Share

การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน
การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน
Author: ซุปเม็ดบัวน้ำตาลกรวด

บทที่ 1

Author: ซุปเม็ดบัวน้ำตาลกรวด
ภายในตำหนักอันงดงามและเงียบสงัด แม้สาวใช้และผู้รับใช้จะมีให้เห็นทั่วไป แต่พวกเขาล้วนผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การเคลื่อนไหวดั่งสายลม ไม่กล้าส่งเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะสำนักเซียนยอดเมฆามีกฎระเบียบเคร่งครัด แต่เป็นเพราะพวกเขาล้วนกลัวว่าเสียงที่เปล่งออกมาจะรบกวนท่านประมุขผู้ไม่ชอบฟังเสียงใด ๆ

เยว่เจี้ยนเวยกำลังเอนกายอยู่บนเตียงนุ่มที่ถักทอจากเส้นไหมสวรรค์ประดับไข่มุกน้ำแข็ง มีสาวใช้สองคนคุกเข่าอยู่ทั้งซ้ายและขวา คนหนึ่งถือถาดหยกเย็นเฉียบ บนนั้นวางองุ่นสีฟ้าใสหลายลูก อีกคนหนึ่งใช้มือเรียวงามปอกองุ่นแล้วป้อนใส่ปากเยว่เจี้ยนเวยด้วยตนเอง

ทั่วทั้งทวีปเซียนจื่อเจ๋อต่างรู้กันดีว่า ท่านประมุขเยว่เจี้ยนเวยแห่งสำนักเซียนยอดเมฆา เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในเรื่องเจ้าชู้และขี้เกียจที่สุดในโลก

รอบกายเขามีสาวใช้มากมาย แต่ละคนล้วนเป็นสาวงาม เขามักใจดีกับสาวงามเป็นพิเศษเสมอ

สำนักเซียนยอดเมฆาเงียบสงัดไร้เสียงใด บางครั้งมีเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ เสียงลมพัดใบไผ่ กลับยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเงียบงันมากขึ้น

ยามนี้ ผู้รับใช้คนหนึ่งรีบร้อนเข้ามา ก่อนอื่นเขาส่งสายตาให้ผู้รับใช้ที่ประตูตำหนัก เพื่อยืนยันว่าท่านประมุขไม่ได้กำลังพักผ่อนและยังอารมณ์ดีอยู่ จากนั้นจึงแจ้งเรื่องและเดินเข้ามาโดยไร้ซุ้มเสียง

เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้าขึ้นมองผู้รับใช้คนนั้นแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายทำหน้าเศร้า จึงกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่า โม่อวิ๋นเจ๋อเจ้าหนูนั่นยังไม่ไปอีก”

ผู้รับใช้ค้อมตัวกล่าว “ท่านประมุขช่างหยั่งรู้ เขายังคงรออยู่ที่นั่นจริง ๆ ขอรับ ทั้งบอกอีกว่าหากท่านประมุขไม่ออกไปพบเขา เขาก็จะไม่ไปไหน”

เยว่เจี้ยนเวยหัวเราะในลำคอ หยิบองุ่นลูกหนึ่งขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากสาวใช้ที่ป้อนองุ่นให้เขา ก่อนเลิกคิ้วมองสาวใช้คนนั้นที่หัวเราะคิกคัก แล้วกล่าวว่า “พี่ชายเขาทอดทิ้งข้าไป จนถึงตอนนี้ก็หนึ่งพันปีแล้ว การที่ข้าให้เขารออยู่หน้าประตูหนึ่งพันวัน ไม่นับว่าเกินไปใช่หรือไม่?”

