เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้
“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข้าล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อข้า ข้าจึงคิดได้ว่าจะพยายามต่อต้านท่านไปทำไม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ชุยอวี้หลันก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“ท่านคิดได้เช่นนี้ข้าก็ดีใจ ดังนั้นวันนี้คัดบทคัดลอกนี้ให้เสร็จแล้วท่านก็สามารถพักผ่อนได้ตามสบาย ท่านสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจยกเว้นการออกไปหาคุณหนูจวนสกุลหยาง” เมื่อชุยอวี้หลันพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถิดข้าไม่คิดจะดื้อรั้นออกไปพบหยางสุ่ยเซียนอีกแล้ว” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ชุยอวี้หลันยิ้มออกมา
“ดีแล้วเจ้าค่ะ สหายของท่านผู้นั้นนางเติบโตในจวนสกุลใหญ่ความคิดความอ่านซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งท่านตามนางไม่ทันหรอก” เมื่อชุยอวี้หลันพูดจบก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาหานางในทันที
“ชุยอี๋เหนียง คุณชายน้อยหลบหนีออกไปนอกจวนอีกแล้วเจ้าค่ะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ชุยอวี้หลันพลันมีโทสะขึ้นมาในทันที
“เจ้าลูกคนนี้ทำไมวันๆ ถึงได้หาแต่เรื่องกันนะ สั่งการลงไปเกณฑ์คนออกไปจับตัวคุณชายน้อยกลับมา ผู้ใดพาเขากลับมาได้ข้าจะตกรางวัลอย่างงาม” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็รีบรับคำแล้วออกไปจัดการเกณฑ์ผู้คนเพื่อออกไปตามหาหลินโม่วในทันที
“คอยดูนะตามเขากลับมาได้เมื่อไหร่ข้าจะตีเขาให้ขาหักเลย” เมื่อชุยอวี้หลันพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาที่คัดลอกอักษรเสร็จแล้วก็พลันเงยหน้าขึ้นสีหน้าของมารดาเลี้ยงทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันส่ายหน้าปฏิเสธแล้วจึงได้เอ่ยปากขออาสาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนในทันที
“แม่เล็ก ข้ากับน้องชายรู้ใจกันดี เขาหนีออกไปเช่นนี้ข้ารู้ว่าจะไปตามเขาได้ที่ไหน อีกทั้งหากข้าเป็นคนไปตามเขาย่อมจะต้องยินดีกลับมาพร้อมข้าโดยไม่ต้องเปลืองกำลังแน่” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ชุยอวี้หลันได้แต่ส่ายหน้า
“โม่วเอ๋อออกจากจวนไปเพียงคนเดียวข้าก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว หากให้คุณหนูใหญ่ออกจากจวนไปด้วยอีกคนในใจของข้าคงจะร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม ให้บ่าวไพร่ออกไปตามหาเถิด ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะยอมกลับมาหรือไม่ ขอเพียงมีคนอ้างชื่อข้าเขาก็คงจะยินยอมกลับมาแต่โดยดี... กระมัง” เมื่อเอ่ยมาถึงประโยคท้ายชุยอวี้หลันพลันมีน้ำเสียงไม่แน่ใจ บุตรชายของนางทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น ยิ่งเมื่อได้พี่สาวและบิดาคอยให้ท้ายเขาก็ยิ่งซุกซนและไม่เชื่อฟังนางเข้าไปใหญ่
