ธาวินเอนตัวลงนอนมือหนึ่งจับโทรศัพท์แนบหู มือหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก โดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่จะยับย่นหรือชายเสื้อหลุดออกมาจากกางเกงหรือไม่
“เอ่อน่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วหมอเกดได้ไปทะเลกับแกไหม”
คนเป็นเพื่อนถามต่อ
“ไม่ได้ไป”
“อ่าวเหรอ แล้วหมอเกดว่าไงบ้าง”
เขาคิดว่าการที่เพื่อนของเขาได้ไปหาผู้หญิงที่ตนเองรัก เธอคนนั้นน่าจะช่วยให้คลายเครียดได้
“ฉันไม่ได้บอกหมอเกด”
“อ้าว!”
คราวนี้ คนปลายสายอุทานเสียงสูงกว่าเดิม มิน่าทำไมอาการเครียดของเพื่อนเขาไม่ลดลงบ้าง
“ทำไมแกไม่ระบายให้หมอเกดฟังวะ เผื่อว่าอาการเครียดของแกจะดีขึ้น” ดร.ประชาโวยวายออกมา คล้ายกับดุนักศึกษาที่เรียนไม่ได้ดั่งใจ
“หมอเกดไม่ใช่จิตแพทย์ ฉันจะบอกทำไมวะ”
ธาวินตอบเหนื่อย ๆ พลางหลับตาลง มืออีกข้างกดนวดที่ขมับของตน เพราะรู้สึกปวดหัวตึบ ๆ
“ฉันรู้ว่าหมอเกดเป็นอายุรแพทย์ แต่ก็เป็นคนรู้ใจแกไม่ใช่เหรอ การที่เรามีเรื่องทุกข์ใจมาก ๆ แล้วได้ระบายให้คนที่เรารักและเชื่อใจฟัง จะทำให้เราคลายความเครียด ความอัดอั้น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่สบายใจลดลงมากกว่าครึ่งเชียวนะ”
“ฉันยังไม่ได้เป็นอะไรกับหมอเกด ขืนเล่าให้ฟัง คะแนนที่อุตส่าห์ตามจีบก็หายไปหมดดิวะ เพราะผู้หญิงที่ไหนเขาจะอยากแต่งงานกับคนบ้า”
“แล้วทำไมแกไม่คิดในอีกแง่หนึ่ง เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าหมอเกดรักแกจริงไหม หรือรักเพราะว่าแกเป็นผู้ชายที่แสนจะเพอร์เฟคเท่านั้น”
“ไม่รู้สิ”
ธาวินตอบเพื่อนได้เท่านั้น และเป็นความจริงจากใจของเขาที่สุด
คำว่า “รัก” ไม่เคยอยู่ในหัวใจของเขาแม้แต่น้อย มีเพียงสมองเท่านั้นที่สั่งให้เขาคบกันกับหมอเกดก็เพราะเห็นว่าเราทั้งคู่เหมาะสมกัน เขาจึงคิดแทนหมอเกดเอาว่า หากเขาเป็นหญิงสาว เขาก็คงจะไม่เลือกคนที่ใกล้บ้ามาเป็นคู่ครองแน่ ๆ
“เอ่อ”
ดร.ประชาถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟังคำตอบของเพื่อน แล้วเปลี่ยนประเด็นในการสนทนาว่า
“เอ่อพรุ่งนี้แกจะเข้ามหาวิทยาลัยไหม ?”
