Share

บทที่ 3

Author: ซุปเม็ดบัวน้ำตาลกรวด
ภายในตำหนักกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

เยว่เจี้ยนเวยมองบรรดาสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า “ทำต่อสิ เจ้า เจ้าถือจาน เจ้าปอกองุ่นต่อ ส่วนเจ้ามาทำหน้าที่เป็นหมอนอิงให้ข้า...”

สาวใช้ทั้งหลายมองหน้ากัน ก่อนกลับเข้าประจำตำแหน่งด้วยความหวาดหวั่นลังเล บางคนยกจานแก้วใสขึ้น บางคนคุกเข่าปอกองุ่น

ส่วนหญิงงามที่มีมวยผมนั้นเพิ่งนั่งลงบนเตียง ก็ได้ยินเยว่เจี้ยนเวยกล่าวว่า “ช่างเถอะ เจ้าถอยไปยืนข้าง ๆ ดีกว่า คนที่จะดูก็ไม่มีแล้ว ยังทำท่าทางอะไรอีก สนุกอยู่คนเดียวหรือ?”

หญิงงามผู้นั้นจึงขยับไปยืนอยู่ด้านข้าง ไม่ส่งเสียงใด

เยว่เจี้ยนเวยกินองุ่นไปหนึ่งลูก ทันใดนั้น ก็รู้สึกว่าตำหนักนี้ช่างกว้างใหญ่และเงียบเชียบเกินไป

จึงกล่าวอีกว่า “เจ้าร้องเพลงเป็นหรือไม่? ร้องเพลงสักเพลงเถิด”

หญิงงามเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านประมุขอยากฟังเพลงอะไรเจ้าคะ?”

เยว่เจี้ยนเวยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “เอาเพลงนั้นน่ะ เพลงไว้อาลัยคนตาย”

ใบหน้าของหญิงงามแข็งเกร็ง นางค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนเริ่มขับขานลำนำ “ข้าดั่งกระเบื้องเขียวเรียวบาง ท่านดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณ น้ำค้างเหือดหายใต้แสงการุณ กระเบื้องยังคงเกื้อหนุนแผ่นดิน นั่นคือร่างหยกฝังไกลโพ้น สิ่งที่ยังอยู่คือความถวิล… ความตายแสนไกลจรัสสิน ร้างสิ้นสัมพันธ์เคยแนบใจ… ยามเยาว์ไม่รู้ความพลัดพราก เพียงยิ้มสว่างไม่หลั่งไหล จนมองวิมานสุดปลายเมฆไกล จึงแลเห็นน้ำตาตกในฟ้าเทา… เจ้าหลับลึกใต้ธารา กระดูกกลายเป็นโคลนหนา ข้ายังเร่ร่อนอยู่ในโลกา ผมขาวดั่งหิมะแสนเศร้าใจ…”

เจ้าหลับลึกใต้ธารา กระดูกกลายเป็นโคลนหนา ข้ายังเร่ร่อนอยู่ในโลกา ผมขาวดั่งหิมะแสนเศร้าใจ

ผอมโซซูบซีด ทั้งร่างเหมือนถูกมดนับหมื่นตัวกัดกิน อาเจียนเป็นเลือดทุกวัน ทรมานนับพันวันพันคืนกว่าจะสิ้นใจ...

เยว่เจี้ยนเวยกินองุ่นไม่ลงแม้แต่ลูกเดียว จู่ ๆ ก็ปวดหนึบในอกอย่างรุนแรง รู้สึกหวานที่ลำคอ สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่

“ว๊าย—”

“ท่านประมุขโปรดระงับความโกรธ ท่านประมุขโปรดระงับความโกรธเถิด!”

หญิงงามที่ขับขานลำนำไม่กล้าร้องอีก ขาทั้งสองอ่อนแรงล้มพับลงกับพื้น ปลายแขนเสื้อเปื้อนเลือดสด ทั้งร่างสั่นเทา นึกเสียใจที่ตนเองขับร้องลำนำประเภทนี้

มือของเยว่เจี้ยนเวยสั่นเทาเล็กน้อย เขาหายใจหอบแรง หยิบสร้อยข้อมือที่ถักจากเชือกแดงออกมาจากแขนเสื้อด้วยมือที่สั่นระริก จ้องมองมันแน่วนิ่งพร้อมกำแน่น ราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตตนเองไว้