“แม่เล็กให้ข้าไปเถิด ข้าจะพาคนไปด้วยอีกหลายคน อีกทั้งข้ายังมีผงยาสำหรับใช้ป้องกันตัวอีกมากมาย ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางชี้ให้มารดาเลี้ยงของตนมองดูสาวใช้และผู้ติดตามของนาง มารดาแท้ๆ ของนางทิ้งคนของตนเองให้บุตรสาวไว้หลายคน มีอยู่สองคนที่มีวิชายุทธ์สูงส่ง เมื่อชุยอวี้หลันเห็นว่าหลินเหม่ยเหยาจะพาคนเหล่านั้นติดตามไปด้วยนางก็พลันรู้สึกวางใจ
“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด เพียงแต่หากพบโม่วเอ๋อแล้วท่านต้องรีบกลับจวนนะ หากนายท่านกลับมาถึงจวนแล้วไม่ได้พบท่าน เขาจะต้องเกณฑ์คนทั้งจวนออกไปตามหาท่านเป็นแน่”
“แม่เล็กวางใจเถิด พบโม่วเอ๋อเมื่อไหร่ข้าจะรีบพาเขากลับจวนในทันที” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้ชุยอวี้หลันก็พยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยวาจาคัดค้านหลินเหม่ยเหยาอีก
หลังจากนั้นหลินเหม่ยเหยาก็พาคนของนางออกจากจวน นางรู้ดีว่าน้องชายของนางไปอยู่ที่ไหน หลินโม่วคนนี้เป็นเด็กที่ถูกนางกับบิดาตามใจจนเสียคน แม้ว่าจะเกิดในสกุลแพทย์แต่เขากลับให้ความสนใจเรื่องวิชายุทธ์ ทุกครั้งที่ว่างเขามักจะมาเรียนรู้วิชาการป้องกันตนเองกับมู่เหอและมู่จิ่น สองผู้คุ้มกันที่มารดาของนางทิ้งเอาไว้ให้ หากวันไหนมู่เหอและมู่จิ่นไม่ว่างเขาก็มักจะมาที่สำนักคุ้มภัยสกุลมู่เพื่อจะได้ใช้ลานฝึกของสำนักคุมภัยเป็นที่ฝึกซ้อมฝีมือของตนเอง
สกุลมู่เป็นสกุลเดิมของมารดาแท้ๆ ของนาง ท่านตาของนางเคยเป็นอดีตแม่ทัพใหญ่ของแคว้น พอสิ้นท่านตาสกุลมู่ก็ไร้ผู้สืบทอด เมื่อไร้ผู้สืบทอดตราแม่ทัพก็ถูกส่งคืนราชสำนัก เมื่อสิ้นท่านตาบรรดาแม่ทัพนายกองหลายคนก็ล้วนลาออกจากกองทัพ มารดาของนางกังวลว่าพอพวกเขาไร้เบี้ยหวัดที่เคยได้รับจากในกองทัพแล้วจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก นางจึงได้ก่อตั้งสำนักคุ้มภัยสกุลมู่ขึ้นมาเพื่อให้กลุ่มคนที่เคยเป็นอดีตลูกน้องของท่านตามีอาชีพที่สามารถหาเงินเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
“โม่วเอ๋อ!” เสียงของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินโม่วที่กำลังฝึกเพลงทวนอยู่ชะงักงันไปในทันที เขารีบส่งทวนให้มู่เปียวแล้ววิ่งมาหาพี่สาวของตนเองในทันที
“พี่หญิง ท่านมาทำอะไรที่นี่” คำถามของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาขึงตาใส่น้องชายในทันที
“ก็มาตามเจ้ากลับจวนอย่างไรเล่า ร้ายกาจนักนะเดี๋ยวนี้กล้าหลบหนีออกจากจวนแล้วหรือ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็ยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อนในทันที
“ก็ท่านแม่ห้ามไม่ให้ข้าฝึกยุทธ์ภายในจวนนี่นา ข้าก็เลยต้องแอบลักลอบออกจากจวนมาฝึกที่นี่” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ส่ายหน้า
“แต่ถึงอย่างไรการหลบหนีออกจากจวนโดยไม่บอกกล่าวกับผู้ใด ก็เป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี ดังนั้นเจ้ารีบเดินทางกลับจวนเสียเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าอาจจะถูกแม่เล็กลงมือเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวปริแตกไปเลยก็ได้นะ” คำพูดของพี่สาวทำให้หลินโม่วพลันมีสีหน้าซีดเซียวในทันที
