำแห่งความรักแต่คือถ้อยคำแห่งความกล้า“…แม้ข้าจะไร้อำนาจ แต่หากท่านยังมีเมตตา ขอท่านอย่าปล่
บทที่ 15 อ้อมกอดที่แสนคนึงหาใต้เงามืดในวังหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเดินลัดเลาะตามเงาที่ถอดยาว เมื่อถึงตำหนักของเจิ้งซูเฟย หนึ่งในชายชุดดำก็แยกตัวออกมาและเล้นกายเข้าไปภายในประตูไม้เปิดออกช้า ๆเงาร่างสูงสง่าในชุดคลุมไหมเข้มก้าวเข้ามาเงียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์เมื่อเห็นเจิ้งซูเฟยที่กำลังนั่งให้คนสนิทพันผ้าพันแผลให้อยู่ ร่างสูงก็ยืนนิ่งราวกลับถูกแช่แข็งไว้ สนิทของเจิ้งซูเฟยเห็นผู้บุกลุกก็รีบลุกแล้วออกไปด้านนอกในทันทีชายในชุดดำทรุกกายลงนั่งแทนที มือหนาพันแผลที่ยังค้างเอาไว้ต่ออย่างเบามือเขาเงยหน้าสบตาคนตรงหน้าที่มีดวงตาเช่นเขา“มาสาย”“เสด็จแม่ไม่เห็นต้อง…ทำเช่นนี้”“นางจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมเจ้าให้ตำแหน่งแม่ง่ายดาย”“แต่แขนของท่าน หากข้าไปช้าอีกนิด ไม่รู้ว่า” เขาตอบเสียงแผ่ว “เสด็จย่าจะทำเช่นไรกับท่านต่อ ในตำหนักนั่นมีแต่คนของนาง”เจิ้งซูเฟยยกยิ้มบาง ดวงหน้าอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครในวังเคยเห็น“แต่เจ้าก็ไปทันมิใช่นหรือ เจ้าโตแล้วจริง ๆ เจ้า…โตพอจะปกป้องแม่แทนแล้ว”“อย่าทำเช่นนี้อีก หากข้าเห็นท่านต้องบาดเจ็บตรงหน้า ไม่รู้ว่าทนเปิดบังความรักที่ข้ามีต่อท่านได้แค่ไหน”“มากกว่า
บทที่ 14 บาดแผลไท่หวงไท่โฮ่วทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพระเนตรวาวขึ้นเหมือนประกายเหล็กกระทบกัน พระสุรเสียงแผ่วต่ำแต่ทิ่มแทงราวคมดาบ“สามหาว… เจ้าอย่าคิดว่าเพียงเพราะหวงเชิงมอบตำแหน่งให้ เจ้าจะมีสิทธิ์เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้า ข้า ได้”สุรเสียงแผ่วต่ำแต่แฝงแรงกดดันจนลมหายใจในตำหนักหนักอึ้ง “แม้ตอนนี้ข้าจะไม่ได้บัญชาหลังม่าน แต่วังหลังแห่งนี้… ข้าต่างหากคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด”เจิ้งซูเฟยหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นเบาราวจะกลืนหายไปในอากาศ แต่กลับบาดลึกกว่าเสียงตวาดใด ๆ“เพียงแค่ ตอนนี้ เท่านั้น… เสด็จแม่”คำเรียกขานนั้นทำให้วังเวงทั้งตำหนักราวหยุดนิ่ง เวลานับสิบปีไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากนาง แต่ครานี้กลับถูกเอ่ยออกมาอย่างจงใจ ราวใบมีดที่ทิ่มลึกลงในอดีตแววตาของไท่หวงไท่โฮ่วฉายประกายเย็นยะเยือกปนเดือดดาล ความเยือกนั้นเหมือนน้ำแข็งในฤดูหนาว ขณะความเดือดดาลเหมือนเพลิงที่กำลังบีบอัดอยู่ในม่านหมอก จนไม่อาจคาดได้ว่าพายุนี้จะระเบิดเมื่อใดพระพักตร์ที่ปกติสุขุม กลับค่อย ๆ คล้ำลงทีละส่วน ขอบพระโอษฐ์กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นชาจนเส้นเลือดเย็นเฉียบในความเงียบที่กดทับ เสียงเคร