สร้อยข้อมือนี้ไม่มีเครื่องประดับใด ๆ เชือกแดงก็เป็นเชือกแดงธรรมดาทั่วไป ดูเก่าครึเล็กน้อย สีก็ไม่สดใสเท่าใดนัก

ด้านในนั้น ซ่อนผมยาวปอยหนึ่งของโม่ชางหลานเอาไว้

“หากท่านประมุขรู้สึกไม่สบายใจ ก็เล่าให้พวกเราสาวใช้ฟังสิเจ้าคะ เมื่อได้ระบายออกมา บางทีอาจรู้สึกดีขึ้นก็ได้” สาวใช้อาวุโสผู้รับใช้เยว่เจี้ยนเวยมายาวนาน รวบรวมความกล้ากล่าวขึ้น

ผ่านไปอึดใจใหญ่ เยว่เจี้ยนเวยจึงโบกมือกล่าวว่า “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถอะ”

บรรดาสาวใช้ไม่กล้าอยู่นานกว่านี้ ต่างก้มศีรษะคำนับแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินออกจากตำหนักไปอย่างรีบร้อน โดยไม่ลืมปิดประตูให้ด้วย

เยว่เจี้ยนเวยมองสร้อยข้อมือเส้นนั้นอย่างเหม่อลอย

แสงอาทิตย์ส่องผ่านกรอบไม้และหน้าต่างกระดาษตกกระทบใบหน้าด้านซ้ายของเยว่เจี้ยนเวย ใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่งอยู่ในแสง อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในเงา ครึ่งสว่างครึ่งมืดมิด

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด น้ำตาหนึ่งหยดก็ไหลลงไปบนสร้อยข้อมือเส้นนั้น ก่อนจะหยดลงไปที่ขั้นบันไดหยก

“คนพวกนั้น พวกเขาทำให้ข้าต้องเป็นเช่นนี้ ทำให้บิดาข้าตายอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ตระกูลโม่ทั้งตระกูลต้องตกระกำลำบากในดินแดนหิมะขาวนานร้อยปี ชีวิตนี้ของข้า ครึ่งชีวิตต้องดำรงอยู่เพื่อการแก้แค้น คนอย่างข้า ไม่คู่ควรกับความรักลึกซึ้งของเจ้า ยิ่งไม่อยากให้เจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

“ใจข้ามีแต่ความแค้น ความรักที่มีต่อเจ้า ไม่อาจเหนือกว่าความแค้นได้”

“เพื่อรักษาพิษสลายหมื่นกระดูกนี้ให้หาย เพื่อฆ่าพวกเขา ข้ายอมสละทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็ไม่อาจขัดขวางข้า”

เยว่เจี้ยนเวยคิดว่าตนเองลืมคำพูดเหล่านั้นไปแล้ว เหมือนกับที่คิดว่าตนเองลืมคนที่ชื่อโม่ชางหลาน

แต่เมื่อถึงเวลานี้ เขาจึงเข้าใจในที่สุด ว่าตลอดชีวิตของตนเอง ไม่มีทางหลีกหนีจากคำว่า “โม่ชางหลาน” พ้นเลยจริง ๆ

เยว่เจี้ยนเวยหัวเราะทั้งที่น้ำตาไหล เขาหัวเราะฮ่า ๆ หลายทีจนเสียงก้องกังวาน พึมพำว่า “โม่ชางหลาน เจ้าช่างเป็นคนโกหก เจ้าบอกชัดเจนว่า ถึงแม้ต้องตกนรก ถึงแม้ต้องตายพร้อมกับโลกใบนี้ ถึงแม้ต้องมีชีวิตเป็นปีศาจที่คนนับหมื่นรังเกียจ เจ้าก็จะต้องฆ่าศัตรูของเจ้าให้ได้ แต่สุดท้าย... สุดท้าย เจ้ากลับเลือกข้า”

“เจ้าไม่เคยพูดว่ารักข้าสักคำ แต่กลับเลือกข้า”

“ข้าใช้วิธีการตํ่าช้าทุกอย่าง บังคับให้เจ้าอยู่กับข้า เจ้ากลับไม่โกรธแค้นข้า”

“เจ้าช่างเป็นคนโง่ที่น่าขบขันจริง ๆ”

นับจากวันนี้ สำนักเซียนยอดเมฆาปิดสำนักเร้นกายจากโลกภายนอก ประมุขเยว่เจี้ยนเวยเข้าปิดด่านฝึกตน

พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งพันปี

ปีนี้ ในที่สุดโม่อวิ๋นเจ๋อก็เอาชนะหรงฉือได้สำเร็จ ถือดาบยาวด้วยความมั่นใจและกระตือรือร้น เหินขึ้นไปยังทวีปเซียนจื่อเจ๋อด้วยความเด็ดเดี่ยว

เขามีสองเรื่องที่ต้องทำ—

หนึ่ง ไปที่สำนักเซียนยอดเมฆา ลากคนใจทมิฬหินชาติอย่างเจ้าตัวบัดซบลูกเต่าสุนัขข้างถนนเยว่เจี้ยนเวยออกมาทุบตีสักยก เพื่อระบายความอัดอั้นและโกรธแค้นที่ยาวนานนับพันปี

สอง เขาต้องแก้แค้นแทนพี่ชาย แทนตระกูลโม่ทั้งตระกูลในดินแดนหิมะขาว

แต่ว่า ชายหนุ่มยังไม่ทันถึงสำนักเซียนยอดเมฆา ก็มองเห็นแต่ไกลว่าบนยอดเขา ท้องฟ้าเหนือก้อนเมฆมีเปลวไฟและควันหนาทึบราวกับมังกรดำกำลังเวียนวน สายฟ้าฟาดเมืองทั้งเมืองแทบถล่มทลาย

เขามองก้อนเมฆดำเหล่านั้น ใจตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงดึงชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพอดีถามว่า “เยว่เจี้ยนเวยจากสำนักเซียนยอดเมฆาเล่า? ที่นั่นเกิดอะไรขึ้นหรือ?”

ชายผู้นั้นกวาดตามองเซียนหนุ่มรูปงามผู้นี้ ตอบว่า “ท่านยังไม่รู้หรือ? เยว่เจี้ยนเวยเมื่อปีที่แล้ว จัดการทะลวงขั้นพันปี ดึงดูดสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์เก้าสิบเอ็ดสาย แรกเริ่มคิดว่าเขาจะเข้าสู่แดนเซียน แต่เขากลับนำสายฟ้าเหล่านั้น พุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของทวีปเซียนกลางซะอย่างนั้น”

“ไม่รู้ว่าเขาเสียสติอะไร อนาคตที่สดใสไม่เอา ชีวิตอมตะไม่เอา กลับต้องการลากตระกูลสายเลือดกิเลนทั้งตระกูลตายไปด้วยกัน บัดนี้ดีแล้ว รังเก่าของตระกูลกูเยวียนที่ได้ชื่อว่ามีผนังทองแดงกำแพงเหล็ก แม้แต่กระบวนทัพยอดฝีมือก็ทำลายไม่ได้ กลับถูกเยว่เจี้ยนเวยระเบิดเป็นหลุมยักษ์ ในรัศมีหมื่นลี้ สายฟ้าสีม่วงซัดซ่าน กระดูกไหม้เกรียมเกลื่อนพื้น ไม่มีผู้ใดในดินแดนบรรพบุรุษกิเลนรอดออกมาสักคน บัดนี้เปลวไฟจากสายฟ้ายังคงเผาไหม้อยู่ด้วยซ้ำ!”

“ท่านยังถามหาเยว่เจี้ยนเวยอีกหรือ? แน่นอนว่าเขาย่อมตายไปแล้ว ยังมีอะไรให้พูดอีกเล่า ท่าทางของเขา เป็นท่าทางของคนที่ตั้งใจไปตาย ท่านคิดว่าสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์เก้าสิบเอ็ดสายที่โจมตีลงมาคือเรื่องล้อเล่นหรือ?”

“เฮ้อ บัดนี้ราชวงศ์ของเผ่ากิเลนล่มสลายแล้ว ราชวงศ์อื่น ๆ ก็เริ่มกระวนกระวาย สามวันทำสงครามเล็ก ห้าวันทำสงครามใหญ่ เยว่เจี้ยนเวยเพียงคนเดียว กลับทำให้ทั้งทวีปเซียนจื่อเจ๋อปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด ท่านคอยดูเถิด อีกไม่กี่วัน ราชวงศ์ใหญ่ที่เหลือก็จะเริ่มทำสงครามกัน ราชวงศ์กูเยวียนของตระกูลสายเลือดกิเลนคงจะจบสิ้นเพียงเท่านี้ เพียงแต่ลำบากพวกเราที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระตัวเล็กตัวน้อยก็เท่านั้น”

