LOGIN“แบตมาหมดอะไรตอนนี้วะ! อย่างกับกูอยู่ในฉากน้ำเน่าของหนังไทยเลย…แม่มึงเอ้ย!”
ความหวังสุดท้ายอย่างโทรศัพท์ที่ดูจะเป็นเพียงตัวช่วยเดียวเพื่อให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์ฉิบหายตรงหน้า ตอนนี้หน้าจอได้ดับสนิทไปเป็นที่เรียบร้อย…มืดมิดไม่ต่างจากอนาคตอันใกล้ของเขาเลย
“มีใครอยู่ข้างนอกไหมครับ มีคนติดอยู่ในนี้”
ตะเบ็งเสียงออกไปจนเส้นเลือดขึ้นคอแต่กลับไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตตอบกลับมา แต่ถึงอย่างนั้น กานยังคงแหกปากตะโกนขอความช่วยเหลือต่อ เพราะหวังว่าจะมีใครสักคนผ่านมาได้ยินแล้วช่วยไปตามเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูให้
“ช่วยด้วยครับ มีคนอยู่ในนี้”
“.....”
แต่ไม่ว่าเขาจะตะโกนดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยินเลยสักคน
“นี่กูอยู่ในสระน้ำมหาลัย หรือวัดร้างวะ มันจะไม่มีใครเดินผ่านมาเลยหรือไง”
บ่นออกไปด้วยความหงุดหงิด ฝ่ามือหนายกขึ้นดึงทึ้งผมตัวเองไม่แรงมากนัก เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเอาอารมณ์ขุ่นมัวในใจของตนเองไปลงกับอะไร
“โอ้ย!”
แต่ดูเหมือนเขาจะเผลอดึงผมตัวเองแรงไปหน่อย จนหัวแทบขมำลงพื้น “อย่าให้กูออกไปได้นะ พ่อจะแจ้งตั้งแต่คนดูแล ยันอธิการบดีเลยคอยดู” พูดเสียงขึ้นจมูกด้วยความโกรธ ก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินกระทืบเท้าเสียงดังเพื่อกลับเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ด้านในของสระน้ำดังเดิม
“ดูท่าแล้ว กูคงได้นอนตบยุงเล่นแน่ ๆ คนมันจะซวยอะไรนักหนาวะ” เขายังคงบ่นไม่หยุด จนกระทั่งเดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ริมสระน้ำ “หรือเพราะเมื่อเช้าก้าวขาขวาออกจากห้องวะ ใช่แน่ ๆ ไอ้กานเอ้ย”
แววตาแสดงออกถึงความเบื่อหน่ายขั้นสุดกวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณสระว่ายน้ำของมหาลัย ซึ่งน่าจะถูกใช้เป็นห้องนอนใหม่ของเขาในค่ำคืนนี้ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง โดยไม่ห่วงเรื่องภาพลักษณ์แต่อย่างใด เพราะถึงยังไงตอนนี้สิ่งมีชีวิตเดียวที่กำลังนั่งหายใจทิ้งอยู่ มันมีแค่ไอ้กานคนนี้คนเดียวเท่านั้น
‘อยู่คนเดียวจะทำอะไรก็ได้โว้ย’
อีกด้าน ร้านเหล้า XXX
“ไอ้พี่ธีต์ มึงไม่เล่นแรงไปเหรอวะ มันบาปนะพี่มึง”
มหาสมุทรถามขึ้นเสียงดังทันทีเมื่อเห็นเพื่อนรักเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง VIP ประจำของกลุ่มพวกเขา ในมือของพี่มันยังควงพวงกุญแจพร้อมใบหน้ายิ้มระรื่น เขาชักตะขิดตะขวงใจลึก ๆ ว่าไอ้พี่ธีต์มันไปแกล้งรุ่นน้องที่เจอกันในตอนกลางวันมาอย่างแน่นอน