“เข้า แต่น่าจะบ่าย เพราะมีสอนแล็บไฟฟ้าตอนเย็น”
“ก็ดีเหมือนกัน เพราะสำนักงานวิจัยเขาโทรมาบอกให้แกไป ลงนามในสัญญารับทุน ฉันสอนแทนได้ แต่ลงนามแทนแกไม่ได้นะเว้ย”
“อืม รู้แล้ว”
ธาวินทำเสียงงึมงำในลำคอ
“เอ่อ ๆ พักผ่อน ๆ ไม่กวนแกแล้ว”
แล้ว ดร.ประชาก็วางสายไป
เมื่อวางสายจากเพื่อน ธาวินก็นอนแช่บนโซฟาไม่ขยับไปไหน แม้ตาจะหลับแต่สมองของเขายังวนเวียนกับเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนี้ วนไปวนมาแม้ว่าเขาพยายามจะไม่คิดถึงมันแต่จนแล้วจนรอดมันก็แตกกระจายอยู่ในสมอง จนเขาทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นกินยานอนหลับที่หมอให้มา แล้วลากสังขารตัวเองทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุดทำงานขึ้นไปนอนบนเตียง ไม่รู้ว่า ดึกแค่ไหน หรือใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าที่เขาจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์ส่องดวงดาราระยิบตา ลมทะเลโชยอ่อน ๆ ร่วมเป็นสักขีพยานแห่งรักของคู่หนุ่มสาว
เสียงเพลงรักบรรเลงขับกล่อมเบา ๆ ในขณะที่มือเรียวนุ่มของสาวน้อยแตะบนบ่าเขา อีกมือหนึ่งของเธอถูกเขากุมไว้ในฝ่ามืออุ่น
ธาวินโอบเอวบางของหญิงสาวเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง เขาประคับประคองหล่อนเต้นรำอย่างสุภาพอ่อนโยน ท่ามกลางแสงจันทร์แสงดาวริมชายหาด
ชายหนุ่มมองสบตาคู่สวยของหญิงสาวในวงแขน ดวงตาของเธอทอประกายระยับยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า รอยยิ้มของเธอละมุนยิ่งกว่าดวงจันทร์ เธอเป็นดั่งเช่นสว่างท่ามกลางความมืดมิดในใจเขา
เธอจะรู้หรือไม่ ส่วนลึกในหัวใจของเขาไม่แข็งแกร่งดั่งเช่นเคย ทันทีที่เธอก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา หัวใจดวงนี้มันหวั่นไหว มันรู้สึกห่วงหาและอาทร ราวกับว่าหัวใจของเขามันรอเธอมาแสนเนิ่นนาน
“แต่งงานกับผมนะ”
เขาพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคลื่นผสมผสานกับเสียงดนตรี
หญิงสาวช้อนตามองขึ้นสบตาเขา ธาวินเห็นน้ำใส ๆ เอ่อล้นขึ้นในดวงตาคู่สวย เขาจุมพิตลงที่หน้าผากของเธอพร้อมกับเอ่ยย้ำอีกครั้งว่า
“แต่งงานกับผมนะ”
ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว มีเพียงน้ำตาที่ไหลหยาดหยดลงอาบสองแก้ม เขาจึงจูบซับน้ำตาของเธออีกครั้ง แล้วลดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือหนึ่งประคองมือเธอไว้ อีกมือก็ล้วงเอาแหวนรุ่นวิศวะของเขาออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วบรรจงสวมใส่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ พร้อมกับเอ่ยว่า
“แต่งงานกับผมนะ”
หญิงสาวพยักหน้าทั้งน้ำตา ชายหนุ่มจุมพิตลงบนหลังมือข้างที่สวมแหวนให้เธอ เพื่อตราหมั้นคำสัญญาที่ได้ให้ไว้
แซะ !
วาบ !
แสงสว่างวาบขึ้น จนเขาต้องหันไปมอง แต่ก็เห็นเพียงแสงเจิดจ้าสว่างจนขาวโพลนไปหมด จากนั้นหูเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์มือถือ