ผู้รับใช้สะดุ้งอยู่ในใจ เรื่องราวซุบซิบในอดีตของท่านประมุขไม่ใช่เรื่องน่าฟังอันใด ด้วยไม่รู้ว่าวันไหนท่านประมุขจะนึกได้ว่ามีคนรู้เรื่องในอดีตของตน แล้วเกิดความคิดฆ่าปิดปากเอาชีวิตเขาขึ้นมา

ผู้รับใช้รีบกล่าวว่า “ท่านประมุขใจกว้าง แน่นอนว่าไม่เกินไปขอรับ โม่อวิ๋นเจ๋อมาขอพบท่านประมุข แม้จะต้องรอถึงหนึ่งพันปี ก็นับเป็นวาสนาของเขาแล้ว”

ในส่วนของ “พี่ชาย” ที่ทอดทิ้งท่านเจ้าสำนักเขาไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้น ผู้รับใช้ไม่กล้าพูดถึงแม้แต่น้อย เขาเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่ก็เคยได้ยินมาว่า เยว่เจี้ยนเวยเคยถูกบุรุษคนหนึ่งทอดทิ้ง จนถึงตอนนี้ ข้างนอกยังมีคนเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนเยว่เจี้ยนเวยอยู่เสมอ

เยว่เจี้ยนเวยลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “พอแล้ว ให้เขาเข้ามาเถอะ หลังเขาพบเจอข้าแล้ว จะได้ให้เขารีบไปให้พ้น อย่ามาทำตัวเป็นเทพเฝ้าประตูที่หน้าสำนักข้าทั้งวันทั้งคืนเพราะไม่มีอะไรทำ มันน่ารำคาญนัก”

ผู้รับใช้รีบถอยออกไป เชิญชายหนุ่มที่ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งบนก้อนหินใหญ่นอกประตูสำนักเซียนยอดเมฆาท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านตลอดหนึ่งพันวันหนึ่งพันคืนให้เข้ามา

ก่อนเข้าไป โม่อวิ๋นเจ๋อถามว่า “เยว่เจี้ยนเวยเป็นอย่างไรบ้าง?”

เมื่อได้ยินชายหนุ่มเรียกชื่อท่านเจ้าสำนักโดยตรง ผู้รับใช้ก็จ้องมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด คิดในใจว่าเจ้าหนูนี่ช่างกล้าดีนัก

ผู้รับใช้ไม่ตอบ โม่อวิ๋นเจ๋อสำรวจเทพธิดาและดอกไม้ผีเสื้อมากมายรอบตัว พูดพึมพำว่า “ดูเหมือนว่า คงอยู่อย่างสุขสบายไม่น้อย ตำหนักนี้มีแต่ดอกไม้ประหลาดพืชวิเศษ สัตว์อสูรและนกวิเศษ ดีกว่าสมัยก่อนที่ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ใช้ชีวิตไม่มีวันสงบสุข”

ผู้รับใช้นิ่งเงียบ ทำเป็นไม่ได้ยิน ออกเดินนำทางไปอย่างเงียบงัน

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักแห่งนี้ แม้แต่คำกระซิบก็ไม่อาจหลุดรอดหูของเยว่เจี้ยนเวยไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าพลังของเยว่เจี้ยนเวยในปัจจุบันสูงส่งเพียงใด มันยังคงเป็นปริศนาอยู่เสมอ

“แค่เงียบเกินไปหน่อย” โม่อวิ๋นเจ๋อพึมพำเบา ๆ ก่อนก้าวเข้าประตูตำหนักด้านใน “เมื่อก่อนเขาชอบความคึกคักที่สุด สถานที่เงียบสงัดเช่นนี้ เขาจะทนอยู่ได้หรือ?”

ผู้รับใช้ “...”

เยว่เจี้ยนเวยตะโกนออกมาจากด้านใน “มัวแต่พร่ำอันใดเหลวไหล รีบเข้ามาพูดให้มันรู้เรื่องเสียที”

ดวงตาของโม่อวิ๋นเจ๋อสั่นไหวเล็กน้อย ถอนหายใจเบา ๆ ยกเท้าข้ามธรณีประตู เดินเข้าสู่ตำหนักอันงดงามตระการตา

เยว่เจี้ยนเวยเอนกายอยู่บนขาของหญิงสาวนางหนึ่ง สองเท้าเปื่อยเปล่า สวมเสื้อคลุมยาวสีสดใส เปิดหน้าอกเล็กน้อย ดูสบายใจอย่างที่สุด

เมื่อโม่อวิ๋นเจ๋อพบเห็นเยว่เจี้ยนเวย ดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซึ่งแทบไม่เปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย

“พี่สะใภ้” โม่อวิ๋นเจ๋อร้องเรียก

“พรืด—” เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ เยว่เจี้ยนเวยผู้เพิ่งงับองุ่นที่สาวใช้ป้อนใส่ปากก็พ่นองุ่นออกมาทันที และองุ่นเจ้ากรรมนั้นดันไปตกใส่ใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อเข้าพอดี

โม่อวิ๋นเจ๋อไม่แสดงอาการใด ๆ หากเป็นแต่ก่อน เขาคงกระโดดพรวดขึ้นมาด่าทอไปแล้ว

แต่ก็ไม่อาจโทษเยว่เจี้ยนเวยได้ ในอดีตแม้เยว่เจี้ยนเวยจะคบหากับพี่ชายของโม่อวิ๋นเจ๋อ แต่โม่อวิ๋นเจ๋อก็ไม่เคยชอบหน้า ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่เคยเรียกเขาว่าพี่สะใภ้เลยสักครั้ง

เยว่เจี้ยนเวยช้อนตามองผู้มาเยือน กล่าวว่า “หากเจ้ามีความต้องการอันใด เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเรา ข้าก็อาจไม่ปฏิเสธ ขอเพียงเจ้าพูดออกมาตามตรงก็พอ คำเรียกเพื่อประจบประแจงเช่นนี้ ข้ารับไม่ไหว อย่ามาทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจ”

ดวงตาที่เจิดจ้าดั่งดวงดาวฤดูหนาวของโม่อวิ๋นเจ๋อพลันหม่นหมอง เขาก้มหน้าลงก่อน แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังท่านประมุขผู้สูงส่ง กล่าวว่า “ตลอดหลายปีมานี้ ท่านไม่เคยสนใจพี่ใหญ่ของข้าเลยหรือ?”

เยว่เจี้ยนเวยคลี่ยิ้มบนใบหน้า แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูจอมปลอม เขาหยิบองุ่นอีกลูกขึ้นมาป้อนให้สาวงามด้านหลัง แล้วกล่าวอย่างเรื่อยเฉื่อยว่า “อวิ๋นเจ๋อน้อย เจ้าคงไม่ได้ความจำเสื่อมหรอกกระมัง?”

โม่อวิ๋นเจ๋อไม่ตอบ เพียงแต่จ้องมองเขาด้วยแววตามุ่งมั่น

เยว่เจี้ยนเวยหุบยิ้ม กล่าวเสียงเรียบว่า “เมื่อเจ้าลืมไปแล้ว ข้าก็จะบอกให้ฟัง หนึ่งพันปีก่อนโม่ชางหลานแต่งงานกับประมุขสำนักโอสถตานซินหยาง ได้สมุนไพรวิเศษแปดชนิด ปรุงยาถอนพิษหมื่นกระดูกได้สำเร็จ เขาย่อมมีภรรยางามอยู่ในอ้อมกอด มีทั้งโลกหล้าอยู่ในสายตา ใช้ชีวิตสุขสบาย ข้ามีอะไรต้องเป็นห่วงเขาด้วย คำพูดของเจ้านี่ ช่างน่าขบขันที่สุด!”

โม่อวิ๋นเจ๋อเจ้าเด็กคนนี้ แม้ว่าตอนนี้อายุจะไม่น้อยแล้ว ก็ยังคงเป็นคนอารมณ์รุนแรง เมื่อได้ฟังคำพูดของเยว่เจี้ยนเวย ก็ถึงกับมีขอบตาแดงก่ำทันที

เยว่เจี้ยนเวยกลับรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “เจ้าน้อยใจอะไร? คนที่ควรเจ็บปวด น่าจะเป็นข้าต่างหากไม่ใช่หรือ?”

โม่อวิ๋นเจ๋อสะอื้นเบา ๆ พลางกลั้นความเจ็บปวดไว้ กำหมัดแน่น กล่าวเสียงสะอื้น “ท่านไม่ได้สนใจเขาเลย ท่านไม่เคยถามถึงเรื่องของเขาตลอดหนึ่งพันปี ท่านไม่รู้เลย พี่ใหญ่ของข้า... พี่ใหญ่ของข้าเขาจากไปแล้วในปีที่สามที่ท่านปิดด่าน… เขาจากไปแล้ว เขาจากไปแล้ว ท่านเข้าใจหรือไม่?”

“...”