“อ้อ ท่านหมายถึงสำนักเซียนยอดเมฆานั่นหรือ? แน่นอนว่าถูกคนจากสาขาอื่นของตระกูลสายเลือดกิเลนที่รอดชีวิตมาได้เผาทำลาย พวกเขาต่างก็พึ่งพาตระกูลหลักทั้งสิ้น เมื่อตระกูลหลักล่มสลาย พวกเขาจะมีเกียรติยศและความสูงส่งเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไร? คนของตระกูลสายเลือดกิเลนน่ะ เกลียดเยว่เจี้ยนเวยเข้าไส้ แล้วจะปล่อยให้สำนักของเขายังคงอยู่ได้อย่างไร?”

“เยว่เจี้ยนเวยช่างเสียสติจริง ๆ คนเสียสติคนนี้น่ากลัวเหลือเกิน เฮ้อ การฝ่าทัณฑ์สวรรค์มีอะไรดี ถ้ามีคนฝ่าทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้อีกสักคน พวกเราก็อย่าอยู่กันเลย”

“......”

โม่อวิ๋นเจ๋อค้นหาเป็นเวลานาน จึงพบร่องรอยของเยว่เจี้ยนเวยจากซากปรักหักพังและควันหนาทึบ—ซึ่งก็คือเถาองุ่นที่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมอยู่ในตำหนักเดิม หยั่งรากลงในพื้นหินหยก เลื้อยขึ้นไปตามเสาหยกที่พังทลายแล้ว

ท่ามกลางสำนักร้าง ชีวิตกลับเบ่งบาน

โม่อวิ๋นเจ๋อเงยหน้าขึ้น ราวกับเห็นเยว่เจี้ยนเวยกำลังเชิดคางอยู่บนเตียงนุ่มที่แตกหัก ชำเลืองมองเขาอย่างเย่อหยิ่งและทะนงตน พร้อมพูดด้วยความรังเกียจว่า “เจ้ายังแข็งแกร่งไม่พอ กลับไปฝึกอีกพันปีค่อยว่ากัน”

และพูดอีกว่า “ข้ากับเขา นอนเตียงเดียวกันมาหลายสิบปี ศัตรูของเขา ข้าจะเป็นคนแก้แค้นเอง”

“ถึงแม้ต้องตาย ข้าก็จะลากพวกมันให้ตกตายไปตามกัน”

“ร้องไห้รึ? ร้องบ้าอะไร อย่าทำให้พี่ชายเจ้าขายหน้า เก็บน้ำตาของเจ้ากลับไป”

“ยังร้องไห้อีก? เจ้าโตแค่ไหนแล้ว รักษาหน้าตัวเองหน่อยได้หรือไม่?”

หยดน้ำตาท่วมท้นใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อราวกับน้ำพุพวยพุ่ง เขาคุกเข่าลงกับพื้นสะอื้นฮัก ยกมือปิดหน้าร้องไห้โฮ เยว่เจี้ยนเวยพูดถูก—ไม่ว่าผ่านมาแล้วพันปี หรือจะผ่านไปอีกพันปี เขาก็ไม่โตทางสมอง แม้แต่ร่างกายก็ไม่โต

“ฮื่อ ๆ ๆ...”

“พี่ชายข้าพูดครั้งสุดท้ายว่า หากวันหน้าข้ามีโอกาสได้พบท่านอีก ให้ข้าบอกท่านหนึ่งประโยค”

“เขาบอกว่า เขาไม่เคยโกรธแค้นท่านเลย เขาบอกให้ท่าน ไม่ว่าเมื่อใด ก็อย่าได้เศร้าเสียใจเพราะเขา”

“เยว่เจี้ยนเวย ข้า ข้าจะฝึกฝนให้ดี ข้าจะมีชีวิตอยู่ให้ยาวนาน ข้าจะไม่ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่ถือว่าชีวิตตนเองไม่สำคัญอีกแล้ว ข้าย่อมไม่มีหน้าไปพบพี่ใหญ่ รอให้เขาหายโกรธข้าเมื่อใด รบกวนท่านบอกข้าสักคำ ข้าจะไปยังโลกเบื้องล่าง แล้วขอโทษพวกท่านทั้งสองคนเอง”

“ข้า... ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ...”