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ธาวินสะดุ้งตื่นขึ้น เขายกมือขึ้นป้องสายตาเพราะแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องเข้ามาตามช่องว่างของผ้าม่านที่ปลิวไสวตามแรงลม เขาฝันถึงผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว แต่เสียงโทรศัพท์ที่หัวเตียงยังคงแผดเสียงร้องไม่หยุด
กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เขาจึงลุกขึ้นควานหาโทรศัพท์พร้อมกับเหลือบตามองนาฬิกาที่หัวเตียง
‘จะเที่ยงแล้วรึ’
เขาอุทานในใจ ไม่คิดเลยว่ายานอนหลับจะทำให้เขาตื่นสายขนาดนี้ เมื่อคว้าโทรศัพท์มาได้คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน เพราะหน้าจอโทรศัพท์แสดงเบอร์ที่ไม่ปรากฏชื่อ แล้วจึงกดรับ
“ครับ”
เขากรอกเสียงลงไปสั้น ๆ เช่นเคย
“สวัสดีครับ คุณธาวิน ผมผู้จัดการของเดอะมูนวิลเลจ บีช รีสอร์ต”
ปลายสายแนะนำตัวเองอย่างสุภาพ
ธาวินจึงนิ่งฟังก่อน ยังไม่กดตัดสายทิ้งเหมือนเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสาวโทรมาขายประกันชีวิต หรือเซลล์ขายเครื่องมือวิทยาศาสตร์ เขามักจะกดตัดทิ้งทันทีที่ปลายสายเริ่มแสดงตัวตนว่าขายของ
“ทางเราขอขอบพระคุณท่านมากที่ใช้บริการพิเศษเมื่อวันที่ 24 ตุลาฯ ที่ผ่านมา ดังนั้นทางเราจึงขอส่งภาพช่วงเวลาแห่งความสุขของท่านกับคู่รักให้เป็นของกำนัลแทนคำขอบคุณครับ”
คำพูดจากปลายสายเปรียบเสมือนคลื่นน้ำเย็นเฉียบลูกใหญ่ที่สาดซัดกระแทกร่างของเขาทั้งร่าง ดวงตาลุกโพลง มือกำโทรศัพท์แน่น ละล่ำละลักถามทั้งที่เสียงยังแหบแห้งเพราะเพิ่งจะตื่นนอน
ความจริงที่ซ่อนไว้ 8ฉันอาจจะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ Unlucky in love , Unlucky in gameเมื่อถึงรอบการประเมินเพื่อเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานมหาวิทยาลัยระดับฝึกหัดเป็นระดับปฏิบัติการหากผ่านจะมีฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และมีความก้าวหน้าในสายงานอาชีพมากขึ้นปรากฏว่าฉันถูกประเมินว่า “ไม่ผ่าน” ซึ่งหัวหน้าสำนักงาน (พี่ณี) และท่านรองฯ ให้เหตุผลกับฉันว่า...เพราะเธอไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คงจะเป็นเมื่อครั้งที่ฉันรั้นจะจัดอบรมนอกมหาวิทยาลัย) มาสาย และบ่นลงเฟสบุ๊คเหตุผลแต่ละข้อที่กล่าวมา ทำให้ฉันหัวเราะทั้งน้ำตาการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนไม่ได้ดูที่ผลงานหรืองานที่พัฒนาขึ้น แต่วัดกันที่เหตุผลส่วนบุคคลของคนบางกลุ่ม จนบางครั้ง ฉันรู้สึกหมดแรงกับการทำงานตั้งใจทำงานเพื่ออะไร พัฒนางานไปเพื่ออะไรทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเพื่ออะไรเพราะทำไปเงินเดือนก็ไม่ขึ้น ตำแหน่งก็ไม่ได้ สู้เอาแรงกายแรงใจไปนั่งเลียแข้งเลียขาเจ้านายดีกว่าไหมสุดท้าย....ฉันก็ต้องยอมรับกับผลการประเมินที่ไม่เป็นธรรมแต่จะให้เปลี่ยนตนเองเป็นคนเลียแข้งเลียขา หรือเช้าชามเย็นชามก็ไม่ไหวเพราะสิ่งที่ฉันยึดมั่นอยูในใจเสมอมา คือค่าของคนอยู