เยว่เจี้ยนเวยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สมองของเขาแทบว่างเปล่า

โม่ชางหลานจากไปแล้ว?

จากไปแล้วหมายความว่าอะไร?

ออกจากทวีปเซียนจื่อเจ๋อไปแล้วหรือ?

หรือว่าเขาพบโชควาสนาครั้งใหญ่ บรรลุธรรมและล่องลอยไปยังโลกที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว?

แต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดบรรลุภพภูมิเลยเล่า?

แล้วเจ้าร้องไห้เหตุใด โม่อวิ๋นเจ๋อ เจ้าอายุพันกว่าปีแล้ว เจ้าร้องไห้ทำบ้าอะไร!

เยว่เจี้ยนเวยเคยคิดว่าหัวใจของตนได้จมดิ่งลงสู่ก้นบึงไร้ความรู้สึก แต่เพียงคำพูดไม่กี่คำของโม่อวิ๋นเจ๋อกลับกวนให้ทะเลสาบในใจเขาปั่นป่วนไปทั้งผืน

เยว่เจี้ยนเวยได้ยินตัวเองพูดว่า “ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนมีฝีมือ เพียงแค่พันปี ก็สามารถบรรลุภพภูมิได้แล้วสินะ”

โม่อวิ๋นเจ๋อกล่าว “เขาไม่ได้บรรลุภพภูมิ แต่เขาตายแล้ว ตายไปเมื่อพันปีก่อน”

“...”

“หลังท่านประมุขแยกจากพี่ใหญ่ของข้า ก็ปิดด่านหลายร้อยปี ไม่สนใจความเป็นไปของโลกภายนอก กระทั่งไม่ยอมให้คนรอบข้างพูดถึงพี่ใหญ่ของข้า ท่านจึงไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่ได้แต่งงานกับเจ้าสำนักโอสถตานซินหยาง เพียงสามปีต่อมาก็เสียชีวิตด้วยแกนพลังอสูรแตกกระจาย เส้นเอ็นขาดสะบั้น พิษแล่นเข้าสู่หัวใจ หลังออกจากการปิดด่าน ท่านประมุขก็ประพฤติตนเจ้าชู้เช่นนี้ มีสาวงามห้อมล้อมรอบกาย สำราญรื่นเริง จึงยิ่งไม่นึกถึงพี่ใหญ่ของข้าแม้แต่น้อย”

สมองของเยว่เจี้ยนเวยคล้ายมีเสียงหึ่ง ๆ ดังขึ้น

โลหิตทั่วร่างเขาราวกับถูกกระแสความเย็นซึ่งไม่รู้ที่มาแช่แข็งไว้ ร่างอ่อนนุ่มด้านหลังพลันไม่ต่างจากแผ่นเหล็กแข็งกระด้าง

โม่ชางหลานตายแล้ว?

เขาตายได้อย่างไร?

วิชาการปรุงยาของตานซินหยางเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า สมุนไพรวิเศษแปดอย่างก็รวบรวมครบแล้ว อย่างไรก็ต้องถอนพิษและรักษาร่างกายเขาได้แน่ แล้วเขาจะตายได้อย่างไร?

เยว่เจี้ยนเวยเกิดความสับสนยิ่งนัก รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขบขันที่สุด หากอีกไม่นานโม่ชางหลานก็ต้องตาย แล้วเหตุใดตอนนั้นเขาถึงได้ทำตัวใจกว้างยอมทนเจ็บปวดยกโม่ชางหลานให้ผู้อื่นด้วยเล่า?

เยว่เจี้ยนเวยหัวเราะพรวดออกมา พูดด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “ตายแล้ว? นั่นช่างน่าเสียดายจริง ไม่ว่าอย่างไร ใบหน้าซึ่งงดงามที่สุดในใต้หล้าของโม่ชางหลานก็ถูกใจข้านัก แม้เขาจะเป็นคนพิการ แต่รสชาติของเรือนร่างเขา—ให้ตายเถอะ ไม่ปิดบังเจ้าแล้วกัน ผ่านไปพันปีคิดดูอีกที ข้ายังคงจดจำได้ไม่เสื่อมคลาย... ฮ่า ๆ หลายปีมานี้ ข้าลิ้มลองสาวงามมาไม่น้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดทำให้เคลิบเคลิ้มได้มากกว่าเขาสักคน”

โม่อวิ๋นเจ๋อเช็ดหางตา เงยหน้ามองเยว่เจี้ยนเวยที่อยู่บนเตียงนุ่ม จิตใจพลันสงบลง “ท่านประมุขพูดเช่นนี้ หากพี่ใหญ่ข้าที่อยู่ใต้ดินรู้เข้าคงดีใจ อย่างน้อยไม่ว่าจะรักหรือชัง ท่านประมุขก็ยังคิดถึงเขาอยู่”

ทันใดนั้น ใบหน้าของเยว่เจี้ยนเวยก็เย็นชาลง เขาหน้าตาหล่อเหลา แม้ไม่ยิ้มก็ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับสัมผัสสายลมในวสันตฤดู แต่เมื่อเขาเคร่งขรึมก็ไม่ต่างจากน้ำค้างแข็งหมื่นลี้ ทำให้ผู้คนหนาวสั่นแม้ไม่ได้สัมผัสความหนาวเย็นก็ตาม

“คำพูดของเจ้าช่างน่าสนใจ พูดเหมือนว่าเขายังมีใจให้ข้าอยู่ เจ้าอย่าลืมนะ เขาเพื่อที่จะมีชีวิตรอดจึงทิ้งข้าเสมือนทิ้งรองเท้าเก่า ไม่สนใจความรักลึกซึ้งที่ข้ามีให้เขา เขาโยนข้าทิ้งเหมือนเศษผ้าเก่าขาด ทำให้ข้าถูกผู้คนหัวเราะเยาะไปทั่ว!”

“ข้าจะบอกความจริงให้ฟัง สมุนไพรวิเศษแปดชนิดที่เขาต้องการเพื่อถอนพิษ ข้าเองก็มี นักปรุงยาที่สามารถปรุงยาแก้พิษได้ ข้าก็หาได้เช่นกัน แต่เขาต้องการความร่ำรวยและเกียรติยศจึงทิ้งข้าไปหาตานซินหยาง!”

“เขาตายแล้ว นี่คือชะตากรรม ถือเป็นกรรมตามสนอง!”

ระหว่างที่เยว่เจี้ยนเวยพูดไป ระดับเสียงก็ค่อย ๆ ดังและสูงขึ้น แม้แต่ขอบตาก็มีสีแดงดุร้าย เขาเดินเท้าเปล่าบนพื้นหยกขาว ลงมายืนตรงหน้าโม่อวิ๋นเจ๋อ จ้องมองด้วยแววตาดุดันพร้อมกล่าวว่า “ตอนนี้เขาตายแล้ว ไม่ทราบเกี่ยวอะไรกับข้า? เขาไม่ได้แต่งงานกับตานซินหยาง เกี่ยวอะไรกับข้าหรือ? เจ้าอย่าบอกนะว่า สุดท้ายเขาสำนึกเสียใจ แต่เสียใจแล้วจะมีประโยชน์อะไรกัน?”

“เขาไม่เคยเสียใจจนกระทั่งวันตาย” ในที่สุด โม่อวิ๋นเจ๋อก็กลั้นสะอื้นไม่อยู่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา

เส้นเลือดที่คอเขาปูดโปน จ้องเยว่เจี้ยนเวยเขม็ง คำรามว่า “ท่านคิดว่า พี่ใหญ่ข้าทำเพื่อสมุนไพรแปดชนิดและเพื่อความมั่งคั่งรุ่งเรืองในอนาคตงั้นหรือ? พี่ใหญ่ข้าในใจท่านเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”

“...”

“ผิดแล้ว ผิดมาตั้งแต่ต้น! ท่านไม่รู้ ทุกคนไม่รู้ ยาถอนพิษนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้าย ไม่ใช่แปดชนิด แต่มีอยู่สิบชนิดต่างหาก!”

เยว่เจี้ยนเวยชะงักกึก

สิบชนิด?