เขาร้องไห้จนพูดไม่ออก จึงได้แต่ปลดดาบ สองมือทาบพื้น โขกศีรษะคำนับอย่างแรงหลายครั้ง

โม่อวิ๋นเจ๋อในชั่วขณะนี้พลันรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง

ในโลกนี้ ไม่มีโม่ชางหลานแล้ว และนับจากนี้ ก็ไม่มีเยว่เจี้ยนเวยอีกต่อไป
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 84

    อย่างไรก็ตาม หลังถูกเยว่เจี้ยนเวยแทรกเช่นนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็มัวแต่โกรธจนไม่อยากร้องไห้ต่อแล้วเยว่เจี้ยนเวยและโม่อวิ๋นเจ๋อจึงอยู่ในศาลบรรพบุรุษอย่างเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบเป็นเวลาหลายชั่วยามจากนั้น เยว่เจี้ยนเวยก็ทนไม่ไหว กล่าวว่า “ไหนเจ้าบอกมาสิ เหตุใดจึงต้องคอยหาเรื่องข้าด้วย มันก็แค่เตาปรุงยาเก่า ๆ ที่ไม่มีใครใช้แล้ว ขอยืมสักหน่อยจะเป็นไรไป? ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเจ้า ทำไมต้องมาทำให้ข้าตกใจด้วย เวลานี้ดีแล้ว พวกเราต่างถูกลงโทษด้วยกันทั้งคู่ เจ้าคงพอใจแล้วสินะ?”โม่อวิ๋นเจ๋อถ่มน้ำลาย “ถุย” ทีหนึ่ง พลางกลอกตากล่าวว่า “ข้าย่อมยืนอยู่ข้างความถูกต้อง ไม่อาจปล่อยให้คนเช่นเจ้าสมความปรารถนา”เยว่เจี้ยนเวยจึงหัวเราะด้วยความเจ้าเล่ห์เขาหัวเราะจนโม่อวิ๋นเจ๋อขนลุกซู่ ซ้ำยังขยับเข้าไปใกล้โม่อวิ๋นเจ๋อมากขึ้นอีกหลังจากนั้น โม่อวิ๋นเจ๋อก็เห็นว่า เยว่เจี้ยนเวยค่อย ๆ หยิบเตาปรุงยาอีกใบหนึ่งออกมาจากกำไลสรรพภพของตนเอง“ข้าลืมบอกท่านไป ข้าขโมยเตาปรุงยามาสองใบ ถูกยึดไปหนึ่งใบ ก็ยังเหลืออีกหนึ่งใบ ฮ่าๆๆๆๆๆ!”โม่อวิ๋นเจ๋อ “...”ย๊ากกกกกก!โม่อวิ๋นเจ๋อแทบคลั่ง ตนเองเพิ่งหยุดร้องไห้ได้

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 83

    โม่ชางหลานเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “พลังวิญญาณของเขา แข็งแกร่งถึงระดับนั้นเชียวหรือ?”ผู้อาวุโสซางตอบ “เป็นไปได้สูง แต่ยังต้องสังเกตการณ์ต่อไปสักระยะ คุณชายใหญ่ หากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้จริง อีกทั้งยังเป็นพลังวิญญาณสองธาตุทั้งไฟและไม้ นั่นก็หมายความว่าเขาคือยอดอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งนัก”ต้องรู้ไว้ว่า แม้แต่ระดับตบะของผู้อาวุโสซางเซวียนปัจจุบัน ก็ไม่สามารถทำให้ศิลาทดสอบพลังระเบิดได้เลยโม่ชางหลานนึกถึงภาพที่เยว่เจี้ยนเวยถือยาวิเศษลงจากเขาไปขาย ก็รู้อยู่แล้วว่าเยว่เจี้ยนเวยต้องมีความลับบางอย่าง แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขั้นน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้โม่ชางหลานครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา เรื่องนี้รบกวนผู้อาวุโสซางอย่าเพิ่งเปิดเผยต่อผู้ใด”ผู้อาวุโสซางพยักหน้า กล่าวว่า “เข้าใจแล้วขอรับ”ยามนี้ ศาสตร์การหลอมโอสถทั่วทั้งทวีปชางหมางมีแต่เสื่อมถอย หากปรากฏอัจฉริยะผู้มีพลังวิญญาณด้านการปรุงยาขึ้นที่ใด ก็จะดึงดูดสายตาผู้คนให้แอบจับตามองนับไม่ถ้วนในอดีตเคยมีปรมาจารย์นักปรุงยาอัจฉริยะผู้โด่งดังเพียงชั่วครู่ ถูกผู้อื่นแอบขโมยพลังวิญญาณด้านก

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 82

    โม่อวิ๋นเจ๋อเบิกตากว้างทันที ร้องเสียงหลงว่า “ไม่ได้นะพี่ใหญ่ เตาปรุงยาพวกนั้น คงทำให้ข้าไม่มีเบี้ยเลี้ยงไปอีกเป็นสิบปีเลยนะ!”โม่ชางหลานกล่าว “สิบปีไหนเลยจะพอ ต้องร้อยปีถึงจะครบถ้วนต่างหาก”โม่อวิ๋นเจ๋อพลันชะงักกึกเยว่เจี้ยนเวยหัวเราะร่าอยู่ในใจ พลางคิดว่าเหตุใดไม่ทำตัวโอหังแล้วล่ะ? ให้ตายเถอะ คิดจะถอดเสื้อผ้าข้าใช่หรือไม่ คิดจะเปิดโปงข้าใช่หรือไม่ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชางหลานของข้าช่างเด็ดขาดและยุติธรรมโดยแท้!ใบหน้าของโม่อวิ๋นเจ๋อแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาคิดว่าถ้าตนเองร้องไห้ตอนนี้ นอกจากพี่ใหญ่จะไม่สนใจความรู้สึกแล้วคงต้องดุด่าเขาอีกชุดใหญ่เป็นแน่ จึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ขณะที่เยว่เจี้ยนเวยกำลังแสร้งทำตัวน่าสงสารอย่างสุดความสามารถ ก็ได้ยินโม่ชางหลานกล่าวว่า “เยว่เจี้ยนเวย เหตุการณ์วันนี้ เจ้าก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน”เยว่เจี้ยนเวยเงยหน้าขึ้น ตอบรับอย่างว่าง่าย “พี่ชางหลาน ข้ารู้ตัวแล้วว่าทำผิด ข้าไม่ควรขโมยของ รอให้ข้าหาเงินได้ในภายหลัง ย่อมชดใช้ให้แก่ผู้อาวุโสซางแน่นอน และต่อไปก็จะไม่ทะเลาะกับพี่อวิ๋นเจ๋ออีกแล้วขอรับ”โม่อวิ๋นเจ๋อเกร็งคอตะเบ็งเสียงว่า “ผู้ใดเป็นพี่เจ้ากัน? เจ้าอย่

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 81

    เยว่เจี้ยนเวยรีบกระชับอาภรณ์ของตน พร้อมกับร้องตะโกนว่า “มีคนลวนลาม! ช่วยด้วย คุณชายรองตระกูลโม่รังแกเด็กหนุ่มบริสุทธิ์แล้ว!”“หุบปากเดี๋ยวนี้! อย่าส่งเสียงโวยวายไปทั่ว!”“ข้าไม่หุบปาก เจ้าช่างไร้ยางอาย กล้าคิดถอดเสื้อผ้าข้ากลางวันแสก ๆ !”“ถ้าเจ้าไม่หุบปาก ข้าจะต่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!”“ต่อยเลยสิ ดูว่าผู้ใดต้องเป็นฝ่ายกลัวกันแน่!”“...”..................ครึ่งชั่วยามต่อมา ในเรือนชมธาราเมื่อโม่ชางหลานมองเด็กหนุ่มสองคนที่เสื้อผ้าและทรงผมยุ่งเหยิง กำลังนั่งคุกเข่าแผ่นหลังเหยียดตรงพร้อมเพียงกันอยู่บนพื้น ก็ให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีด้านข้าง ยังมีผู้อาวุโสซางเซวียนที่เพิ่งรับประทานโอสถบำรุงหัวใจไปหลายเม็ดยืนอยู่ด้วย“ข้าแค่ลงไปหยิบของครู่เดียว กลับขึ้นมา ทั้งห้องก็อยู่ในสภาพยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาทั้งสองคนกอดกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เฮ้อ หัวใจข้าแทบจะระเบิดเสียให้ได้”ผู้อาวุโสซางเซวียนถอนหายใจไม่หยุด รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เตาปรุงยาที่ข้าสะสมมาด้วยความยากลำบากหลายปี เสียหายไปสี่เตา หนึ่งในนั้นยังเป็นถึงวัตถุเวทมนตร์... ซึ่งก็คือเตาที่ดูสวยงามแต่ใช้งานจริงไม่ได้เตานั้นเอง”โ