และที่เขาเรียกมันว่าไอ้พี่ธีต์ นั่นเพราะพี่มันอายุเยอะกว่าเขาและไอ้โยถึง 4 ปี เรียกว่าเรียนนิติมาแล้ว 8 ปีพอดี แต่ไม่ยอมทำวิจัยจบ ด้วยเหตุผลโง่ ๆ ของมันที่มักบอกกับพวกเขาเสมอว่าไม่อยากจบไปเป็นอัยการเหมือนพ่อ
‘เป็นอัยการในประเทศโลกที่ 3 แบบนี้ มึงจะให้กูไปถามหาความยุติธรรมจากที่ไหน กูว่านะตาชั่งแม่ค้าขายมะม่วงที่ตลาดยังดูเที่ยงตรงกว่าตาชั่งในชั้นศาลอีกมั้ง’ นั่นคือเหตุผลที่เขาได้ยินพี่มันพูดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทุกครั้งมักลงท้ายด้วยประโยคกวนส้นตีนในสไตล์ของมัน ‘กูไม่อยากเข้าสู่กระบวนการขายจิตและวิญญาณของตัวเองวะ เลยขอแกล้งโง่เรียนไปเรื่อย ๆ แบบนี้’
และนี่คือที่มาของสรรพนาม ‘ไอ้พี่ธีต์นั่นเอง’
“บาปอะไรของมึงไอ้หมุด อย่ามาพูดจาชวนกูขนลุก”
ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามของเพื่อน ขณะทำท่าทางอย่างที่ปากว่า ธีต์ยกมือทั้งสองข้างลูบไปตามช่วงแขนของตัวเอง พลางเบะปากคว่ำลง จนมหาสมุทรนึกหมั่นไส้
“รำคาญลูกตาวะ”
ของทอดในจานพร้อมกับแกล้มถูกจับโยนมาใส่ร่างของธีต์อย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวหลบไม่ทัน “ไอ้หมุด มึงปามาหาพ่อมึงเหรอ?” เสียงเหวเพื่อนพร้อมทั้งลากพ่อของอีกฝ่ายเข้ามาในบทสนทนาดังขึ้น
“เออ หาพ่อกูนี่แหละ พี่มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบทำเรื่องผิดศีลแบบนี้”
มหาสมุทรเอนหลังพิงไปบนโซฟาด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่สีหน้ายังคงแสดงออกถึงความกังวล เพราะเขามันเป็นพวกไม่ชอบทำเรื่องผิดศีลธรรม ยิ่งกับคนรอบตัวด้วยแล้ว เขาไม่อยากให้ใครหลงผิดไปทำกันเลย รังแต่จะก่อกรรมต่อกันเปล่า ๆ
“ทานโทษนะเพื่อน ในมือที่มึงถืออยู่ คือเหล้าครับไอ้เวร!”
“วันนี้กูดื่มย้อมใจ พระท่านไม่ว่าหรอกโว้ย”
“พอ ๆ กูเบื่อจะเถียงเรื่องบุญกรรมกับมึงแล้ว ว่าแต่ไอ้โยมึงเอาปากมาด้วยไหม”
ท้ายประโยคธีต์หันไปถามเพื่อนหัวสีเทาของเขา ที่ตอนนี้นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เอาแต่ยกแก้ววิสกี้ในมือขึ้นกระดกไปเรื่อย ๆ จนเจ้าของเรือนผมสีส้มต้องเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง ด้วยโทนเสียงที่ดังกว่าเดิม
“ไอ้โย มึงได้ยินกูไหม”
“อืม”
“โยมึงพูดคำอื่นนอกจากอืมได้ไหมวะ กูเดาไม่ออกว่ามึงคิดอะไรอยู่”
“อืม”