เยว่เจี้ยนเวยกำแขนเสื้อแน่นโดยไม่รู้ตัว

โม่อวิ๋นเจ๋อร้องไห้จนหายใจไม่ทัน ตะโกนใส่เยว่เจี้ยนเวยด้วยเสียงแหบพร่า “สมุนไพรชนิดที่เก้าคือเขากิเลน สมุนไพรชนิดที่สิบคือแกนพลังอสูรของกิเลน และในบรรดากิเลนทั้งหมด แกนพลังอสูรกิเลนตัวเมียมีพลังหยางมากเกินไป มีเพียงแกนพลังอสูรของกิเลนตัวผู้ที่มีความสมดุลของหยินหยางเท่านั้นถึงใช้ปรุงยาได้... ในโลกนี้ มีกิเลนตัวผู้ตรงตามคุณสมบัติเพียงตนเดียวคือท่าน พี่ใหญ่ของข้า ฮือ ๆ... พี่ใหญ่ของข้าจะทนเห็นท่านทุกข์ทนทรมานได้อย่างไร เขาจะยอมให้ท่านตายเพื่อเขาได้อย่างไร?”

“...”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 84

    อย่างไรก็ตาม หลังถูกเยว่เจี้ยนเวยแทรกเช่นนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็มัวแต่โกรธจนไม่อยากร้องไห้ต่อแล้วเยว่เจี้ยนเวยและโม่อวิ๋นเจ๋อจึงอยู่ในศาลบรรพบุรุษอย่างเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเป็นเวลาหลายชั่วยามจากนั้น เยว่เจี้ยนเวยก็ทนไม่ไหว กล่าวว่า “ไหนเจ้าบอกมาสิ เหตุใดจึงต้องคอยหาเรื่องข้าด้วย มันก็แค่เตาปรุงยาเก่า ๆ ที่ไม่มีใครใช้แล้ว ขอยืมสักหน่อยจะเป็นไรไป? ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้า ทำไมต้องมาทำให้ข้าตกใจด้วย เวลานี้ดีแล้ว พวกเราต่างถูกลงโทษด้วยกันทั้งคู่ เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?”โม่อวิ๋นเจ๋อถ่มน้ำลาย “ถุย” ทีหนึ่ง พลางกลอกตากล่าวว่า “ข้าย่อมยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นเจ้าสมความปรารถนา”เยว่เจี้ยนเวยจึงหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์เขาหัวเราะจนโม่อวิ๋นเจ๋อขนลุกซู่ ซ้ำยังขยับเข้าไปใกล้โม่อวิ๋นเจ๋อมากขึ้นอีกหลังจากนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็เห็นว่า เยว่เจี้ยนเวยค่อย ๆ หยิบเตาปรุงยาอีกใบหนึ่งออกมาจากกำไลสรรพภพของตนเอง“ข้าลืมบอกท่านไป ข้าขโมยเตาปรุงยามาสองใบ ถูกยึดไปหนึ่งใบ ก็ยังเหลืออีกหนึ่งใบ ฮ่าๆๆๆๆๆ!”โม่อวิ๋นเจ๋อ “...”ย๊ากกกกกก!โม่อวิ๋นเจ๋อแทบคลั่ง ตนเองเพิ่งหยุดร้องไห้ได้

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 83

    โม่ชางหลานเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “พลังวิญญาณของเขา แข็งแกร่งถึงระดับนั้นเชียวหรือ?”ผู้อาวุโสซางตอบ “เป็นไปได้สูง แต่ยังต้องสังเกตการณ์ต่อไปสักระยะ คุณชายใหญ่ หากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จริง อีกทั้งยังเป็นพลังวิญญาณสองธาตุทั้งไฟและไม้ นั่นก็หมายความว่าเขาคือยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งนัก”ต้องรู้ไว้ว่า แม้แต่ระดับตบะของผู้อาวุโสซางเซวียนปัจจุบัน ก็ไม่สามารถทำให้ศิลาทดสอบพลังระเบิดได้เลยโม่ชางหลานนึกถึงภาพที่เยว่เจี้ยนเวยถือยาวิเศษลงจากเขาไปขาย ก็รู้อยู่แล้วว่าเยว่เจี้ยนเวยต้องมีความลับบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขั้นน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้โม่ชางหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เรื่องนี้รบกวนผู้อาวุโสซางอย่าเพิ่งเปิดเผยต่อผู้ใด”ผู้อาวุโสซางพยักหน้า กล่าวว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”ยามนี้ ศาสตร์การหลอมโอสถทั่วทั้งทวีปชางหมางมีแต่เสื่อมถอย หากปรากฏอัจฉริยะผู้มีพลังวิญญาณด้านการปรุงยาขึ้นที่ใด ก็จะดึงดูดสายตาผู้คนให้แอบจับตามองนับไม่ถ้วนในอดีตเคยมีปรมาจารย์นักปรุงยาอัจฉริยะผู้โด่งดังเพียงชั่วครู่ ถูกผู้อื่นแอบขโมยพลังวิญญาณด้านก

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 82

    โม่อวิ๋นเจ๋อเบิกตากว้างทันที ร้องเสียงหลงว่า “ไม่ได้นะพี่ใหญ่ เตาปรุงยาพวกนั้น คงทำให้ข้าไม่มีเบี้ยเลี้ยงไปอีกเป็นสิบปีเลยนะ!”โม่ชางหลานกล่าว “สิบปีไหนเลยจะพอ ต้องร้อยปีถึงจะครบถ้วนต่างหาก”โม่อวิ๋นเจ๋อพลันชะงักกึกเยว่เจี้ยนเวยหัวเราะร่าอยู่ในใจ พลางคิดว่าเหตุใดไม่ทำตัวโอหังแล้วล่ะ? ให้ตายเถอะ คิดจะถอดเสื้อผ้าข้าใช่หรือไม่ คิดจะเปิดโปงข้าใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชางหลานของข้าช่างเด็ดขาดและยุติธรรมโดยแท้!ใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาคิดว่าถ้าตนเองร้องไห้ตอนนี้ นอกจากพี่ใหญ่จะไม่สนใจความรู้สึกแล้วคงต้องดุด่าเขาอีกชุดใหญ่เป็นแน่ จึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ขณะที่เยว่เจี้ยนเวยกำลังแสร้งทำตัวน่าสงสารอย่างสุดความสามารถ ก็ได้ยินโม่ชางหลานกล่าวว่า “เยว่เจี้ยนเวย เหตุการณ์วันนี้ เจ้าก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน”เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้าขึ้น ตอบรับอย่างว่าง่าย “พี่ชางหลาน ข้ารู้ตัวแล้วว่าทำผิด ข้าไม่ควรขโมยของ รอให้ข้าหาเงินได้ในภายหลัง ย่อมชดใช้ให้แก่ผู้อาวุโสซางแน่นอน และต่อไปก็จะไม่ทะเลาะกับพี่อวิ๋นเจ๋ออีกแล้วขอรับ”โม่อวิ๋นเจ๋อเกร็งคอตะเบ็งเสียงว่า “ผู้ใดเป็นพี่เจ้ากัน? เจ้าอย่

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 81

    เยว่เจี้ยนเวยรีบกระชับอาภรณ์ของตน พร้อมกับร้องตะโกนว่า “มีคนลวนลาม! ช่วยด้วย คุณชายรองตระกูลโม่รังแกเด็กหนุ่มบริสุทธิ์แล้ว!”“หุบปากเดี๋ยวนี้! อย่าส่งเสียงโวยวายไปทั่ว!”“ข้าไม่หุบปาก เจ้าช่างไร้ยางอาย กล้าคิดถอดเสื้อผ้าข้ากลางวันแสก ๆ !”“ถ้าเจ้าไม่หุบปาก ข้าจะต่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!”“ต่อยเลยสิ ดูว่าผู้ใดต้องเป็นฝ่ายกลัวกันแน่!”“...”..................ครึ่งชั่วยามต่อมา ในเรือนชมธาราเมื่อโม่ชางหลานมองเด็กหนุ่มสองคนที่เสื้อผ้าและทรงผมยุ่งเหยิง กำลังนั่งคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรงพร้อมเพียงกันอยู่บนพื้น ก็ให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีด้านข้าง ยังมีผู้อาวุโสซางเซวียนที่เพิ่งรับประทานโอสถบำรุงหัวใจไปหลายเม็ดยืนอยู่ด้วย“ข้าแค่ลงไปหยิบของครู่เดียว กลับขึ้นมา ทั้งห้องก็อยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาทั้งสองคนกอดกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เฮ้อ หัวใจข้าแทบจะระเบิดเสียให้ได้”ผู้อาวุโสซางเซวียนถอนหายใจไม่หยุด รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เตาปรุงยาที่ข้าสะสมมาด้วยความยากลำบากหลายปี เสียหายไปสี่เตา หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงวัตถุเวทมนตร์... ซึ่งก็คือเตาที่ดูสวยงามแต่ใช้งานจริงไม่ได้เตานั้นเอง”โ