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 80

    ผู้อาวุโสซางแปลกใจจนเคราแทบร่วง พร้อมกับกล่าวว่า “เหลวไหล หินก้อนนี้ใช้งานมาหลายร้อยปีไม่เคยมีปัญหาอะไร ข้าว่า เป็นเพราะพลังวิญญาณในร่างกายเจ้ามากไปต่างหากที่ทำให้มันรับไม่ไหวจนระเบิดเช่นนี้”เยว่เจี้ยนเวยรู้สึกว่าเหตุผลนี้ก็มีความเป็นไปได้ ถึงแม้ในตอนที่เขาปรุงยาจะไม่ได้รู้สึกสัมผัสถึงว่าพลังวิญญาณจะมีความมหาศาลอะไร แต่นอกจากเหตุผลนี้ก็ไม่มีเหตุผลอื่นอีกแล้วเยว่เจี้ยนเห็นดังนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “ท่านอาวุโสซาง หรือเป็นไปได้ไหมว่าข้าคืออัจฉริยะด้านการปรุงยาเพียงหนึ่งเดียวในโลก? เอาตรง ๆ ช่วงนี้เวลาข้านอนหลับข้าก็รู้สึกอยู่ว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอบอวลอยู่ในร่างกายข้าจนแทบจะระเบิด ณ เวลานั้นข้าอยากจะลุกขึ้นมาหยิบเตาปรุงยามาฝึกจนใจจะขาด วันนี้ในเมื่อไม่ใช่ความผิดของก้อนหิน งั้นก็คงเป็นข้าเองที่เก่งกล้าเกินไป ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”ผู้อาวุโสซาง “…”เขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองถึงแม้ว่าผู้อาวุโสซางจะพอเดาพรสวรรค์ของเยว่เจี้ยนเวยได้อยู่ แต่พอได้ยินเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้ากล่าวโอ้อวดตนอย่างไม่เขินอาย ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกปากอย่างไม่เห็นด้วยก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า

  • การเกิดใหม่ของอสูรผู้ไร้เทียมทาน   บทที่ 79

    ผู้อาวุโสซางเซวียน “...”ไม่เป็นความจริงเลยสักนิด เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผ่านมา โม่อวิ๋นเจ๋อยังมาหาเขาพร้อมกับสาบานอย่างคับแค้นใจด้วยความโกรธว่าจะหักเงินจากค่าขนมของเยว่เจี้ยนเวยในแต่ละเดือนเพื่อมาชดใช้ค่ายาที่แสนแพงชิ้นนี้และแน่นอน ในเมื่อเยว่เจี้ยนเวยเอ่ยชมเชยโม่อวิ๋นเจ๋อขนาดนี้ ผู้อาวุโสซางจึงเล็งเห็นว่าการปกป้องภาพลักษณ์อันเฉลียวฉลาดและเก่งกล้าสามารถของคุณชายรองนั้นสำคัญกว่า จึงพนักหน้าพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ใช่แล้ว คุณชายรองเป็นคนเช่นนี้แหละ เจ้าโชคดีจริง ๆ ”เมื่อผู้อาวุโสซางสอนวิชาเสร็จ จึงเดินมาดูเยว่เจี้ยนเวยและกล่าวขึ้นว่า “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าตั้งใจจะศึกษาเคล็ดโอสถวิเศษ”เยว่เจี้ยนพยักหน้าพร้อมตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ ข้าสนใจเคล็ดโอสถวิเศษอย่างมาก”ผู้อาวุโสซางกล่าวต่อว่า “เคล็ดโอสถวิเศษค่อนข้างน่าเบื่อ ในระหว่างการฝึกฝนต้องใช้ความอดทนอย่างสูง เจ้ายังเด็ก กำลังอยู่ในวัยชอบเล่นสนุก เจ้าคิดว่าตัวเองสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ เป็นเวลาสิบชั่วโมง หรือเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีได้สักเท่าไร?”เยว่เจี้ยนเวยฉีกยิ้มที่ดูนอบน้อมและน่ารัก รอยยิ้มที่กว้างจนเผยให้เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ บนแก้มของเขา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status