บทที่ 13 ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใด สายที่มองต่ำยังคงเดิมนางหยอบกายลงอย่างงดงาม ศีรษะต่ำแต่แววตากลับคมกริบ“ไม่คิดว่าไท่หวงไท่โฮ่วจะทรงมีรับสั่งเรียกพบหม่อมฉันเช่นนี้”ภายในตำหนัก กลิ่นกำยานอวลอบอวล ราวกับถูกจงใจจุดให้คลุ้งขับความคิดของผู้มาเยือนให้พร่าเลือนไท่หวงไท่โฮ่ววางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา พระหัตถ์เรียวยังคงงดงามแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแววตาของนางเรียบสนิทเหมือนผิวน้ำในยามไร้ลม แต่ลึกลงไปกลับมีคลื่นกระเพื่อมที่อ่านไม่ออก“ข้าก็ไม่คิด…ว่าหลังจากอยู่เงียบ ๆ บนเขาเทียนจี่เกือบสิบห้าปี เจ้าจะเลือกวันเช่นนี้ลงจากเขา”เสียงนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังสนทนากับสหายเก่า แต่ทุกคำกลับหนักราวค้อนเหล็กที่ค่อย ๆ ทุบลงบนหินเจิ้งซูเฟยเพียงยิ้มจาง ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ“บางครั้ง การกลับมาของผู้ที่ถูกไม่ได้รับความยุติธรรม…ก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลงั้นหรือ” ไท่หวงไท่โฮ่วแค่นหัวเราะเบา “ในวังนี้ ทุกการกระทำล้วนมีเหตุผล และทุกเหตุผลล้วนมีราคา”พระเนตรของนางจ้องลึกเข้ามาราวจะชำแหละหัวใจผู้ตรงข้าม “ข้ากลัวเพียงว่า…ราคาที่ท่านจ่าย จะเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งเจ้าเองก็ไม่อาจแบกรับ”เจิ้งซูเฟยเล
บทที่ 12 ลายมือจากอดีตคืนหนึ่งหลังการสอบสวนขันทีเฒ่าเสร็จสิ้น หลิวกงกงผู้ซื่อสัตย์ได้นำหีบไม้เก่าใบหนึ่งมาเฝ้าพระพักตร์ เป็นหีบที่ถูกเก็บไว้ในห้องเก็บตำราเก่า ณ หอพระราชนิพนธ์ด้านใน ซึ่งไม่มีผู้ใดแตะต้องมากว่าสิบห้าปี“ฝ่าบาท… หม่อมฉันพบสิ่งนี้ระหว่างจัดระเบียบเอกสารเก่า พระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายในหีบมีสมุดฉบับเล็กเย็บมือ บนปกไม่มีชื่อ แต่เมื่อเปิดออก กลับเป็น ลายมือของเจิ้งซูเฟย ในยามถูกจองจำที่ตำหนักเย็นใจระหว่างการตัดสินโทษข้อความที่เปลี่ยนทุกอย่าง‘…แม้ข้าต้องยอมสละเกียรติ ยอมเป็นหญิงบ้าในสายตาโลก หากเพียงเขา…ลูกของข้า…จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าก็ยินดี’‘ข้าถูกล่อลวงให้ถือถ้วยชาที่มีพิษ’พระเนตรฮ่องเต้แข็งค้างไปนานแม้กระดาษจะเก่า แม้หมึกจะเลือนลางแต่ลายมือนั้น…ทรงจำได้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์ทรงเห็นลายมือที่ซ่อนในสมุดเล่มนั้นกลายเป็น คำให้การที่ไม่มีใครสามารถลบได้“ลายมือเช่นนี้…คล้ายกับบทกลอนที่วางไว้ข้างพระแท่นบรรทมเมื่อหลายคืนก่อนท่านแม่…เขียนถึงข้าทั้งที่รู้ว่าจะไม่มีวันได้พบอีก ”ฮ่องเต้เริ่มเชื่อว่าเจิ้งซูเฟยไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์อย่างที่ถูกเล่าทรงระลึกถ






![เฟิ่งหวง [鳳凰]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