ความบังเอิญครั้งที่ 4วันนั้น ฉันจัดประชุมคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์กว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง ก็กินเวลาจวนเจียนจะบ่ายข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้อง น้ำย่อยในกระเพาะมันร่ำร้องให้ฉันพาตนเองไปทานข้าวที่โรงอาหารกลางเมื่อกินข้าวเสร็จก็ลุกขึ้นเพื่อเอาจานไปวางไว้ที่อ่างสำหรับเตรียมล้างนึกไม่ถึงเลยว่าจะเจออาจารย์ A กำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่ด้านหลังเขานั่งหันหลังให้ฉันแม้หัวใจมันร่ำร้องอยากจะเข้าไปทักแต่สถานะที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องข่มใจ แล้วเดินผ่านอาจารย์ไปฉันเดินออกจากโรงอาหารไปด้วยหัวใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นสำนักงาน จึงแวะที่ร้านกาแฟก่อนระหว่างที่นั่งรอกาแฟนั้น นึกไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ A จะมาที่ร้านกาแฟเหมือนกันอาจารย์ A เปิดประตูเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉย มองฉันแค่แวบเดียวแล้วมองผ่านเลย เหมือนคนไม่เคยรู้จักกันฉันกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอในเมื่อเขาไม่อยากรู้จัก เราก็จะไม่ทักเขาให้ต้องระคายเคืองใจเมื่อได้กาแฟแล้ว ฉันก็รีบเดินออกจากร้านทันทีและสิ่งที่ทำให้ฉันตัดใจไม่ได้สักที คือผลจากแผนการที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นที่ฉันเที่ยวไปประกาศปาว ๆ ว่างานอะไรที่เกี่ยวข้องก
ความจริงที่ซ่อนไว้ 7ยิ่งคุยกัน.....ระยะห่างระหว่างเรายิ่งสั้นลงเรื่อย ๆไม่รู้ทำไม...ทุกครั้งที่จบการสนทนาในแชทบล็อกเราต้องนั่งอมยิ้มคนเดียวแล้วในหัวก็จะมีเรื่องของเขาวนเวียนอยู่ในหัวทันทีที่เริ่มรู้สึกรัก ฉันก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดอกหักทันทีที่รัก เพราะรู้ดีแก่ใจว่า รักครั้งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ฉันตั้งใจขุดหลุมล่อหลอกอาจารย์ให้ตกลงไปเพื่อใช้อาจารย์เป็นเครื่องมือในการแก้แค้นหัวหน้ากลับกลายเป็นฉันที่ตกลงไปในหลุมเสียเองจนอยากที่จะปีนขึ้นไปในขณะที่ฉันเริ่มรู้ตัวว่าหลงรักอาจารย์จนยากจะตัดใจอาจารย์ก็เริ่มรู้ตัวว่าถูกฉันตามจีบการสนทนากันในแชทจึงเริ่มน้อยลง อาจารย์ A ถามคำตอบคำจนฉันเริ่มรู้ถึงการรักษาระยะห่างของเขาฉันจึงพยายามตัดใจจากเขา เพราะเข้าใจดีว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่มีทางมองผู้หญิงระดับต่ำกว่าแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือฐานะดังนั้น ฉันจึงห้ามใจไม่ทักแชทไปอีก และหักดิบโดยการเลิกเป็นเพื่อนกับเขาทาง F******k เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรเกี่ยวกับเขาอีกแต่ดูเหมือนฟ้าจะยังคงสนุกกับการทรมานหัวใจของฉันยิ่งอยากตัดใจ ก็ยิ่งให้ฉันต้องบังเอิญ
จนกระทั่งรถวิ่งผ่านสวนป่าข้างหนองน้ำ...“ ด้านซ้ายมือ... จะเห็นเครื่องออกกำลังกาย... สำหรับออกกำลังกายตอนเย็นๆ รอบหนองน้ำเป็นทางวิ่ง เขาเรียกกันว่า.... หนอง... หนอง....”อาจารย์ A หันมาสบตาฉันเพื่อขอความช่วยเหลือ...“หนองอิเจมค่ะ”ฉันตอบทันทีอย่างรู้งาน“ทำไมถึงชื่อ หนองอิเจมหรือครับ”วิทยากรสงสัย.......และแล้วอาจารย์ A ก็ได้รับอีก 1 หน้าที่ นั่นคือ นักเล่าประวัติศาสตร์หนองอิเจมของมหาวิทยาลัยจนกระทั่งในที่สุดรถก็เลี้ยวเข้าตึกสำนักงานอธิการบดีที่รถอาจารย์ A จอดไว้เครื่องมือแก้แค้นหัวหน้ากำลังจะลงจากรถแล้ว !