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 80

    ผู้อาวุโสซางแปลกใจจนเคราแทบร่วง พร้อมกับกล่าวว่า “เหลวไหล หินก้อนนี้ใช้งานมาหลายร้อยปีไม่เคยมีปัญหาอะไร ข้าว่า เป็นเพราะพลังวิญญาณในร่างกายเจ้ามากไปต่างหากที่ทำให้มันรับไม่ไหวจนระเบิดเช่นนี้”เยว่เจี้ยนเวยรู้สึกว่าเหตุผลนี้ก็มีความเป็นไปได้ ถึงแม้ในตอนที่เขาปรุงยาจะไม่ได้รู้สึกสัมผัสถึงว่าพลังวิญญาณจะมีความมหาศาลอะไร แต่นอกจากเหตุผลนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วเยว่เจี้ยนเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ท่านอาวุโสซาง หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้าคืออัจฉริยะด้านการปรุงยาเพียงหนึ่งเดียวในโลก? เอาตรง ๆ ช่วงนี้เวลาข้านอนหลับข้าก็รู้สึกอยู่ว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอบอวลอยู่ในร่างกายข้าจนแทบจะระเบิด ณ เวลานั้นข้าอยากจะลุกขึ้นมาหยิบเตาปรุงยามาฝึกจนใจจะขาด วันนี้ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของก้อนหิน งั้นก็คงเป็นข้าเองที่เก่งกล้าเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”ผู้อาวุโสซาง “…”เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองถึงแม้ว่าผู้อาวุโสซางจะพอเดาพรสวรรค์ของเยว่เจี้ยนเวยได้อยู่ แต่พอได้ยินเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้ากล่าวโอ้อวดตนอย่างไม่เขินอาย ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกปากอย่างไม่เห็นด้วยก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 79

    ผู้อาวุโสซางเซวียน “...”ไม่เป็นความจริงเลยสักนิด เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผ่านมา โม่อวิ๋นเจ๋อยังมาหาเขาพร้อมกับสาบานอย่างคับแค้นใจด้วยความโกรธว่าจะหักเงินจากค่าขนมของเยว่เจี้ยนเวยในแต่ละเดือนเพื่อมาชดใช้ค่ายาที่แสนแพงชิ้นนี้และแน่นอน ในเมื่อเยว่เจี้ยนเวยเอ่ยชมเชยโม่อวิ๋นเจ๋อขนาดนี้ ผู้อาวุโสซางจึงเล็งเห็นว่าการปกป้องภาพลักษณ์อันเฉลียวฉลาดและเก่งกล้าสามารถของคุณชายรองนั้นสำคัญกว่า จึงพนักหน้าพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว คุณชายรองเป็นคนเช่นนี้แหละ เจ้าโชคดีจริง ๆ ”เมื่อผู้อาวุโสซางสอนวิชาเสร็จ จึงเดินมาดูเยว่เจี้ยนเวยและกล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าตั้งใจจะศึกษาเคล็ดโอสถวิเศษ”เยว่เจี้ยนพยักหน้าพร้อมตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ ข้าสนใจเคล็ดโอสถวิเศษอย่างมาก”ผู้อาวุโสซางกล่าวต่อว่า “เคล็ดโอสถวิเศษค่อนข้างน่าเบื่อ ในระหว่างการฝึกฝนต้องใช้ความอดทนอย่างสูง เจ้ายังเด็ก กำลังอยู่ในวัยชอบเล่นสนุก เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ เป็นเวลาสิบชั่วโมง หรือเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีได้สักเท่าไร?”เยว่เจี้ยนเวยฉีกยิ้มที่ดูนอบน้อมและน่ารัก รอยยิ้มที่กว้างจนเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มของเขา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status