“พี่หญิงท่านต้องช่วยข้านะ ไม่เช่นนั้นท่านแม่จะต้องลงมือเฆี่ยนตีข้าด้วยตนเองหรือไม่ก็ส่งข้าไปที่หอลงทัณฑ์เพื่อรับโทษโบยเป็นแน่” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยิ้มออกมาในทันที น้องชายผู้นี้ของนางแม้ว่าจะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้จักเกรงกลัวการต้องรับโทษทัณฑ์อยู่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะถ้าหากว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลยคงยากที่จะควบคุมความประพฤติของเขาได้
ต่อให้หยางเม่าพยายามสั่งให้คนในจวนสกุลหยางห้ามพูดถึงเรื่องความผิดของหยางสุ่ยเซียน แต่มีหรือที่เขาจะสามารถทำได้ จวนสกุลหยางมีคุณชายห้าคนและมีคุณหนูถึงหกคน มีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ถือกำเนิดจากฮูหยินคนก่อนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก ส่วนนอกนั้นล้วนเป็นบุตรและบุตรีที่เกิดจากอนุเกือบทั้งสิ้น การแก่งแย่งชิงดีกันเองภายในจวนสกุลหยางดุเดือดไม่ต่างไปจากจวนขุนนางทั่วไปที่มีลูกหลานในจวนมากมายในจวนสกุลหยางมีเพียงหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ที่ไม่จำเป็นต้องลงไปแก่งแย่งชิงดีและประชันฝีมือด้วย ไม่เพียงชาติกำเนิดดีกว่าผู้อื่น แต่ก่อนที่ฮูหยินคนก่อนจะเสียชีวิตนางได้วางรากฐานให้บุตรชายและบุตรสาวเอาไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งฮูหยินคนใหม่ก็ไม่ค่อยจะมีฝีไม้ลายมือเท่าใดนัก หากไม่พึ่งพาหยางเจี้ยนและหยางสุ่ยอวี้ก็แทบจะสู้รบตบมือกับผู้ใดไม่ได้เลย คุณหนูภายในจวนที่มีฝีไม้ลายมือมากที่สุดและได้รับความโปรดปรานรองจากหยางสุ่ยอวี้ก็คือหยางสุ่ยเซียน ดังนั้นพอหยางสุ่ยเซียนพลาดพลั้ง ย่อมมีคนรอที่จะเหยียบย่ำนางให้จมดินอยู่แล้วหลินเหม่ยเหยานั่งทบทวนความทรงจำที่ตนเองมีต่อสกุลหยางด้วยความตั้งอกตั้ง
นายท่านหยางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ คำพูดที่ว่าหากนางไม่ยั้งมือป่านนี้บุตรสาวของเขาคงจะตายไปแล้วทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เขาจึงได้เอ่ยต่อว่าหลินเหม่ยเหยาออกมาตามตรง“คุณหนูใหญ่สกุลหลินคำพูดคำจาช่างโอหังเสียจริง ท่านรองหัวหน้าแพทย์หลวงหลินท่านดูบุตรสาวของท่านสิ ไร้มารยาทเช่นนี้วันหน้าจะมีสกุลใดอยากจะแต่งนางเข้าสกุลกัน” นายท่านหยางเอ่ยออกมาพลางจ้องมองหลินเหม่ยเหยาด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่ได้เกรงกลัวและไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทนางย่อกายคารวะขออภัยด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วจึงได้เอ่ยตอบคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม“ต้องขออภัยที่ล่วงเกินท่านหัวหน้าราชบัณฑิตหยางนะเจ้าคะ เพียงแต่คำพูดของข้าไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่หรือว่าแสดงความโอหัง แต่ข้าพูดตามความเป็นจริง ในยามปกติหากถูกทำร้ายข้าแค่โปรยยาพิษหรือไม่ก็ยาสลบก็สามารถเอาตัวรอดได้แล้ว แต่กับคุณหนูสามที่เคยเป็นสหาย ข้าลงมือทำร้ายนางไม่ลงหรอกเจ้าค่ะ แต่หากไม่ลงมือคนที่ถูกตบหน้าคงจะต้องเป็นข้าแน่ ถึงอย่างไรโทสะที่ถูกคุณหนูสามหมิ่นแคลนวงศ์สกุลก็ยังคงอยู่จึงได้ไม่คิดจะออมแรงที่ฝ่ามือเจ้าค่ะ” คำพูด