ฉันเหลือบมองกระเป๋าอาจารย์ A ที่วางอยู่บนเบาะข้าง ๆสวรรค์ช่างเข้าข้างนัก !ฉันจึงถือกระเป๋าใบนั้นขึ้นมา ในขณะที่อาจารย์ A กำลังไหว้ลาวิทยากร แล้วเปิดประตูลงจากรถ“อาจารย์คะ กระเป๋าค่ะ !”ฉันตะโกนเรียกอาจารย์ พร้อมกับชูกระเป๋าให้ดู“อ๋อ... ขอบคุณครับ”ฉันยื่นกระเป๋าให้.....มือหนึ่งจับด้านข้าง.... อีกมือสอดไว้ใต้กระเป๋าอย่างจงใจ...อาจารย์ A ยื่นมือมารับกระเป๋า...มือนุ่มๆ ยาวเรียวของเขาประกบกับมือเล็ก ๆ ที่ฉันจงใจสอดไว้ใต้กระเป๋าหนังใบโต...Yes !เป็นไปตามแผน !... ฉันลิงโลดในใจ
ความจริงที่ซ่อนไว้ 5และแล้ววันอบรมก็มาถึง !ฉันต้องดีดตัวเองลุกจากที่นอนตั้งแต่ไก่โห่ !แล้วแจ้นไปรับวิทยากรที่สนามบิน !….ส่วนอีกทีมหนึ่งฝากให้น้องนก กับพี่เกด คอยต้อนและรับเหล่าอาจารย์ ที่เข้าร่วมอบรมให้ขึ้นรถบัส แล้วไปสมทบกันที่ รีสอร์ต The best orchid….เริ่มต้นการอบรม เป็นไปอย่างสวยงาม ผู้เข้าร่วมอบรมต่างประทับใจวิทยากรกันยกใหญ่...ทึ่งกับความคิดที่ไม่เหมือนใครทึ่งกับแนวทางการก้าวสู่ “ตำแหน่งศาสตราจารย์” ที่อายุยังน้อยและทึ่งกับฉันที่สามารถขุดค้นศาสตราจารย์ท่านนี้มาได้น้อง ๆ พี่ทีมงานที่มาช่วยจัดอบรมต่างรู้กันดีว่า ฉันกำลังวางแผนจีบอาจารย์ A เพื่อแก้แค้นหัวหน้า ดังนั้น ทุกคนต่างสนับสนุนช่วยเหลือฉันอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็น ช่วยถ่ายรูปอาจารย์ A เอาไว้แทบจะทุกช็อตในระหว่างที่นั่งอบรมกันในห้องประชุมนั้นอาจารย์ A ขอน้ำดื่มเพิ่ม พี่เกดก็มาสะกิดฉันให้ยกน้ำดื่มไปเสิร์ฟอาจารย์แม้กระทั่งตอนพักเที่ยง....ฉันแอบชำเลืองมองไปที่โต๊ะอาหารที่กลุ่มอาจารย์คณะวิศวะฯ นั่งอยู่ เมื่อเห็นว่า กลุ่มอาจารย์กำลังลุกออกจากโต๊ะฉันจึงรวบช้อน รีบกลืนข้าวที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียดให้ลงคอ แล้วตามด้วยน้ำ“หนู
ความจริงที่ซ่อนไว้ 41 สัปดาห์ผ่านไป !อาจารย์ท่านอื่นๆ สมัครมาเกือบจะเต็มจำนวนที่เปิดรับแล้วอาจารย์ A ยังไม่ตอบรับมาเลย >เอาไงดี ๆ -ฉันกระวนกระวายในใจ“พี่เกด !” (นามสมมุติ)ฉันร้องเสียงหลง... ทันทีที่เห็นพี่เกดเดินเข้ามาในออฟฟิศ....ยังเช้าตรู่ ทั้งออฟฟิศมีแค่ฉันกับพี่เกด ดังนั้น ฉันจึงโหวกเหวกได้ตามใจ“แวะ ๆ แวะ โต๊ะหนูก่อน”ฉันลากพี่เกดมาที่โต๊ะ“พี่เกด หนูจะเชิญอาจารย์ A ไปอบรมกับหนูแบบเนียน ๆ”“หือ....”พี่เกดลากเสียง ตาวาว เพราะไม่มีใคร ไม่รู้จักความฮอต ของอาจารย์ผู้นั้น“หนูอยากจะทำความรู้จักกับอาจารย์ A ค่ะ”ฉันรีบบอกความต้องการของตนเองไปอย่างตรงไปตรงมา เพราะตอนนี้ความอยากแก้แค้น และเอาคืน มันมีมากกว่าความรู้สึกกระดากอาย“เอาจริง”“จริงแท้ แน่นอน”“เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เถอะ ! เขาเป็นถึงตัวท๊อปของคณะวิศวะเลยนะ ! เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์เลยนะคะ”พี่เกดพูดพร้อมกับจะขยับตัวลุกขึ้น แต่คนมือไวคว้าหมับ รั้งไว้“ไม่เปลี่ยนใจค่ะ ! ให้หนูลองดูสักตั้งนะคะ”วินาทีนี้ ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความตั้งใจของฉันได้ !สุดที่รักของหัวหน้าใช่ไหม ! คอยดู ! แล้วฉันจะสอยลงมาอยู่ในกำมือ