ยามที่หลินเหม่ยเหยาลืมตาตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนของตนเองในสกุลหลิน สภาพแวดล้อมภายในห้องล้วนมีสภาพเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ปักปิ่น ในยามนั้นหลินเจวี๋ยผู้เป็นบิดาของนางยังคงเข้าออกห้องของนางโดยไม่ได้ถือสาเรื่องธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น
“เหยาเหยา เจ้าดูนี่สิพ่อได้ฟู่จื่อมามากมาย เจ้าต้องช่วยพ่อตรวจสอบดูนะว่าพิษของมันถูกพ่อทำให้เจือจางลงไปจนหมดสิ้นแล้วหรือยัง” เสียงของหลินเจวี๋ยทำให้หลินเหม่ยเหยารีบขยับตัวลุกขึ้น ดึงม่านคลุมเตียงออกแล้วจ้องมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาในห้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ท่านพ่อ!” เสียงเรียกกับท่าทีของบุตรสาวไม่ได้ทำให้หลินเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ในตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขากำลังจดจ่ออยู่กับสมุนไพรที่เขาพึ่งจะได้มา
“อย่ามัวแต่นอนอยู่เลย ดูนี่สิฟู่จื่อนี่คุณภาพดีมากทีเดียว” หลินเจวี๋ยพูดพลางยื่นกล่องไม้ใส่สมุนไพรให้บุตรสาวดู แต่หลินเหม่ยเหยากลับไม่สนใจนางโผเข้าไปโอบกอดบิดาของตนเองแล้วร่ำไห้ออกมา
“ท่านพ่อ ต้องโทษข้าที่มองคนไม่เป็น ทำให้ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องได้รับเคราะห์กรรมอันเลวร้าย” ท่าทีของบุตรสาวทำให้หลินเจวี๋ยนิ่งงันไป เขายืนนิ่งให้บุตรสาวโอบกอด มือหนึ่งยังคงถือกล่องสมุนไพรเอาไว้ ส่วนอีกมือก็ลูบศีรษะของหลินเหม่ยเหยาด้วยความปลอบโยน
“เป็นอะไรไป ใครกันที่ทำให้เจ้าผิดหวังจนต้องมาร้องไห้กับพ่อถึงขนาดนี้ แม่เล็กรังแกเจ้าหรือ แล้วเคราะห์กรรมอันเลวร้ายที่เจ้าเอ่ยถึงคืออะไรกัน” เมื่อหลินเจวี๋ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ไม่เจ้าค่ะ แม่เล็กไม่เคยรังแกข้า นางดีต่อข้ามากกว่าที่ข้าเคยคาดคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ ส่วนเคราะห์กรรมที่ข้าเอ่ยถึงนั้น...” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคก็สะอื้นไห้ออกมา แม่เล็กของนางมีนามว่าชุยอวี้หลัน นางแต่งเข้าจวนมาหลังจากที่มารดาแท้ๆ ของหลินเหม่ยเหยาจากไปได้ครบปี แรกเริ่มเดิมทีหลินเหม่ยเหยาไม่ชอบภรรยาใหม่ของบิดาผู้นี้มากนักด้วยกังวลว่าเมื่อบิดามีภรรยาใหม่ก็จะลืมเลือนนางและมารดาของนาง แต่หลายปีผ่านไปไม่เพียงชุยอวี้หลันไม่แตะต้องตำแหน่งฮูหยินผู้เป็นภรรยาเอกของมารดาของนาง จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตนางก็สิ้นใจไปในฐานะอนุคนหนึ่งของจวนสกุลหลินเพียงเท่านั้น
“คุณหนูใหญ่! ท่านรีบกลับไปเสียอย่าให้สามีของท่านและผู้อื่นรู้ว่าท่านมาหาพวกข้า ท่านจงใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี ลืมพวกข้าไปเสีย อย่าทำให้ตนเองต้องพลอยลำบากไปกับพวกข้าเลย” นี่คือคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะจากกัน เมื่อบิดาของนางได้รับโทษประหารไปแล้วนางก็ไปหาชุยอวี้หลันและหลินโม่วผู้เป็นน้องชายของนางที่ถูกคุมขังอยู่ตั้งใจจะบอกกับพวกเขาว่านางจะหาหนทางช่วยพวกเขาให้ได้ แต่กลับถูกมารดาเลี้ยงขับไล่ สายตาแห่งความสิ้นหวังของมารดาเลี้ยงของนางทำให้นางรู้สึกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ยามนั้นความเจ็บปวดใจที่ไม่อาจจะช่วยน้องชายและมารดาเลี้ยงได้ทำให้หลินเหม่ยเหยาเสียใจจนแท้งบุตร และเพราะการแท้งบุตรทำให้นางไม่ได้สติไปหลายวัน เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมาทั้งน้องชายและมารดาเลี้ยงก็สิ้นชีวิตอยู่ที่ลานประหารตามบิดาของนางไปหลายวันแล้ว
“ไม่ใช่แม่เล็กของเจ้า แล้วใครกันเล่า” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อนางหันไปเห็นฟู่จื่อในมืออีกข้างของบิดา อีกทั้งยามนี้เนื้อตัวของบิดาก็สามารถจับต้องได้ไม่ใช่ความฝันอันล่องลอย นางยื่นมือได้หยิบฟู่จื่อในกล่องไม้มาดมกลิ่นแล้วลองกัดเพื่อชิมรสชาติดูรสเผ็ดร้อนที่ปลายลิ้นสัมผัสได้ทำให้นางหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง แล้วนางจึงได้หันไปมองกระจกในห้องแล้วก็พลันยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
‘ข้าได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังกลับมาตอนที่ยังอยู่ในวัยก่อนปักปิ่นอีกด้วย’ หลินเหม่ยเหยาคิดอยู่ในใจด้วยความรู้สึกยินดี
“เป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าพิษในฟู่จื่อนี่ถูกขจัดออกไปจนหมดแล้วหรือยัง” เมื่อบิดาถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“เป็นของดีเจ้าค่ะ ล้วนดีทั้งสิ้น ท่านพ่อข้ารู้สึกยินดีเหลือเกินที่ได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันกับท่านได้อีกครั้ง” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้บิดาของนางก็พลันขมวดคิ้วแล้วยื่นมือมาสัมผัสที่หน้าผากของนางในทันที
“ก็ไม่ได้ป่วยไข้นี่นา เหตุใดจึงได้พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยเช่นนี้กันเล่า” คำพูดของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยายิ้มออกมาอีกครั้ง อีกทั้งครั้งนี้หยาดน้ำตาบนใบหน้าของนางไม่มีอีกแล้ว
“วางใจเถิดเจ้าค่ะ ลูกสบายดีเป็นอย่างยิ่ง ก็แค่เมื่อครู่นอนนานมากจนเกินไปเพียงเท่านั้น ก็เลยฝันร้ายเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” เมื่อนางพูดเช่นนี้หลินเจวี๋ยก็ทอดถอนใจออกมา
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาพูดพลางยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าบุตรสาวคลายอ้อมกอดแล้วและยามนี้ก็หันมาเกาะกอดท่อนแขนของเขาด้วยความออดอ้อนแทน แม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจที่ลูกสาวมีท่าทีแปลกประหลาดแต่เขาก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ ตั้งแต่เขามีชุยอวี้หลันบุตรสาวของเขาก็ไม่เคยทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาอีกเลย ท่าทีออดอ้อนของบุตรสาวแม้จะผิดธรรมเนียมอยู่บ้างแต่ในฐานะบิดาที่มีบุตรสาวเพียงคนเดียวการที่นางกลับมาทำตัวออดอ้อนดุจเด็กน้อยเช่นนี้มันทำให้เขาอดรู้สึกยินดีไม่ได้จริงๆ
สองพ่อลูกพากันเดินออกมานั่งวิเคราะห์สมุนไพรที่ได้มานอกเรือน หลินเหม่ยเหยาหันกลับไปมองเรือนหนิงอันของตนเองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข ทุกอย่างยังคงเหมือนตอนที่นางยังไม่ได้ออกเรือน นางรู้สึกซาบซึ้งใจและรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวของนางอีกครั้ง หลังจากที่ได้สูญเสียทุกคนไปในชีวิตก่อนหน้านี้
“ท่านพ่อ สมุนไพรนี้ท่านได้มาจากที่ใดหรือเจ้าคะ” หลินเหม่ยเหยาถามด้วยความสนใจ
“พ่อได้รับมาจากเพื่อนเก่า นอกจากฟู่จื่อแล้วเขายังมอบชวนอูมาให้ด้วยนะ เพียงแต่ชวนอูนั้นเขายืนยันกับพ่อแล้วว่าเขาทำการขจัดพิษออกได้จนหมดแล้วมีเพียงฟู่จื่อนี่ที่เขายังไม่แน่ใจ” หลินเจวี๋ยตอบพลางยิ้มออกมา
“ช่างเป็นสหายที่ดีมากจริงๆ” หลินเหม่ยเหยาพูดพลางหยิบสมุนไพรขึ้นมาแล้วก็คิดถึงสหายของตนอย่างหยางสุ่ยเซียน ไม่ใช่แค่เพียงหมายปองสามีของนางแม้แต่ชีวิตของนางหยางสุ่ยเซียนก็ไม่คิดจะละเว้น หลินเหม่ยเหยาไม่เคยรู้เลยว่าสหายของนางจะมีจิตใจที่ดำมืดได้ถึงขนาดนั้น
“สักวันเจ้าก็จะได้พบกับสหายที่ดีเช่นพ่อ” เมื่อหลินเจวี๋ยเอ่ยเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“เจ้าค่ะ สักวันลูกจะต้องได้พบกับสหายคนดีของลูกแน่ แล้ววันนั้นลูกจะต้องตอบแทนความดีของนางอย่างสาสมทีเดียว” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้บิดา ทั้งสองพ่อลูกนั่งคุยกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ ของเรือนหนิงอัน ความอบอุ่นและความรักในสายตาของบิดาทำให้หลินเหม่ยเหยาให้สัญญากับตนเองว่าชาตินี้นางจะต้องปกป้องบิดาและคนในครอบครัวให้ดี ไม่ดึงคนชั่วเข้ามาแล้วทำให้ทุกคนในครอบครัวต้องประสบกับเคราะห์กรรมอันเลวร้ายดังเช่นในชาติที่แล้ว