“โอ้ย แดกเหล้ามึงต่อเถอะ ขอบคุณที่สละเวลาพูดกับกูเสียยืดยาว ไอ้หมุดมึงดู ไอ้โยพูดเยอะจนน้ำลายกระเด็นโดนเสื้อกูเปียกหมดแล้ว”
ฟังดูก็รู้ว่ามันคือประโยคแขวะเพื่อน แต่คนถูกพูดถึงนั้นกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย วาโยยังคงเป็นสมาชิกในกลุ่มที่วัน ๆ พูดจานับคำได้ แถมแต่ละคำที่พูดออกมาก็ไม่พ้น ‘อืม’ อยู่ดี แต่แทนที่มหาสมุทรจะเข้าใจพี่ใหญ่ คนหล่อนิสัยดีเลือกที่จะพูดจาเยาะเย้ยสวนเข้าให้
“สมน้ำหน้าพี่มึง รู้ว่ามันไม่ชอบพูดมาก ยังไปกวนอยู่ได้”
“มึงพูดขนาดนี้มึงยังเห็นกูเป็นพี่อยู่ไหมไอ้หมุด”
“อ้าว พี่มึงพูดเองนี่ว่าไม่อยากให้เรียกพี่โต้ง ๆ ใครมันบ่นกันวะ ว่าเรียกพี่เฉย ๆ แล้วกลัวคนอื่นมองว่าตัวเองแก่”
“อยู่กันสามคนเรียกกูพี่ได้ ต่อหน้าคนอื่นเป็นเพื่อนกันโว้ย”
ร่างสูงใหญ่ตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงดนตรีสดที่เพิ่งเริ่มแสดง ด้วยความที่เขานั้นเรียนมาหลายปี แถมอายุก็มากกว่าไอ้สองตัวนี้ แต่พอจะให้มันมาเรียกพี่นำหน้าชื่อ ฟังแล้วมันระคายหู เพราะถ้าวัดตามหน้าตา เขายังจัดอยู่ในระดับที่หล่อและหน้าเด็ก ดังนั้นจึงชอบให้พวกมันเรียกด้วยคำขึ้นต้นที่ดูเหมือนเพื่อนกันมากกว่า
“เออ ๆ ว่าแต่กุญแจในมืออะ ไหนเล่ามาดิ กูงงไปหมดแล้ว”
มหาสมุทรคาดคั้นเอาคำตอบต่อ เพราะตั้งแต่ช่วงพักกลางวันที่ไอ้พี่ธีต์มันเปลี่ยนไป เริ่มจากลากเขาและไอ้โยไปกินข้าวที่โรงอาหารของคณะแต่ตัวเองไม่ได้แตะข้าวในจานสักเม็ด แถมยังเดินตามไปหาเรื่องเด็กปี 2 ถึงโต๊ะ มากไปกว่านั้นตอนเย็นเฮียแกยังไปเอากุญแจสระว่ายน้ำมาเปิดแล้วนัดเด็กนั่นไปหาอีก ทั้งที่วันนี้มหาลัยปิดสระว่ายน้ำและกันไม่ให้คนเข้า เนื่องจากมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำยกสระ ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจแกล้งเด็กนั่น
“หมั่นไส้เด็กปากดี”
“พี่มึงน่าจะรู้นะว่ากูไม่ค่อยมีสมอง ช่วยขยายความกว้าง ๆ ให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อย”
“ไอ้เด็กนั่นมันเฉี่ยวกระจกลูกรักกูเมื่อเช้า แล้วปากดีกูเลยอยากแกล้งคืน”
“รถที่พี่มึงเพิ่งจะเอาไปทำสีมาใหม่ให้เข้ากับสีผมอะนะ”
“เออ แม่งขับรถภาษาอะไรไม่รู้ กระจกมองข้างลูกกูหลุดไปกับมือมันเลยมึง ใจคนเป็นพ่อแบบกูแตกสลาย”
“แต่รถพี่มึงก็แพง ทำไมไม่ให้ประกันเขาจัดการไป ไปแกล้งเด็กมันแบบนั้นเพื่อ?” คนที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้านอย่างมหาสมุทรไม่ปล่อยให้เวลาแห่งการพูดคุยเสียเปล่า เขารัวคำถามต่อทันที “หรือพี่มึงชอบเด็กนั่น”
ป๊าบ!
“โอ้ย ตบมาได้นะ”
คนขี้เสือกยกมือขึ้นจับเรือนผมสีแดงด้วยใบหน้าเหยเก เพราะเมื่อครู่ไอ้พี่ธีต์มันตบลงมาบนหัวเขาเข้าอย่างจัง หลังจากพลั้งปากเผลอถามออกไปเล่น ๆ
“ใครชอบวะ กูแค่อยากเอาคืนเถอะ มึงรู้ไหมค่ากระจกรถกูข้างละ 8 แสน แต่เด็กนั่นเอาแต่พูดปาว ๆ ว่าไม่มีเงินจ่าย”
“ดูจากสภาพก็ไม่น่ามีเงินมาจ่ายหนิ”
“.....”
“.....”
สองหนุ่มหันมามองหน้ากันทันทีเมื่อจู่ ๆ คนไม่พูดอย่างวาโยเป็นฝ่ายสวนขึ้นมา หากแต่พอพูดจบเจ้าตัวก็เอื้อมมือไปคว้าขวดวิสกี้มารินใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่มโดยไม่ได้มองหน้าเพื่อนทั้งสอง ใบหน้าดุ ๆ มองไปยังเหล่าผีเสื้อราตรีที่กำลังวาดลวดลายอยู่ท่ามกลางแสงไฟและเสียงดนตรีด้านล่างต่อ อย่างกับเมื่อครู่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
“เป็นไง อยากให้ไอ้โยพูดยาว ๆ ได้ยินแต่ละคำคมกว่ามีดหั่นแซลมอนอีกมั้ง”
“พอเลยมึงไอ้หมุด”
“เออ ๆ ว่าแต่พี่มึงจะขังเด็กนั่นไว้ที่สระว่ายน้ำจริง ๆ เหรอวะ ไม่แรงไปเหรอ”
คนรักในศีลธรรมยังคงเซ้าซี้ต่อ พร้อมกับยกแก้วลิเคียวเครื่องดื่มสุดโปรดขึ้นจิบ ขณะที่สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าของไอ้ตัวแสบต้นเรื่อง ที่นั่งกระดิกขาไม่สะทกสะท้านอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม
“แรงอะไร กูเปล่า”
“เสียงสูงนะมึง คอยดูเถอะ แกล้งคนอื่น นรกจะกินหัว”
“งั้นกูคงได้เจอมึงในนรกด้วย เพราะมึงก็สมรู้ร่วมคิดนะอย่าลืม มึงรู้ว่ากูจะทำอะไร แต่มึงไม่ห้าม ท่านยมเขาคงไม่ใจดีเอากูไปคนเดียวหรอก ว่าไหมโย”
ท้ายประโยคหันไปขอความคิดเห็นกับเพื่อนอีกคนที่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก แน่นอนว่าคำตอบมันไม่มีอะไรมากไปกว่า
“อืม”
“โอ้ย กูเบื่อจะเถียงกับพี่มึงแล้ว”
สุดท้ายสงครามน้ำลายที่เพิ่งเริ่มก็จบลงด้วยชัยชนะของกันธีต์ ใบหน้าหล่อเหลาทว่าดูเจ้าเล่ห์ยกยิ้มให้เพื่อนรักเบา ๆ พลางยกรัมในมือขึ้นจิบ ในหัวของเขายังนึกภาพถึงเด็กปากดีคนนั้น ป่านนี้คงร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะต้องติดอยู่ในสระว่ายน้ำทั้งคืน ‘เขาละอยากเห็นหน้าของคนปากดีตอนร้องไห้อยากกลับบ้านเสียจริง’
คิดไปแล้วก็นึกสนุกจนอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะรีบไปมหาลัยแต่เช้า เพื่อไปรอดูน้ำหน้าของเด็กขี้แยบางคน
รุ่งเช้า
“อ้าวหนุ่ม มานอนทำอะไรอยู่ตรงนี้”ลุงเจ้าหน้าที่ประจำสระว่ายน้ำของมหาลัยเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เดินเข้ามาเปิดระบบไฟต่าง ๆ ภายในอาคารตามปกติ แต่สายตาดันเหลือบมาเห็นใครบางคนกำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ริมสระ ฝ่ามือหยาบกร้านเอื้อมไปเขย่าไหล่ของนักศึกษาตรงหน้าเบา ๆ แต่อีกฝ่ายกลับพูดเสียงงัวเงียไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นมา
“อื้อ คนจะนอน”
“หนุ่มลูก ตื่นเร็ว ตาย ๆ ยุงไม่หามไปก็บุญแล้ว”
“หะ เห้ย!”
กานลุกพรวดขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเจอคนแปลกหน้ามายืนจ้องตากันอยู่แบบนี้ “ลุงเป็นใคร” ถามออกไปเสียงดังอย่างลืมตัว
“ลุงเนี่ยต้องถามว่าเราเป็นใคร มาทำอะไรในนี้ ลุงเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสระ”
“ลุงนี่เองที่ขังผมไว้ เมื่อวานก่อนปิดสระทำไมลุงไม่มาเช็กข้างในดี ๆ ก่อน ว่ายังมีคนอยู่ไหม ทำเอาผมต้องนอนตบยุงทั้งคืน เพิ่งจะได้หลับไปช่วงเช้าเองเนี่ย”
ร่างสูงยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไอ้กานคนนี้อารมณ์เสียจนถึงขีดสุด เขาตั้งท่าเตรียมฉอดลุงยกใหญ่ให้สมกับที่ตัวเองต้องมานอนร้อน ท่ามกลางฝูงยุงที่กัดตามเนื้อตัวจนแทบไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน
“หนุ่มพูดอะไร ลุงไม่เข้าใจ”
“ก็เมื่อวานผมเข้ามาที่สระ แต่พอจะกลับออกไป ประตูดันล็อกจากข้างนอก แบบนี้ตอนลุงปิดประตู ลุงไม่ได้เข้ามาดูคนข้างไหนเหรอ”
“เมื่อวานเขาปิดสระไม่ให้คนใช้นะ หนุ่มเข้ามาได้ยังไงกัน”
คราวนี้ใบหน้าหล่อเหลาถึงกับขมวดคิ้วจนเป็นปม “เมื่อวานปิดสระเหรอครับลุง” เขาถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดอยู่ ดูเหมือนเหตุการณ์เมื่อวานจะไม่ใช่อุบัติเหตุหรือเรื่องบังเอิญ
‘มีคนตั้งใจแกล้งเขา’
“ใช่แล้ว ละหนุ่มเข้ามาได้ยังไง ไปขอกุญแจจากใครมา”
“ไม่มีไรหรอกลุง ผมเห็นมันเปิดไว้ สงสัยแม่กุญแจไม่ดี อย่าลืมเปลี่ยนใหม่นะลุง ผมไปแล้วนะ”
กานไม่อยู่อธิบายต่อ เขาตอบส่ง ๆ ออกไปแล้วหันไปคว้ากระเป๋าผ้าที่วางอยู่ข้างกายขึ้นมาสะพาย ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงออกไปยังประตูเจ้าปัญหาที่ทำให้เขาต้องมีสภาพเป็นผักอย่างเมื่อคืน ใบหน้าหล่อบูดบึ้งบ่งบอกอารมณ์ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
“ไอ้รุ่นพี่เวร มึงหลอกกู”
เขาเค้นเสียงผ่านไรฟันขณะเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังคณะเรียนของตัวเองเพื่อรอพบกับใครบางคน กำปั้นหนาทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นด้วยความคับแค้นใจ เรื่องฉิบหายเมื่อวานที่เกิดขึ้นกับเขา วันนี้จะต้องมีคนรับผิดชอบ
‘และคนนั้นก็คือ ไอ้หัวขี้!’
ห้องเรียนปี 4
“เห้ย!”
กานตะโกนเรียกคู่ปรับเสียงดังลั่นห้องเรียน โดยไม่สนใจว่าภายในห้องเวลานี้ไม่ได้มีแค่แก๊งรุ่นพี่หัวสีเท่านั้น หากแต่ยังมีพี่ปีสี่คนอื่น ๆ ที่เริ่มทยอยเดินเข้ามาเรื่อย ๆ เนื่องจากอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะถึงเวลาเริ่มเรียนกันแล้ว
“อะ อ้าว แหกปากเป็นควายออกลูกขนาดนั้น ไม่เกรงใจรุ่นพี่เลยนะครับน้อง”
เจ้าของผมสีส้มเตะตามาแต่ไกลในชุดลำลองสบาย ๆ นั่งไขว้ขากระดิกเท้าไปมาอยู่บนเก้าอี้เรียน ใบหน้าเจ้าเล่ห์หันมามองรุ่นน้องด้วยแววตาเป็นประกาย ที่คนมองสัมผัสได้ด้วยตนเองว่ามันกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่
กานเห็นแบบนั้น ยิ่งมั่นใจว่าคนที่ทำให้ตนเองต้องไปนอนตบยุงในสระว่ายน้ำทั้งคืน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นไอ้หัวสีเหมือนขี้ตรงหน้านี่เอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเอ่ยปากถามถึงเรื่องเมื่อวานด้วยเนื้อตัวที่เริ่มสั่นเทาจากความโกรธ เขาไม่เคยโมโหมากขนาดนี้มานานแล้ว ฝ่ามือทั้งสองข้างยังคงกำเข้าหากันแน่นเพื่อระงับอารมณ์ไม่ให้ตัวเองพุ่งเข้าไปฝากรอยแผลบนใบหน้ากวนส้นตีนนั่น
“มึงนัดแล้วทำไมไม่ไปวะ”
“นัดอะไร กูไปนัดใคร พูดให้มันดี ๆ นะครับรุ่นน้อง”
ธีต์ยังคงเอ่ยยียวนกวนประสาทรุ่นน้อง เขาสะใจนักยามที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายบูดบึ้งราวกับอยากจะเข้ามาฆ่าเขาให้ตายลงตรงนี้
“พูดดีเหี้ยไร กูนอนตบยุงทั้งคืน มึงนี่ไม่สมควรเป็นรุ่นพี่ใครเลย”
“อะ อ้าว พูดแบบนี้มันหยามหน้ากันนี่หว่า”
ร่างสูงลุกขึ้นเดินตรงปรี่เข้ามาหารุ่นน้อง จากตอนแรกตั้งใจว่าจะได้เห็นอีกฝ่ายร้องไห้ฟูมฟายที่โดนเขาแกล้ง แต่แผนการทุกอย่างกลับผิดคาด ไอ้เด็กเวรนี่ดันบุกมาหาเขาถึงห้องเรียน ไม่พอมันยังมาชี้หน้าด่ากันปาว ๆ และประโยคต่อมาของมันก็ทำเอาเขาโกรธจนควันออกหู
“กูเหยียบหน้ามึงตอนนี้ยังได้”
“เอ้า มึงเข้ามาเลย พูดขนาดนี้มึงมาต่อยกับกูเลยมา”
“มึงมาสิ”
ไอ้กานที่ขึ้นชื่อเรื่องเลือดร้อนไม่เกรงกลัวใครอยู่เป็นทุนเดิม พูดจบก็พุ่งตัวเข้าไปหวังปล่อยหมัดใส่หน้ารุ่นพี่ให้หายแค้นสักหน่อย ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเจ้าของเรือนผมสีส้มที่ตอนนี้กระโจนเข้าหาร่างของรุ่นน้องจนดูเหมือนว่าคนทั้งสองกำลังวางมวยอยู่ภายในห้องเรียน บรรยากาศเริ่มมาคุเมื่อเสียงด่าทอดังเล็ดลอดออกไปนอกบริเวณห้องเรียน อีกทั้งนักศึกษาคนอื่น ๆ จากที่นั่งอยู่ประจำที่ของใครของมัน เวลานี้ต่างพากันหันมามอง บ้างก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
มหาสมุทรเห็นท่าไม่ดี รีบลุกเข้าไปกระชากตัวเพื่อนรักของตัวเองออกมา ก่อนที่พี่มันจะต่อยรุ่นน้องกลางห้องเรียนขึ้นมาจริง ๆ เพราะทั้งชีวิตที่รู้จักกันมา ไม่เคยมีใครหยามหน้าไอ้พี่ธีต์มาก่อน คราวนี้เจอคนจริงเข้าให้
‘เมื่อไหร่ที่ไฟลุกโชติขึ้นมา ควรดับความรุนแรงของมันด้วยน้ำ ไม่ใช่น้ำมันแบบเด็กนั่น แต่เป็นไงละมึง สมควร!’
แม้จะนึกสมน้ำหน้าเพื่อนรักอยู่ในใจ แต่ยังคงทำหน้าพลเมืองดีด้วยการเข้ามาห้ามเพื่อนตัวเอง “ไอ้พี่ธีต์! อย่านะเว้ย”
มหาสมุทรคว้าหมับเข้าที่แขนของคนพี่ ก่อนจะกระชากร่างสูงใหญ่ไม้แพ้เขาให้ออกห่างจากรุ่นน้อง แต่ด้วยความโกรธของไอ้พี่ธีต์ที่มันพุ่งทะยานทะลุปรอทไปแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถห้ามพี่มันได้…คนโมโหนี่มันไปเอาแรงมหาศาลมาจากไหนกันนักหนาวะ
“ไอ้โย นั่งใบ้อยู่ได้ มาช่วยกันห้ามสิวะ มึงจะปล่อยให้พวกมันต่อยกันในห้องเรียนเหรอ”
“อืม”
“ไอ้โย!”
คราวนี้มหาสมุทรตะโกนเรียกชื่อเพื่อนเสียงดังทั้งที่อยู่ห่างกันไม่ถึง 2 เมตร หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ ไอ้เพื่อนหน้ามึนของเขามันยังไม่กระตือรือร้นอยากจะช่วย ‘เวรกรรมของไอ้หมุดคนนี้จริง ๆ ’
“ไอ้พี่ธีต์นี่ห้องเรียน ท่องไว้พี่มึง”
เขาพยายามกล่อมคนพี่ที่ตอนนี้เปลี่ยนมายืนเขม่นกันทั้งทางสายตากับรุ่นน้องแทน ราวกับกำลังหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน ก่อนที่คนต้นเรื่องจะหันมาเหวใส่เพื่อนตัวเอง
“มึงก็เห็นว่ารุ่นน้องไม่เคารพรุ่นพี่”
“เออ พี่มึงก็อย่าไปถือสาน้องมันเลยนะ”
“แล้วทำไมกูต้องเคารพรุ่นพี่ที่มีหัวแต่ไร้สมองแบบมึง”
กานสวนกลับทันควันโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างที่เปลี่ยนมายืนล้อมวงดูเขาและรุ่นพี่หัวขี้ทะเลาะกัน
“ไอ้เด็กเปรต! มึงว่าใครไม่มีสมองวะ”
“มึงคิดว่ากูเดินเข้ามาด่าเพื่อนมึงหรือไง”
“กูรุ่นพี่มึงนะ”
“เออ เป็นรุ่นพี่เพราะเกิดก่อนแค่นั้นแหละ คราวหลังถ้าเงินมันเหลือจนเอารถไปทำสีเหมือนขี้หมาแห้งได้ มึงช่วยเจียดเงินไปสแกนหัวตัวเองดูหน่อยก็ดีนะ เผื่อมันเหลือแต่กะโหลกไม่มีอย่างอื่นอยู่ในนั้นแล้ว”
ว่าจบไอ้กานก็ไม่อยู่รอฟังประโยคใด ๆ จากรุ่นพี่ที่เขาชังน้ำหน้านัก ร่างสูงโปร่งตั้งท่าจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องเรียน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวพ้นเขตของธรณีประตู สมองของไอ้กานพลันนึกบางอย่างออก เขาเลยหันกลับมาทิ้งท้ายด้วยคำพูดสุดแสบ
“แล้วไม่ต้องคาดหวังว่ากูจะร้องไห้เสียใจที่โดนแกล้งนะ แผนเอาคืนแบบนั้นปัญญาอ่อน!”