ในขณะที่ทางจวนสกุลหลินกำลังพูดคุยถึงเรื่องน่ายินดีด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่มีให้กัน แต่ทางจวนสกุลหยางกลับเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ หยางเม่าผู้เป็นนายท่านใหญ่สกุลหยางได้แต่นั่งปลอบใจอนุคนโปรดของตนเองและบุตรสาวคนที่สามที่ถือกำเนิดจากอนุผู้นี้ด้วยความปวดใจ“ท่านพ่อ! หลินเหม่ยเหยาไม่เพียงตบใบหน้าข้า แต่ยังพูดจาดูหมิ่นเรื่องที่ข้าเป็นบุตรสาวของอนุ คำพูดของนางไม่เพียงดูถูกข้าและแม่เล็กของข้า แต่นางยังกล้าพาดพิงไปถึงกุ้ยเฟยที่อยู่ในวังด้วย” หยางสุ่ยเซียนเอ่ยพลางร่ำไห้ออกมา ยามนี้นางนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงหน้านายท่านหยางด้านข้างของนางยังก็มีเฉินอี๋เหนียงผู้เป็นมารดาแท้ๆ นั่งร่ำไห้อยู่เป็นเพื่อนท่าทีของสองแม่ลูกจากเรือนทิศเหนือทำให้สวีเยียนผู้เป็นภรรยาเอกคนที่สองของนายท่านหยางจำต้องยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเอง ส่วนสายตาของนางก็จ้องมองสองแม่ลูกราวกับกำลังจ้องมองตัวตลกอยู่ นายท่านหยางยังคงโปรดปรานเฉินอี๋เหนียงอยู่ก็จริง แต่ยามนี้เฉินอี๋เหนียงมีอายุมากแล้วจะสู้นางที่อ่อนวัยกว่าอีกทั้งยังมีสกุลสวีคอยหนุนหลังอยู่ได้อย่างไร จริงอยู่ที่นางยังไม่มีบุตรธิดา แต่ในฐานะภ
หลินเหม่ยเหยารู้ดีว่าหยางสุ่ยเซียนไม่มีทางยอมถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ หลังจากที่สาวใช้ที่นางส่งไปจับตาที่เรือนหนิงฝูเข้ามารายงานว่าหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางกลับมาถึงจวนแล้วและยามนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือนแห่งนั้นนางก็รีบตรงไปที่เรือนหนิงฝูเพื่อขอเข้าพบบิดาในทันที“เกิดอะไรขึ้นเหตุใดวันนี้เจ้าจึงได้มาหาพ่อจนถึงเรือนแห่งนี้ได้” หลินเจวี๋ยเอ่ยพลางยื่นมือรับถ้วยชาที่ชุยอวี้หลันส่งให้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย“ข้าก็แค่มีเรื่องอยากจะเรียนให้ท่านพ่อและแม่เล็กทราบเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ตื่นตระหนกยามที่คนสกุลหยางส่งคนมาเจ้าค่ะ” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินเจวี๋ยวางถ้วยชาลงในทันที“เกิดอันใดขึ้น เจ้าสามารถบอกกับพ่อมาได้ตามตรง” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาในทันที“วันนี้ข้าตบหน้าของหยางสุ่ยเซียนเจ้าค่ะ ยามนี้นางน่าจะเอาเรื่องที่ถูกข้าทำร้ายไปฟ้องนายท่านหยางผู้เป็นบิดาของนางแล้ว “คำพูดของนางทำให้หลินเจวี๋ยพลันขมวดคิ้วในทันที"นางล่วงเกินเจ้าหรือ พ่อรู้ว่าเจ้าไม่มีทางลงมือทำร้ายคนอย่างไม่มีเหตุผลแน่" คำพูดของบิดาทำให้นางยิ้มออกมา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอย่างน้อยก็ยังมีบิดาของนางที่สามารถเ
หลังจากวันที่ได้พบกับหยางเจี้ยน หลินเหม่ยเหยาก็ไม่ได้ออกจากจวนอีก ทางจวนสกุลหยางเองนอกจากเทียบเชิญจากหยางสุ่ยเซียนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากทางจวนสกุลหยางอีกเช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นปลอดภัยดี“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหยางมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ” เสียงรายงานของสาวใช้ทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ขมวดคิ้ว นางจำได้ว่าหยางสุ่ยเซียนไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดหยางสุ่ยเซียนจึงได้พยายามจะพบนางให้ได้เช่นนี้ ทั้งที่นางก็ปฏิเสธทั้งเทียบเชิญและเทียบขอเข้าพบของหยางสุ่ยเซียนไปตั้งหลายครั้งแล้ว“ไปเชิญนางเข้ามาเถิด” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางก้มหน้าลงไปอ่านตำราในมือต่อ ยามนี้เข้าสู่หน้าร้อนแล้วนางจึงมักจะมานั่งอ่านตำราในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว สายลมที่พัดพาผ่านผิวน้ำทำให้อากาศรอบกายเย็นสบาย ดังนั้นในหน้าร้อนของทุกปีนางจึงชอบมานั่งเล่นในสถานที่แห่งนี้ ยามที่หยางสุ่ยเซียนเดินเข้ามาจึงได้แต่จ้องมองท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายของนางด้วยความริษยา“เหยาเหยา เหตุใดช่วงนี้เจ้าจึงได้ห่างเหินกับข้ากันเล่า หรือเป็นเพราะว่าคุณชายใหญ่สกุลซ่งผู้เป็นคู่หมาย
แม้ว่ายามนี้หยางเจี้ยนจะยังเป็นแค่เพียงคุณชายใหญ่ของจวนสกุลหยาง ยังไม่ใช่พระมาตุลาผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดังเช่นในชาติที่แล้ว แต่รอบกายของเขากลับมีพลังอำนาจคุกคามบางอย่างที่แผ่กระจายออกมาแล้วทำให้ทุกคนต่างก็เกรงขามและหวาดกลัว สายตาอันคมกล้าคู่นั้นของเขาทำให้หลายคนไม่กล้าสบตา แต่คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วอย่างหลินเหม่ยเหยากลับจ้องมองเขาด้วยสายตาพินิจพิจารณาพลางคิดในใจว่าทำอย่างไรดีนางและสกุลของนางจึงจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับคนผู้นี้“ข้าน้อยคือหลินเหม่ยเหยา บิดาของข้าคือรองหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงหลินเจวี๋ย ส่วนนี่คือน้องชายของข้าเป็นเพราะข้ากังวลว่าลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นจะทำอันตรายเขาก็เลยลงมือกับลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นหนักมือไปหน่อย ขอคุณชายใหญ่ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขออภัย หยางเจี้ยนได้แต่หรี่ตาลงเมื่อได้เห็นท่าทีของนางแม้ว่าจะดูอ่อนน้อมและขออภัยอย่างจริงใจแต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเขาอย่างที่เด็กสาวคนอื่นๆ มักจะเป็น“คุณหนูใหญ่หลินเป็นสหายสนิทของคุณหนูสามจวนเราขอรับ
เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบากในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้วมาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจก
เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข
ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงั