LOGINมหาวิทยาลัยคิงเวลส์
“ดีนะไอ้กานที่อาจารย์เขายังใจดีให้มึงเข้าสอบได้”
พร้อมพบตบไล่เพื่อนรักเบา ๆ หลังจากที่พวกเขาก้าวขาพ้นออกมาจากเขตของห้องสอบ เนื่องจากวันนี้ไอ้ตัวดีข้าง ๆ ตนมันดันมาเข้าสอบสาย แต่ด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้นบวกกับตำแหน่งลูกรักของอาจารย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สุดท้ายไอ้กานก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำข้อสอบ
“จริงอย่างที่ไอ้พร้อมว่า ถ้ามึงไม่ใช่ลูกรักทีชเชอร์ เขาไม่ให้มึงเข้าสอบหรอก”
ณดลเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่เพิ่งวิ่งตามหลังออกมาจากห้องสอบ แต่ทันได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ รีบว่าขึ้นทันที พลางเดินเข้าไปแทรกตัวอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนทั้งสอง พร้อมกับวาดวงแขนแกร่งสมกับเป็นนักกีฬามหาลัยขึ้นกอดคอเพื่อนไปด้วย
“ช่วยไม่ได้ พวกมึงมันลูกชังอาจารย์เองนี่หว่า” คนต้นเรื่องตีหน้ามึนขณะพากันก้าวขาเดินออกจากอาคารเรียน “หิววะ เมื่อเช้ารีบเกิน กูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เราไปโรงอาหารกันไหม” กานถามออกไปเมื่อเห็นว่าการสอบช่วงเช้ามันกินเวลาล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยง ซึ่งพวกเขายังพอมีเวลากินข้าวเติมพลังกันก่อนที่จะเริ่มสอบอีกครั้งในช่วงบ่าย
“ไปดิ ไอ้พร้อมเลี้ยงนะ”
“อ้าว ไหนมาให้กูเลี้ยงวะไอ้ดล”
“เงินกูหมดวะเพื่อน และกูคิดว่าไอ้กานก็ไม่ต่างกัน ในบรรดาพวกเราสามคนบ้านมึงรวยที่สุดแล้ว ช่วงสิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจแบบนี้เพื่อนพร้อมช่วยเลี้ยงข้าวพวกกูที พลีส~”
ไม่พูดเปล่าแต่ยังยื่นมือออกไปเขย่าแขนเพื่อนรักเบา ๆ พลางส่งสายตาออดอ้อนอย่างกับลูกแมวกำลังขอเอาอาหาร
“เออ ๆ เลี้ยงก็ได้ นี่ถ้าไม่มีกู พวกมึงสองตัวจะไม่อดตายกันเหรอวะ”
“ไม่ / ไม่”
สองหนุ่มหันมาตอบเพื่อนอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่วนคนฟังนั้นถึงกับกลอกตามมองบน และพ่นลมหายใจอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่วหน่อย กูนึกว่าจะได้เลี้ยงข้าวพวกมึงสองคนไปจนวันตายเสียอีก”
“ไม่ของพวกกูคือ ไม่เหลือวะพร้อม คิคิ” ณดลว่าอย่างอารมณ์ดี
“ส่วนกูไม่รอดอย่างแน่นอน”
ตามมาด้วยกานที่ตอบเสร็จก็เอาแต่หัวเราะร่าไปกับเพื่อน ตัวเขาเองที่จนสุด ๆ แล้ว ยังมีไอ้ดลอีกคนที่สถานการณ์ทางการเงินแย่พอกัน แม้ว่ามันจะมีที่บ้านคอยส่งเสีย แต่ไอ้เพื่อนเวรของเขาดันใช้เงินฟุ่มเฟือยส่งผลให้การเงินนั้นเข้าขั้น ‘เดือนชนเดือน’ จนต้องมาเป็นภาระให้ไอ้พร้อม ที่เพียบพร้อมสมชื่อคอยอุปการะเลี้ยงดูอยู่เสมอ
พร้อมพบเพื่อนรักที่บ้านรวย เป็นถึงลูกชายคนเล็กของตระกูลนำเข้าและส่งออกเฟอร์นิเจอร์ แถมยังมีพี่ชายเป็นดาราชื่อดังระดับประเทศ แต่กลับลดตัวลงมาคบกับยาจกอย่างพวกเขา จะว่าไปหากถึงวันรับปริญญา เขาคงต้องเอาพวงมาลัยโต ๆ มาไหว้ไอ้พร้อมเพื่อเป็นการตอบแทน…ถือเป็นผู้มีพระคุณสูงส่งเลยเชียวแหละ
โรงอาหาร
“พวกมึงสองตัวจะแดกอะไร”
พร้อมพบถามขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งสามเดินเข้ามาถึงโรงอาหารของคณะเป็นที่เรียบร้อย ร่างสูงในชุดนักศึกษาเต็มยศกวาดสายตาไปมองร้านอาหารมากมายที่ตั้งเรียงรายเป็นทางยาวตอนลึกเข้าไป
“กูอยากกินก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้บังอรวะ” กานตอบก่อนใครเพื่อน
“แดกเส้นอีกแล้วนะไอ้กาน กูยอมใจมึงเลย”
เจ้ามือมื้อนี้ส่ายหัวเบา ๆ เมื่อคำตอบของไอ้กานหนีไม่พ้นเมนูเส้นอีกตามเคย เขายอมมันจริง ๆ คนบ้าอะไรแดกเส้นได้ทุกมื้ออาหารขนาดนี้ และพอทุกครั้งที่เขาสวนมันกลับไป ไอ้เวรนี่ก็จะตอบกลับมาด้วยประโยคเดิมเสมอ
“กูขี้เกียจเคี้ยวข้าวโว้ย”
นั่นไงเหตุผลของไอ้กาน ขี้เกียจเคี้ยวข้าวบ้างแหละ บ้างก็บอกว่ากินข้าวแล้วฝืดคอไม่เหมือนสารพัดเมนูเส้นของมันที่กินเช้า เที่ยง เย็นได้สบาย ๆ
“เออ ๆ ไปสั่งไป เดี๋ยวกูตามไปสแกนจ่ายให้ แล้วมึงละไอ้ดล?”
ท้ายประโยคคนพูดเอียงหน้าไปอีกฝั่งเพื่อถามณดล หากให้เขาเดาไอ้ดลต้องตอบว่า ‘แล้วแต่มึงเลยเพื่อน’ เอาหัวไอ้พร้อมเป็นประกันได้เลย
“แล้วแต่มึงเลยเพื่อน”
สมแล้วที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปี 1 ไอ้เวรสองตัวนี้มันเคยตอบอย่างอื่นเสียที่ไหน “เออ ๆ งั้นวันนี้ไปแดกข้าวขาหมูกับกูแล้วกัน ช่วงนี้มึงซ้อมหนักต้องกินตุนเอาไว้หน่อย”
ณดลคือคนเดียวในกลุ่มที่เป็นสมาชิกของชมรมกีฬาว่ายน้ำของมหาวิทยาลัยและมีสถานะเป็นเด็กทุนเช่นเดียวกับไอ้กาน ซึ่งเมื่อไหร่ที่เขาเลี้ยงข้าวอีกฝ่าย จึงอยากให้เพื่อนได้กินโปรตีนเยอะ ๆ อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน เพราะในทุก ๆ เย็น ไอ้ดลจะต้องไปซ้อมว่ายน้ำ ซึ่งในแต่ละครั้งที่ไปนั้น มันค่อนข้างใช้พลังงานเยอะมากพอสมควร
“จัดไปเลยเพื่อน”
สองแสบโพล่งขึ้นพร้อมกัน แล้วพากันเดินแยกย้ายไปยังร้านข้าวที่เล็งเอาไว้ กานเดินตรงปรี่ไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ที่อยู่ด้านในสุดของโรงอาหาร โดยที่พร้อมพบและณดลพากันเดินแยกไปอีกทางเพราะร้านข้าวขาหมูนั้นอยู่กันคนละฝั่ง
“เหมือนเดิมครับเจ๊”
กานสั่งออกไปอย่างเคยชินโดยไม่ต้องบอกอะไรให้มากความ เพราะเขากินอยู่แค่เมนูเดียว นั่นคือ ‘เส้นเล็กรวมพิเศษ’ ซึ่งเจ๊บังอรเจ้าของร้านที่กำลังสาละวนอยู่กับหม้อน้ำซุปทำเพียงหยักหน้าแล้วส่งยิ้มกลับมาให้ ก่อนจะลงมือปรุงก๋วยเตี๋ยวรสเด็ดที่มัดใจไอ้กานมาได้ตลอดทั้งเทอม
“ว้ายแก แก๊งคนหล่อมาแล้ว”
“กรี๊ดดด ชั้นจองพี่วาโย”
“ส่วนชั้นจองพี่มหาสมุทร”
“ดีเลยงั้นชั้นจองพี่ธีต์”
เสียงสาว ๆ ที่กำลังถือจานข้าวผ่านหลังของกานดังจอแจไม่หยุด ดูเหมือนบทสนทนาที่เขาไม่ได้ตั้งใจฟังกำลังเอ่ยถึงกลุ่มของใครคนสักคนแต่ทำไมเขากลับไม่คุ้นหูเลยสักชื่อ อาจเป็นเพราะว่าตัวเองนั้นไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับทำเนียบคนหล่อประจำคณะ พอได้ยินสาว ๆ พูดแซวกัน จึงไม่รู้ว่าหมายถึงใคร
ร่างสูงที่ยืนรอก๋วยเตี๋ยวถ้วยโปรดตั้งท่าจะหันไปมองต้นตอที่ทำให้พวกสาว ๆ ในคณะเสียอาการ แต่ไม่ทันจะได้หันไปอย่างที่ตั้งใจ เสียงของเจ๊บังอรดันเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน
“เสร็จแล้วกาน วันนี้เจ๊เพิ่มตีนไก่ตุ๋นเปื่อย ๆ ไปให้แทะกระดูกเล่นด้วยนะ”
“โหเจ๊ ในโรงอาหารคณะเราไม่มีใครสวยและใจดีเท่าเจ๊บังอรของไอ้กานอีกแล้ว”
“ปากหวานเหมือนเคยนะ ว่าแต่วันนี้เจ้าพร้อมมาจ่ายให้เหมือนเดิมไหม”
“ครับ เดี๋ยวมันมาสแกนนะเจ๊ ช่วงนี้ใกล้สิ้นเดือนผมกับไอ้ดลต้องเป็นชาวเกาะไอ้พร้อมไปก่อน”
“เออ ๆ รู้กัน ไปกินได้แล้ว”
“คร้าบบ~~”
กานรับคำเสียงใสเมื่อพูดคุยถึงเรื่องคนที่จะมาจ่ายเงินค่าอาหารมื้อนี้ให้เสร็จ โดยที่เจ๊บังอรแกก็ชินเสียแล้ว เพราะรู้สถานการณ์ทางการเงินของเจ้ากานเป็นอย่างดี
ส่วนกานนั้น เขาไม่ได้ปล่อยให้เพื่อนเลี้ยงข้าวตัวเองอย่างเดียว แม้ปากจะบอกว่าให้เพื่อนเลี้ยง แต่พอเงินเดือนจากการทำงานพิเศษของเขาออก สุดท้ายกานก็นำเงินค่าข้าวมาใช้คืนเพื่อนรักเสมอ เพราะถึงอย่างไรการซื้อข้าวใส่ปากของเขามันไม่ใช่ภาระของไอ้พร้อมที่จะต้องมาตามจ่ายให้อยู่ร่ำไป
“ว่าแต่เมื่อกี้สาว ๆ เขากรี๊ดใครกันวะกาน”
เจ๊บังอรละมือจากหม้อน้ำซุปพลางชะเง้อคอขึ้นสูงเพื่อมองเลยออกไปตามต้นเสียงเมื่อครู่ แต่ด้วยความสูงในเกณฑ์มาตรฐานสาวไทยไซซ์มินิทำให้เจ๊แกมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากตู้กระจกใสหน้าร้านที่ผัวมันสร้างเอาไว้สูงถมที่หรืออย่างไร จะขายของทีก็แทบมองไม่เห็นหน้าลูกค้าอยู่แล้ว
“คอยืดเป็นยีราฟแล้วเจ๊” กานแซวยิ้ม ๆ
“เดี๋ยวรอผัวเจ๊มาก่อน จะให้มันทำตู้เล็ก ๆ กว่านี้ให้ นี่อะไร ทำมาสูงจนมองไม่เห็นหน้าลูกค้า ปึกคักผัวป้า”
“ฮ่า ๆ ผมเสียวสันหลังแทนผัวเจ๊เลย”
“เออ ๆ อย่าไปถือสาคำพูดเจ๊มาก ว่าแต่เมื่อกี้นี้ใครมากัน”
“ไม่รู้อะเจ๊ ไม่ใช่เรื่องของกาน ไม่อยากเข้าไปเสือกมาก”
“ไอ้กาน! เอ็งว่าเจ๊เสือกเหรอ ห้ะ!”
“ปั้ดโถ่เจ๊~ สวยขนาดนี้ใครจะไปกล้าว่า ไปดีกว่า เดี๋ยวเส้นอืดก่อนพอดี”
ร่างสูงว่าจบรีบหมุนตัวเดินตรงปรี่กลับไปหาเพื่อนทั้งสองที่ตอนนี้ได้มุมนั่งกินข้าวเป็นที่เรียบร้อย กานเดินไปหาเพื่อนอย่างคนอารมณ์ดี แต่ต้องชะงักกึกเมื่อเขาเผลอไปสบตากับใครบางคน จนต้องรีบหันหน้าหนี แล้วเลือกเดินอ้อมไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเพื่อนรักทั้งสองเพื่อให้ตัวเองนั่งหันหลังให้กับกลุ่มของคนพวกนั้นแทน
‘ฉิบหายแล้วไอ้กาน โลกมันกลมอะไรขนาดนี้วะ’
เขาได้แต่ก้มตาก้มตาและไม่หันหลังกลับไปมองอีก โดยหวังว่าสายตาที่สบหากันเมื่อคู่ อีกฝ่ายจะแค่มองผ่าน ๆ และไม่ได้เห็นเขา ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากลุ่มคนที่สาว ๆ ในคณะพากันหวีดอยู่นั้นคือใคร เพราะหนึ่งในนั้นมันดันมีไอ้หัวส้มเจ้าของรถสีเหมือนขี้ ซึ่งเป็นคู่กรณีที่เขาเพิ่งจะเสยกระจกมองข้างของมันมาเมื่อเช้านั่งรวมอยู่ด้วย
“กานนั่งดี ๆ ดิ หน้ามึงจะจูบกับก๋วยเตี๋ยวเจ๊เขาอยู่แล้ว”
พร้อมพบว่าขึ้นมาก่อน เมื่อเห็นเพื่อนมีท่าทีแปลก ๆ
“เออ มึงเป็นไรวะกาน”
ณดลถามต่อด้วยความสงสัยเช่นกัน
ส่วนคนที่ถูกเพื่อนเซ้าซี้เริ่มทำตัวไม่ถูก “ปะ เปล่า ไม่มีไร พวกมึงรีบกินข้าวสิ จะได้ไปเตรียมตัวสอบวิชาต่อไป”
“เออ ๆ สงสัยมันรักเจ๊บังอรมากวะดล”
“กูคิดเหมือนมึงไอ้พร้อม”
สองหนุ่มเบนความสนใจกลับมายังจานข้าวของตัวเอง ก่อนจะนั่งกินข้าวของใครของมันไปเงียบ ๆ จนกระทั่งกานเริ่มได้ยินเสียงกรี๊ดของเหล่าสาว ๆ ดังใกล้ตัวเขาเข้ามาเรื่อย ๆ จากด้านหลัง แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงไม่ยอมหันหลังกลับไปมองอยู่ดี ได้แต่นั่งเงียบ ๆ ฟังเพื่อนบ่นไปตามประสา
“พวกผู้หญิงเขาจะกรี๊ดอะไรกันนักหนาวะพร้อม”
ณดลวางช้อนส้อมลงในจานแล้วเงยหน้ามองเลยหลังกานไปอีกที เมื่อจู่ ๆ กลุ่มคนหัวสีพวกนั้นก็พากันลุกเดินตรงมาทางพวกเขา
“มึงไม่รู้จักแก๊งนี้เหรอวะดล”
“แก๊งไร มาเรียนต้องมีแก๊งด้วยเหรอวะ”
“ไอ้รุ่นพี่หัวสี ๆ สามคนนั้นไง ที่กำลังเดินตรงมาทางเราหนะ”
“แล้ว?”
ณดลเอียงคอมองเพื่อนด้วยความสงสัย โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าเพื่อนอีกคนกำลังนั่งเงียบไม่ไหวติง ทั้งที่ปกติแล้ว กานจะเป็นฝ่ายชวนเพื่อนคุยไม่หยุด
“เป็นรุ่นพี่คณะเรา” พร้อมพบว่าออกมาอย่างเนือย ๆ “แต่ไม่ค่อยเข้าเรียนหรอกนะ ไม่แปลกที่มึงจะไม่รู้จัก” เขาอธิบายต่อให้เพื่อนได้เข้าใจ
“เออ ก็ว่าหน้าไม่คุ้น แล้วทำไมแต่ละคนทำสีผมไม่เกรงใจคณะเลยวะมึง”
ร่างสูงข้าง ๆ พร้อมพบพยักหน้าเข้าใจ พลางมองไปยังรุ่นพี่สามคนอีกครั้ง ซึ่งดูจากลักษณะภายนอกของแต่ละคนแล้ว มันไม่น่ามาเป็นรุ่นพี่คณะของเขาได้เลย เนื่องจากนิติศาสตร์ขึ้นชื่อว่าเป็นคณะที่เจ้าระเบียบที่สุดในคิงส์เวลแล้ว แต่ดูแก๊งหัวสีสามคนที่กำลังเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาทางที่พวกเขานั่งอยู่ ดูยังไงก็ไม่เหมาะมานั่งเรียนนิติเลยสักนิด
เริ่มจากคนแรกฝั่งซ้าย ที่จากสายตาอันแหลมคมของไอ้ดลคาดว่าจะสูงราว ๆ 180+ ได้ ทั้งตัวสวมเสื้อเชิ้ตสีดำของแบรนด์ลักชูรีสุดหรูโลโก้สามเหลี่ยม พร้อมกับกางเกงขายาวสีดำในแบรนด์เดียวกัน คนนี้ย้อมผมสีขาวหม่นไปทางเทา หน้าตาดุ ๆ นิ่ง ๆ นั่นช่างเข้ากันเหลือเกินกับรอยสักที่โผล่พ้นออกมานอกร่มผ้า ‘คนบ้าอะไรวะ สักแทบจะทุกส่วนของร่างกาย บนหน้ายังไม่เว้น’
ส่วนคนกลางนี่โคตรเด่น ด้วยทรงผมอันเดอร์คัท แมนบัน ซึ่งถูกย้อมให้กลายมาเป็นสีส้มแล้วมัดรวบขึ้นไปอยู่กลางหัว รายนี้แต่งตัวไม่แคร์อากาศมาก วันนี้ร้อนทะลุ 50 องศาได้แล้วมั้ง แถมในโรงอาหารยังเป็นแบบโอเพ่นไม่มีแอร์ พี่แกยังใส่แขนยาวมาอีก ‘เขาละนับถือในความคอนเซ็ปต์ต้องได้ ร้อนตายช่างมันมาก’
ส่วนคนสุดท้ายนี่อย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นของวัยรุ่นสุด ๆ แถมสีผิวยังแทนเหมือนไปนอนอาบแดดมาวันละ 25 ชั่วโมง ไม่เหมือนสองคนก่อนหน้าที่ขาวเหมือนหยวกกล้วยลอยมา รุ่นพี่คนนี้สวมเสื้อและกางเกงทรงขาดวิ่น ที่หากมองผิวเผินหรือคนที่ไม่ได้รู้จักแบรนด์เนมคงคิดว่าพี่แกไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าดี ๆ มาใส่ก็เป็นได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าทั้งตัวที่ใส่อยู่นั้นราคาเฉียดแสน แถมสีผมก็ไม่น้อยหน้าเพื่อน ๆ ‘หัวแดงกว่าพริกในตลาดสดที่แม่เขาเคยใช้ให้ไปซื้อมาทำกับข้าวเสียอีก’
“ไง เจอกันอีกจนได้”
เสียงทักทายจากหนึ่งในแก๊งหัวสีดังขึ้นมาจากด้านหลังของกาน คนถูกทักได้แต่นั่งเงียบไม่ยอมหันหลังกลับไปมอง อีกทั้งยังทำตัวลีบแบนไม่ต่างจากอากาศธาตุ
“พวกพี่รู้จักเพื่อนผมด้วยเหรอครับ”
ณดลเอ่ยถามขึ้นทันที เมื่อรุ่นพี่ทั้งสามที่เขาคิดว่าคงจะเดินผ่านโต๊ะพวกตนไป กลับเดินมาหยุดยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหลังของไอ้กาน แถมคนผมสีส้ม ๆ ยังทักทายเพื่อนเขาเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
“อืม รู้จักเมื่อเช้า”
เสียงตอบเน้นช่วงท้ายของประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำทำเอาคนฟังขมวดคิ้วมุ่น ทั้งณดลและพร้อมพบต่างหันหน้ามาจ้องกันทันที ก่อนจะเบนหน้ากลับไปยังตัวต้นเรื่องที่ตอนนี้ไม่ยอมเงยหน้ามาคุยกับใคร เอาแต่ก้มหน้าจนปากแทบจะไปจูบกับตีนไก่ในถ้วยก๋วยเตี๋ยว สุดท้ายพร้อมพบจึงได้โน้มตัวลงไปถามกานเสียงเบา
“ไอ้กาน มึงไปรู้จักพี่เขาตอนไหนวะ”
“ที่กูบอกว่าไอ้นวลไปเฉี่ยวรถหรูมา” กานยังไม่ยอมหันหลังกลับไปมองคนมาใหม่ แต่เลือกที่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบเพื่อนรักเสียงสั่น ๆ เขายกนิ้วชี้ขึ้นไปทางไอ้หัวส้มด้วยความหมั่นไส้ “รถพี่เขาวะมึง”
“ฉิบหาย!”
คนฟังถึงกับหลุดอุทานเสียงดังลั่น จนณดลต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อนเอาไว้ แล้วหันมาส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ที่ตอนนี้ยืนประจันหน้ามาทางพวกเขานิ่ง
“ไง จะไม่หันมาเจรจาค่าเสียหายเรื่องเมื่อเช้ากันหน่อยเหรอ”
คราวนี้กันธีต์ไม่ยืนนิ่งเฉยอีกต่อไป เขาเลือกที่จะเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ คู่กรณีที่ไม่ยอมหันหน้ามาคุยกับเขาเสียที ‘รู้จักคนอย่างเขาน้อยไปแล้วไอ้น้อง’
“โถ่พี่ กระจกข้างละ 8 แสน ช่วยดูสาระรูปผมนะ” กานทนต่อแรงกดดันต่อไปไม่ไหว เขาลุกพรวดเต็มความสูงแล้วก้มหน้ามาหาคนพี่ทันที “สภาพอย่างผม พี่จับขาผมห้อยหัวลงมาแล้วเขย่า ทั้งเนื้อทั้งตัวยังมีเงินไม่ถึง 800 เลยด้วยซ้ำ”
“แล้วยังไง?”
น้ำเสียงยียวนกวนประสาททำเอาคนฟังกำหมัดกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่การมาเรียกร้องค่าเสียหายเรื่องรถเมื่อเช้า แต่ไอ้หัวส้มเจ้าของรถสีเหมือนขี้ตรงหน้าเขาในตอนนี้มันตั้งใจมาแกล้งกันชัด ๆ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่สะทกสะท้านอะไร แถมยังนั่งเอามือเท้าคางไปบนโต๊ะกินข้าวแบบนั้น มันช่างขัดลูกตาเขานัก
“ผมไม่มีจ่ายพี่หรอกนะเงิน 8 แสนหนะ”
“แล้วยังไงต่อ”
“จะเอายังไง ผมไม่มีปัญญาไปชดใช้หนี้ให้หรอกนะ”
“แล้ว?”
“โอ้ย จะเอาอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจะไปหามาให้ แต่ 8 แสนไม่มีมาให้หรอก ทั้งตัวไอ้กานตอนนี้มีแต่ไข่กับรอยยิ้มโว้ย”
“อะห้ะ”
“นี่มึง!”
ความอดทนของกานขาดสะบั้น เมื่ออีกฝ่ายยังเล่นลิ้นไม่เลิกทั้งที่เขาขอให้บอกกล่าวกันดี ๆ ว่าอยากให้ชดใช้เป็นอะไรที่ไม่ใช่เงินจำนวนมหาศาลแบบนั้น เพราะทั้งชีวิตของเขา มันเคยได้จับเงินแสนกับชาวบ้านชาวช่องเขาเสียที่ไหน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเงินแปดแสนค่ากระจกอะไรนั่นเลย ‘ไม่มีโว้ย’
“เย็นนี้ไปเจอกูที่สระว่ายน้ำของมหาลัย”
เจ้าของเรือนผมสีส้มในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนผละมือออกจากปลายคางแล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีของเขา ที่ตอนนี้พ่วงตำแหน่งเป็นรุ่นน้องในคณะไปด้วย เมื่อเช้าตอนที่เห็นเนกไทของเด็กนี่แล้วรู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเขา ส่วนตัวไม่คิดว่าโลกมันจะกลมถึงขนาดที่เรียนคณะเดียวกัน สงสัยต้องได้รับน้องสักหน่อย แต่ดูเหมือนรุ่นน้องของเขาคนนี้จะพยศเอาเรื่อง
“ให้ไปทำไม”
“พูดคุยเรื่องค่าเสียหายไง”
“พูดตรงนี้ก็ได้เถอะ”
“กูไม่ชอบพูดเรื่องสำคัญท่ามกลางคนเยอะ ๆ 6 โมงเย็นไปหากูที่สระว่ายน้ำ”
“ถ้าไม่ไปล่ะ”
กานถามออกไปอย่างกวน ๆ ใช่ว่าเขาจะไม่อยากชดเชยค่าเสียหาย แต่ฟังจากน้ำเสียงและท่าทางวางอำนาจของไอ้หัวส้มตรงหน้าเขาแล้ว มันพาลให้หงุดหงิดใจจนอยากจะต่อต้านทุกคำสั่งที่ถูกเปล่งออกมาจริง ๆ
“งั้นก็จ่ายค่ากระจก บวกค่าสีรถที่กูเพิ่งไปทำมาใหม่ตอนนี้เลย…แปดแสน”
คำว่าแปดแสนที่ถูกเน้นย้ำหนักแน่นทำเอาคนฟังโกรธเพิ่มเป็นเท่าตัว เขาพยายามท่องยุบหนอ พองหนออยู่ในใจ แต่ดูท่ามันจะไปทาง ‘ยุบหนอ พองหนอ อย่าไปนะตีนหนอเสียมากกว่า’
“เออ ๆ เจอกันครับ ไปพวกมึงอิ่มแล้วก็ลุก ไปสอบวิชาต่อไป” กานรับคำแล้วหันมาบอกเพื่อนรักทั้งสองที่เพิ่งจะลงมือแตะข้าวในจานไปได้เพียงไม่กี่คำ “เร็วเข้า กูต้องรีบสอบรีบไปเจรจาค่ากระจกจากอุบัติเหตุของพวกขับรถไม่เปิดไฟเลี้ยว” เขาพูดทิ้งท้ายอย่างท้าทายก่อนจะก้มลงไปหยิบถ้วยก๋วยเตี๋ยวไก่ที่เจ๊บังอรอุตส่าห์เพิ่มตีนไก่ขึ้นมาถือไว้ แม้จะเสียดายเพราะเพิ่งได้กินไปไม่ถึงสามคำก็ตาม
“อะ อ้าว ไอ้กาน รอพวกกูด้วย”
พร้อมพบรีบลุกขึ้นยืนตามเพื่อน เมื่อเห็นไอ้ตัวดีไม่ได้พูดเล่น แต่มันกลับเดินถือถ้วยก๋วยเตี๋ยวไปทางร้านเจ๊บังอร โดยไม่รอเขาและไอ้ดลอย่างที่เคยทำ แต่เมื่อหันมามองเพื่อนอีกคน ไอ้ดลก็เอาแต่ตักข้าวใส่ปากแล้วรีบกลืนทั้งที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดดีด้วยซ้ำ
“ไอ้ดลลุก”
“อะ อื้อ”
ณดลที่ยังมีข้าวอยู่เต็มปาก ทำได้แค่ส่งเสียงอื้ออึงตอบรับเท่านั้น ร่างสูงลุกขึ้นยืนถือจานข้าวแล้วมองตาละห้อยเมื่อเห็นว่าในจานยังมีอาหารเหลืออยู่บาน แต่ต้องรีบไปเพราะไอ้กาน ‘เพื่อนเวร จะโกรธใครก็ควรแดกข้าวให้หมดก่อน มันเปลืองเงินรู้ไหม’
คล้อยหลังของคนทั้งสาม รุ่นพี่อีกสองคนที่ตอนแรกยืนเงียบอยู่ด้านหลังของเพื่อนรัก ตอนนี้ได้ย้ายก้นตัวเองมาหย่อนลงบนเก้าอี้ที่ณดลและพร้อมพบเพิ่งลุกออกไปทันที“ใคร?”
มหาสมุทร หรือที่เพื่อน ๆ เรียกแบบย่อ ๆ ว่า ‘หมุด’ เป็นฝ่ายยิงคำถามเข้าใส่ทันที เพราะจู่ ๆ ไอ้พี่ธีต์มันก็ทำตัวแปลก ๆ นึกคักอะไรไม่รู้ วันนี้บอกอยากกินข้าวในโรงอาหาร ทั้งที่ปกติพวกเขาเลือกที่จะขับรถออกไปกินนอกรั้วมหาลัยมากกว่า
“รุ่นน้องคณะเราไง มึงถามโง่ ๆ นะไอ้หมุด”
กันธีต์บ่ายเบี่ยงด้วยการตอบไม่ตรงคำถาม เพราะในหัวของเขากำลังวางแผนหาเรื่องสนุก ๆ ที่จะทำในเย็นวันนี้
“นี่พี่ ถ้ามึงไม่บอกกูดี ๆ กูจะตามไปถามเด็กนั่นเองนะ”
ไม่พูดเปล่า แต่มหาสมุทรยังทำท่าจะลุกวิ่งตามกลุ่มเด็กเมื่อครู่ออกไปจริง ๆ จนคนต้นเรื่อง ซึ่งมีอายุมากกว่าเพื่อนในแก๊งเดียวกัน ต้องรีบเอ่ยปากห้าม
“เออ ๆ เด็กนั่นขี่รถมาเฉี่ยวลูกรักคันใหม่กู”
“พี่อย่าบอกนะว่ากระจกที่หลุดออกมาเมื่อเช้า…ฝีมือเด็กนั่น”
“เออ ลูกกูโดนทำร้าย ทั้งที่กูเพิ่งเอาไปทำสีมาใหม่แท้ ๆ พูดแล้วเจ็บใจนัก”
“แต่เด็กมันดูไม่น่ามีเงินมาใช้พี่นะ”
กันธีต์นิ่งเงียบนึกตามคำพูดของเพื่อนรัก เป็นอย่างที่ไอ้หมุดมันว่า ดูจากท่าทางของเด็กนั่นแล้ว มันไม่น่ามีเงินมาจ่ายค่าเสียหายลูกรักของเขาได้อย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ทำไมแค่เขาเห็นหน้ามันก็อยากแหย่ขึ้นมา คิดได้ดังนั้นจึงรีบตอบปัดออกไป
“กูรู้”
“รู้แล้วปล่อยมันไปเถอะ บ้านพี่ก็รวย จะไปขูดเลือดจากปูทำไมกัน สงสารเด็กมัน ใช่ไหมวะไอ้โย มึงก็ช่วยกูพูดหน่อยสิ เอาปากมาไหมเนี่ย”
ท้ายประโยคมหาสมุทรหันไปเรียกเพื่อนรักอีกคน ที่ยังคงนั่งหน้านิ่งไม่พูดไม่จาตามสไตล์ของมัน ไอ้หัวขาวที่ใครต่อใครต่างชอบนักหนา วัน ๆ พูดจาอยู่แค่ไม่กี่คำ ราวกับว่าหากมันพูดมากกว่านั้น ‘ดอกกุหลาบจะร่วงออกจากปาก’
“อืม”
และคำที่ไอ้โยชอบพูดก็มีอยู่แค่อืมนั่นแหละ
“ไอ้วาโย!” เขาอดไม่ได้ที่จะเรียกชื่อเพื่อนออกมาแบบเต็มยศ “กูให้มึงช่วยพูด ที่หมายความว่าพูดเยอะ ๆ กูให้คำละพันเลย ช่วยพูดหน่อยเถอะพ่อคุณ”
“อืม”
“โอเค ถือว่ากูไม่เคยพูดละกัน มาพี่มึงจะเอาไงต่อ”
มหาสมุทรเลิกให้ความสนใจคนข้าง ๆ แล้วหันไปเอาคำตอบจากอีกคนต่อ
“ไม่ทำไง เย็นนี้กูแค่จะไปเจรจาค่าเสียหาย”
“แค่นั้น?”
“ใช่ มึงคิดว่ากูจะหลอกเด็กนั่นมาฆ่าหรือไง มึงเห็นหุ่นมันไหมตัวเท่าควายนะไอ้หมุด”
“อย่าเล่นอะไรพิเรนทร์ล่ะ กูรู้นะว่าพี่มึงมีแผนไม่ดีอะ”
มหาสมุทรว่าออกไปอย่างคนต้องการจับผิด แม้เขาจะย้อมผมสีแดงแรงฤทธิ์แต่งตัวแบดบอย ทว่าหากใครได้รู้จักเป็นการส่วนตัวจะรู้เลยว่าไอ้หมุดคนนี้ ขี้สงสารชาวบ้านเขาไปเรื่อย ขนาดที่ว่าไถต้อกต้อกเจอคอนเทนต์คนแก่ เด็ก ที่ไม่รู้ว่าเป็นปู่ ย่า ตา ยาย หรือหลานใคร แต่พอสตอรี่มันเล่ามาดราม่า ไอ้หมุดก็เสียน้ำตาให้ไม่ยาก แถมคนหล่อดิบเถื่อนแบบเขายังชอบเข้าวัดทำบุญ นั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืน แม้เพื่อน ๆ จะล้อว่าขัดกับลุคของเขาก็ตามเถอะ
แล้วเรื่องนี้จากที่เพิ่งเห็นสภาพของเด็กพวกนั้น เขาสรุปให้เลยว่าเงินในบัญชีของทั้งสามคนรวมกันแล้วยังไม่น่าจะเท่ากับค่าไฟรายเดือนบ้านไอ้พี่ธีต์ด้วยซ้ำ หากจะอะลุ่มอล่วยไม่คิดค่าเสียหายก็ไม่เห็นเป็นอะไร ดีกว่าไปเบียดเบียนเอากับคนที่เขาไม่มี มันจะเป็นบาปเป็นกรรมต่อกัน
“เออ ๆ ไปหาอะไรแดกกันเถอะ ก่อนที่ไอ้โยจะหลับ”
กันธีต์รับคำส่ง ๆ เพื่อให้อีกคนสบายใจ พลางมองไปทางวาโยที่ตอนนี้ตั้งท่าจะฟุบหน้าลงไปนอนบนโต๊ะกินข้าวโดยไม่สนใจว่าเขาทั้งสองคุยเรื่องอะไร หรือแม้แต่บนโต๊ะนั้นสะอาดมากน้อยแค่ไหน เพราะไอ้โยนอกจากจะพูดน้อยต่อยหนักแล้ว วัน ๆ ไม่ทำไรเลยนอกจากเล่นกับงู แล้วก็หลับ กระทั่งเข้าเรียนมันยังหลับ แต่ทุกครั้งที่มีสอบไอ้เวรหัวเทานี่กลับเป็นคนที่ได้คะแนนท็อปสุดของห้อง…ฉายาวาโยลูกพระเจ้าที่คนอื่น ๆ ตั้งให้นี่บอกเลยว่าไม่เกินจริง
17:58 น.
แฮ่ก แฮ่ก
เสียงหอบหายใจหลังจากที่ต้องวิ่งตรงจากคณะมายังสระว่ายน้ำของมหาลัยด้วยระยะทางร่วมกิโลเพื่อให้ทันนัดตอน 6 โมงเย็น ทำเอากานที่แม้จะออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหนื่อยหอบ ร่างสูงควานหาโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาเมื่อเดินเข้ามาอยู่ภายในพื้นที่ของสระว่ายน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มาก่อนเวลา 2 นาที เห้อ นึกว่าจะมาไม่ทันแล้วกู”
เขากวาดสายตาไปมองรอบ ๆ สระว่ายน้ำเมื่อเห็นว่าตัวเองมาก่อนเวลานัดหมาย “แปลก ไม่มีคนมาใช้สระเลยเหรอวะ” ร่างสูงพูดกับตัวเองเบา ๆ เมื่อมองไปรอบ ๆ บริเวณแล้วไม่เจอใครมาใช้สระอยู่เลย ตอนนี้รอบตัวของเขาเงียบสงัด ทั้งสระมีแค่ตนที่ยืนหอบหายใจส่งเสียงดังอยู่เท่านั้น
“กูควรโทรไปดีไหมวะ”
เขากดโทรศัพท์ดูเบอร์โทรเข้าล่าสุดเมื่อช่วงเช้า ซึ่งเป็นเบอร์ของไอ้หัวขี้ แต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ยอมกดโทรออกเพราะยังไม่ถึงเวลานัด จึงเลือกเดินไปนั่งรอบนเก้าอี้ข้างสระแทน
30 นาทีผ่านไป
“ไอ้พวกคนรวยนี่มันยังไงวะ นัดแล้วไม่เห็นหัวคนอื่น คิดว่าเวลาตัวเองมีค่าคนเดียวหรือไงกัน”
เมื่อท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสเริ่มมืดลง บ่งบอกว่าเลยเวลา 6 โมงเย็นมาได้พักใหญ่ แต่ยังคงไร้วี่แววของคู่กรณีที่เป็นฝ่ายนัดเขามา “จะทุ่มนึงอยู่แล้ว แม่งไปมุดหัวอยู่ที่ไหนวะ” กานก้มมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะตัดสินใจกดโทรออกหาอีกคน
ตู้ด ตู้ด ตู้ด
“รับสิวะ”
ตู้ดตู้ดตู้ด!
เสียงสัญญาณติดต่อไม่ได้ดังขึ้นหลังจากรอสายอยู่ไม่นาน ราวกับว่าอีกฝ่ายตัดสายทิ้งไป นิ้วโป้งพยายามลองกดโทรหาอีกครั้ง
ตู้ดตู้ดตู้ด!
คราวนี้นอกจากจะไม่ขึ้นสัญญาณรอสายแล้ว เหมือนกับว่าไอ้หัวส้มมันปิดเครื่องใส่หน้าเขาไปด้วย ฝ่ามือหนากำโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือแน่น แต่ถึงจะโมโหมากแค่ไหน เขาก็ไม่เอาอารมณ์ไปลงกับข้าวของ เพราะหากพังขึ้นมาจะไม่คุ้มกัน แถมตัวเองนั้นยังไม่มีเงินมากพอที่จะไปซื้อเครื่องใหม่ในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย
“ช่างหัวมันแล้ว ไม่รอละโว้ย”
ร่างสูงในชุดนักศึกษาตัวเดิมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังประตูทางออก โดยไม่สนใจรอคู่กรณีที่นอกจากจะขับรถกวนส้นตีนแล้ว ยังไม่รู้จักให้ความสำคัญกับการนัดอีกด้วย ขายาว ๆ ภายใต้กางเกงสีดำของมหาลัยก้าวเดินไปบนพื้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็มาถึงประตูทางออก ซึ่งมันคือประตูบานเดียวกับที่ใช้เข้ามานั่นเอง
“ฉิบหาย! ใครมันมาล็อกประตูวะ”
กานมองไปยังแม่กุญแจขนาดใหญ่ที่ถูกล็อกเอาไว้จากด้านนอกอย่างแน่นหน้าด้วยแววตาตกใจ ด้วยความที่สระว่ายน้ำของมหาลัยอยู่ภายในอาคารทรงโดมขนาดใหญ่ แน่นอนว่าประตูมันเชื่อมอยู่กับตัวอาคารด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเข้าออกจึงมีแค่หนทางเดียว คือต้องเดินผ่านทางประตูบานนี้เท่านั้น ไม่มีช่องว่างใด ๆ ให้ปีนออกไปได้ในกรณีที่ประตูถูกล็อกเช่นนี้
ฝ่ามือหนาล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายไหล่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กขึ้นมา เพื่อหวังใช้มันกดโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อน แต่เหมือนวันนี้ความซวยของเขาจะยังไม่หมดไป ร่างสูงยืนสบถกับตัวเองเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณด้วยความหงุดหงิด
“แบตมาหมดอะไรตอนนี้วะ! อย่างกับกูอยู่ในฉากน้ำเน่าของหนังไทยเลย…แม่มึงเอ้ย!
“ธีต์เสาร์นี้ว่างไหม”กานถามขณะนั่งอยู่บนที่นั่งฝั่งคนขับ แววตาใสมองไปยังคนข้าง ๆ ที่กำลังง่วนอยู่กับการเปิดแผนที่ร้านอาหารที่จะไปกินอยู่ในโทรศัพท์“แป๊บนะ ขอดูตารางงานก่อน”เรียวนิ้วเลื่อน ๆ อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากช่วงนี้ธีต์งานเยอะเป็นพิเศษ เพราะเจ้าตัวกับเพื่อนกำลังจะก่อสร้างโชว์รูมรถ แววตาคมเพ่งมองหน้าจอก่อนจะหันหน้ามาบอกแฟน“ช่วงเช้าติดงานนิดหน่อย ว่างตั้งแต่บ่ายสองเป็นต้นไป มีอะไรหรือเปล่า”“งั้นเราไปกินข้าวที่บ้านพ่อกับแม่มึงได้ใช่ไหม”เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาและธีต์ไม่ได้เข้าไปกินข้าวในเย็นวันเสาร์อย่างที่ตกลงไว้ เนื่องจากงานที่รัดตัว ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ออกจะเห็นอกเห็นใจลูกชายและเป็นห่วงเรื่องสุขภาพมากกว่า“อืม ดีเหมือนกัน พ่อโทรมาบ่นจนหูชาแล้ว”“ท่านคงคิดถึง”“ทำไงได้อะเนอะ ดันมีลูกชายฉลาด งานการรัดตัว”“มึงนี่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ไม่ลดลงเลยนะ”“อะไรลดลงเหรอ”“ความมั่นหน้า”กานว่าออกมายิ้ม ๆ แต่คนฟังไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร ออกจะถูกใจธีต์เสียด้วยซ้ำ เพราะเรื่องมั่นหน้า และมั่นใจ เจ้าของเรือนผมสีส้มไม่เคยแพ้ใครอยู่แล้ว “ถ้าไม่มั่นหน้าจะได้มึงมาเ
“ลูกกาน ลองชิมแกงรัญจวนดูนะลูก เมนูโปรดแม่เลย”คุณหญิงของบ้านตักแกงสุดโปรดไปวางลงบนจานข้าวของว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาหารบนโต๊ะวันนี้สีสันแสบสะท้านทรวงมาก เมนูแต่ละอย่างรสชาติจัดจ้านซึ่งดูแปลกตาไปจากทุก ๆ วัน เนื่องจากสายธารเป็นคนชอบอาหารรสจัด ยามใดที่คุณแม่ยังสวยอยู่บ้าน ป้านวลจึงมักจัดอาหารทั้งรสชาติเผ็ดและจืดขึ้นพร้อมกัน“ขอบคุณครับคุณแม่”“กินเยอะ ๆ นะลูก ตาธีต์เลี้ยงเราดีไหม ทำไมหนูตัวบางแบบนี้ ไม่ได้ ๆ หลังจากนี้ต้องกินข้าวเยอะ ๆ นะ”“ได้ครับผม”กานส่งยิ้มกลับไปพร้อมด้วยคำตอบแสนสุภาพ ร่างสูงโปร่งขณะนี้นั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของธีต์ โดยมีคุณลุงนั่งอยู่หัวโต๊ะเช่นเคย ส่วนไอ้ผมส้มของเขานั้นตอนนี้นั่งหน้ายับอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้เป็นแม่ เนื่องจากถูกสั่งไม่ให้นั่งข้างเขา“แม่ ผมเลี้ยงกานดีมากนะครับ อาหารมีให้ไม่เคยขาด”“ธีต์ลูก แม่บอกแล้วว่าให้จ้างครูมาสอนภาษาไทย ดูพูดเข้า นึกว่าให้อาหารหมา”“แม่ครับ”ใบหน้าหล่อเหลายิ่งยับย่นเข้าไปอีกเมื่อถูกแม่ตัวเองแซวต่อหน้าแฟน เห็นทีหลังจากนี้เขาต้องไปลงเรียนภาษาไทยให้มากขึ้นเสียแล้ว เพราะเขาเองไม่ได้อยู่กับกานตลอดเวลา ดังนั้นเวลาห่างกับแฟนเขาจึ
ไม่นานหลังจากที่ธีต์วิ่งออกไป ร่างสูงก็กลับมาพร้อมกับลุงหมอเจ้าของไข้ และพยาบาลอีกหนึ่งคน ธีต์ถอยออกมายืนอยู่ข้าง ๆ พ่อของเขา เพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของลุงหมอ เขาปล่อยให้กานถูกซักถามและตรวจเช็กอาการอยู่บนเตียง“กานฟื้นแล้วครับพ่อ”ธีต์หันไปฟ้องพ่อราวกับเด็ก ๆ ที่กำลังดีใจกับเรื่องบางอย่างจนออกนอกหน้า ธรณ์พยักหน้ารับ พลางมองไปยังแววตาของลูกชายที่เขาไม่ได้เห็นมันทอแสงประกายระยิบระยับมาร่วมอาทิตย์ด้วยความเอ็นดู“ผมดีใจมาก ๆ เลยครับ”“พ่อก็ดีใจ หมดเคราะห์สักทีนะเรา”“เดี๋ยวถ้ากานหายดี ผมจะพาน้องไปอาบน้ำมนต์กับหลวงตาครับ”“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ นู่น ลุงหมอตรวจเสร็จแล้ว”ธรณ์เบนสายตาไปยังหมอประจำตระกูล ซึ่งขณะนี้ตรวจอาการของคนป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ธีต์ได้ยินดังนั้นจึงไม่รอช้า เขาสืบเท้าเข้าไปหาลุงหมอทันควัน“น้องเป็นยังไงบ้างครับลุงหมอ”“อาการโดยรวมตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ให้พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”“กานจะได้กลับบ้านแล้วเหรอครับ”“ใช่ ลุงดีใจด้วยนะ”“ขอบคุณมากครับลุงหมอ”คนฟังแทบจะก้มลงกราบลุงหมอที่พื้น เพราะเขาถือว่าลุงหมอคือคนสำคัญที่
“กินเยอะ ๆ”ธรณ์ตักไก่กระเทียมไปวางลงบนจานข้าวของลูกชาย พร้อมกำชับด้วยโทนเสียงหนักแน่น เนื่องจากเจ้าธีต์เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมา“ผมไม่หิวเลยครับพ่อ”“ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป แกจะได้มีแรง”“ครับ”รับปากออกไปแต่มือยังเขี่ยข้าวในจานไม่หยุดจนผู้เป็นพ่อต้องยกมือขึ้นไปตบบนหลังมือของลูกชายเพื่อเรียกสติ “ธีต์ กินข้าวหน่อยนะลูก”“ครับ”ข้าวไก่กระเทียมคำแรกถูกส่งเข้าปากด้วยความฝืดคอ แต่ทว่าธีต์ก็พยายามเคี้ยวข้าวแล้วกลืนลงท้องไปด้วยความจำใจ เนื่องจากมีสายตาของพ่อมองกดดันเขาอยู่ กระทั่งเขากินข้าวไปอีกสองสามคำ จู่ ๆ พ่อก็โพล่งเรื่องงานหมั้นขึ้นมา“พ่อไปยกเลิกงานหมั้นให้แล้วนะ”“พ่อว่ายังไงนะครับ ยกเลิกงานหมั้น?”“อืม เมื่อเช้าพ่อไปบ้านลุงภูมา”“เกิดอะไรขึ้นครับ ก่อนหน้านี้พ่อยังบังคับผมอยู่เลย” ธีต์ถามออกไปตามตรง พลางมองใบหน้าของพ่อด้วยความสงสัย“ที่กานตกสระว่ายน้ำเมื่อวาน พ่อให้ช่างเขามาดูกล้องวงจรปิดมุมนั้น ปรากฏว่าหนูแพรเป็นคนผลักกานตกสระว่ายน้ำ”ธีต์วางช้อนในมือกระแทกลงบนจานจนเกิดเสียงดังเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้เป็นเรื่องจริง แม้ว่าในใจจะแอบให้ความคิดด้านลบที่ว่าแพรเป็นคนผลักกานตกน้ำไม่
“คุณธรณ์ค่ะ ช่างเข้ามาดูเรื่องกล้องวงจรปิดแล้วค่ะ”หลังจากที่ธรณ์ปล่อยให้ลูกชายได้อยู่เฝ้ากานที่โรงพยาบาล แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปเฝ้าใกล้ ๆ ได้ แต่สภาพจิตใจของลูกชายในตอนนี้ หากให้กลับมาพักที่บ้านคงได้ระเบิดบ้านทิ้งแน่ ๆ เขากับนวลจึงอาสามาเก็บข้าวของ พร้อมเตรียมอาหารเย็นแล้วค่อยนำกลับไปให้เจ้าธีต์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นว่าคืนนี้หมอเขาไม่ให้อยู่เฝ้าตลอดทั้งคืน ธีต์เลยจะไปนอนโรงแรมใกล้ ๆ แทนโดยสิ่งแรกที่ทำเมื่อกลับมาถึงบ้าน คือการโทรตามช่างที่รับผิดชอบดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดในบ้านมาพบ เพราะเขาต้องการหาสาเหตุว่ากานตกลงไปสระน้ำได้อย่างไร“อืม นวลให้ช่างเข้ามาได้เลย”“สักครู่นะคะ”ไม่นานช่างผู้ชายสองคนได้พากันเดินเข้ามาภายในห้องทำงานของธรณ์ โดยช่างประจำมาพร้อมกล่องเครื่องมือครบครัน ส่วนอีกคนดูท่าแล้วน่าจะเป็นผู้ช่วยช่าง เพราะธรณ์ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน เนื่องจากปกติช่างประจำรายนี้มักจะมาทำงานด้วยตัวคนเดียวมากกว่า“ผมอยากเห็นภาพเหตุการณ์บ่ายสามไปจนถึงสี่โมงเย็นของวันนี้ ช่างพอจะเช็กให้ได้ไหม”“ได้ครับคุณธรณ์”“ฝากด้วยนะช่าง”“ครับ”ช่างลงมือทำหน้าที่ของตนต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ
โรงพยาบาล XX“คุณลุงค่ะ คุณลุงต้องเชื่อน้องแพรนะคะ น้องแพรไม่รู้เลยค่ะ ว่ากานเค้าตกลงไปในสระว่ายน้ำได้ยังไง”“คงเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไร เรารอคุณหมอออกมาก่อนเถอะ”ธรณ์พูดปลอบใจหญิงสาวรุ่นลูก เพราะคนที่เข้าไปเห็นกานจมอยู่ก้นสระว่ายน้ำคนแรกคือเด็กสาวตรงหน้า หลังจากที่เขานั่งรอดอกกรรณิการ์อยู่พักใหญ่ กานก็ไม่กลับเข้ามาสักที ครั้นจะเดินออกไปตามกลับพบหญิงสาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาภายในบ้าน พร้อมกับละล่ำละลักบอกว่ากานจมน้ำอยู่ในสระโชคยังดีที่คนขับรถอยู่บริเวณนั้น จึงได้กระโดดลงไปในสระแล้วนำร่างกานขึ้นมา ก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล โดยตอนนี้เขา นวล และแพร ต่างพากันยืนรออยู่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน“คุณธรณ์ไปนั่งเก้าอี้ก่อนไหม เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลเอง”“ไม่ล่ะนวล ชั้นขอยืนรอตรงนี้ พอหมอเขาพากานออกมา กานจะได้เห็นเราชัด ๆ”“แต่ว่า-”“ชั้นไม่เป็นไรจริง ๆ นวล”ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นเป็นเชิงห้าม เพราะไม่ว่านวลจะคะยั้นคะยอให้เขาไปนั่งรอมากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาร้อนใจจนไม่สามารถนั่งรอเฉย ๆ ได้ แววตาของคนที่เคยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ในเวลานี้ช่างต่างกันลิบลับ เพราะมันถูกแทนไปด้วยความเป็นห่วง“พี่ธีต์ว่ายังไงบ้างคะคุณลุ
![พี่ติวเตอร์ครับ...ช่วยสอนผมหน่อยนะครับ[PWP]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)