สงครามน้ำลายจบลงทันทีเมื่อคนพูดเดินกึ่งวิ่งออกไปจากห้องเรียน หลงเหลือไว้แต่แก๊งหัวสีและเพื่อน ๆ ร่วมชั้นที่ตอนนี้ต่างพากันจ้องมองชายหนุ่มผมสีส้มที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวท็อปของรุ่นไม่วางตา
“มองไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนถูกด่าหรือไงวะ”
ธีต์ตะโกนพร้อม ๆ กับกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องเรียนด้วยแววตาเอาเรื่อง ทำเอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต่างพากันรีบเดินกลับไปนั่งประจำเก้าอี้ของตัวเอง
“มึงก็อีกคนไอ้หมุด ปล่อยให้เพื่อนโดนด่าอยู่ได้ มึงจะมาห้ามกูทำไม ให้กูต่อยกับมันก็จบ”
ร่างสูงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเพื่อน แล้วเดินกลับไปนั่งลงดังเดิม แต่สีหน้าและแววตายังคงมีโทสะพวยพุ่งออกมา มหาสมุทรที่รับหน้าที่เป็นกรรมการห้ามศึกในครั้งนี้ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กูนี่มันทำคุณบูชาโทษแท้ ๆ”
“ไม่ต้องเลย ถ้าเมื่อกี้มึงไม่ห้ามกูไว้นะ กูได้ฝากรอยหมัดไว้ที่หน้ามันแล้ว”
“แล้วพี่มึงจะเอาเวลาไปทะเลาะกับเด็กทำไมวะ”
“กูหมั่นไส้มัน”
“มั่นใจนะว่าหมั่นไส้ กูว่าขนาดนี้ไม่ใช่แล้วมั้ง”
“หมั่นไส้โว้ย เวลาเห็นหน้ามันรำคาญลูกตาจะตาย กูจะไปคิดอย่างอื่นได้ยังไงกัน ใช่ไหมโย”
หันไปหาแนวร่วมที่ยังคงนั่งนิ่งทอดสายตามองออกไปทางหน้าต่างเงียบ ๆ
“.....”
“ไอ้โยมึงฟังที่กูพูดอยู่ไหม”
“.....”
“มึงเอาหูมาเรียนไหมวะ”
“อืม”
ดูเหมือนความพยายามที่จะทำให้วาโยพูดขึ้นมาของกันธีต์จะประสบผลสำเร็จ ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงสีเดียวกัน หันหน้ากลับมามองคนถามด้วยแววตาราบเรียบ พร้อมทั้งตอบรับคำสั้น ๆ ตามฉบับของผู้ชายพูดน้อยต่อยหนัก
“กูละเชื่อมึงเลย”
พี่ใหญ่ของแก๊งส่ายหน้าด้วยความเอือมระอากับการเป็นคนช่างพูดของเพื่อน ทุกวันนี้เขายังยืนถามตัวเองอยู่หน้ากระจกก่อนออกจากคอนโดทุกเช้าเสมอว่าเขามาคบกับไอ้แปลกสองตัวนี้ได้ยังไง
ไอ้โยที่วัน ๆ พูดจานับคำได้ ไม่นั่งเหม่อ เล่นกับงู ก็เอาแต่นอนหลับ
ส่วนไอ้หมุดก็ธรรมะธัมโมจัดโดยไม่ดูสารรูปตัวเอง
โลกมันเหวี่ยงคนประหลาดแบบพวกมันสองตัวมาให้รู้จักกับคนปกติใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ทั่วไปแบบเขาได้ยังไงกัน
สลัดความทิ้งเรื่องเพื่อนไป เมื่อความแค้นมันสุมอยู่ในอกจนต้องยกกำปั้นทุบลงไปที่โต๊ะเรียนด้วยความอึดอัดในใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ นอกจากแผนการจะล่มไม่เป็นท่าแล้ว เขายังโดนเด็กเปรตนั่นตามมาด่าถึงในห้องเรียน มันชักจะมากเกินไปแล้ว
‘แค้นนี้ต้องชำระ
“ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ
“ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ
ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่
“กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่
“คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ
โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ







