เมื่อได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งหลินเหม่ยเหยาสิ่งแรกที่หลินเหม่ยเหยาตั้งใจจะทำก็คือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับครอบให้เต็มที่ เดิมทีนางมีความเย็นชาต่อชุยอวี้หลันอยู่เป็นนิจ ต่อต้านทุกสิ่งที่ชุยอวี้หลันชี้นำให้นางทำ แต่ยามนี้สิ่งที่นางทำก็คือการทำตัวเป็นลูกเลี้ยงที่ดีเชื่อฟังคำชี้แนะของชุยอวี้หลันโดยไม่โต้เถียง
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดช่วงนี้คุณหนูใหญ่จึงได้ทำตัวผิดแปลกไปเช่นนี้เล่า” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่งยิ้มให้พลางเอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าเปลี่ยนไปมากเลยหรือ ข้าก็หลงคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของข้าน่าจะทำให้แม่เล็กพึงพอใจได้เสียอีก” นางเอ่ยพลางก้มหน้าลงคัดอักษรตามบทคัดลอกที่ชุยอวี้หลันหามาให้
“คุณหนูใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียินดีเชื่อฟังข้าเช่นนี้ข้าย่อมดีใจ เพียงแต่อยู่ๆ ท่านก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเช่นนี้มันทำให้ข้าอดรู้สึกกังวลใจไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน มีผู้ใดพูดจาล่วงเกินท่านหรือว่ามีใครทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อมารดาเลี้ยงของนางเอ่ยถามเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็แค่คิดว่าสิ่งที่แม่เล็กสอนสั่งอีกทั้งยังเข้มงวดกับข้าล้วนเป็นเพราะหวังดีต่อข้า ข้าจึงคิดได้ว่าจะพยายามต่อต้านท่านไปทำไม” เมื่อหลินเหม่ยเหยาพูดเช่นนี้ชุยอวี้หลันก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี
“ท่านคิดได้เช่นนี้ข้าก็ดีใจ ดังนั้นวันนี้คัดบทคัดลอกนี้ให้เสร็จแล้วท่านก็สามารถพักผ่อนได้ตามสบาย ท่านสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจยกเว้นการออกไปหาคุณหนูจวนสกุลหยาง” เมื่อชุยอวี้หลันพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พยักหน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถิดข้าไม่คิดจะดื้อรั้นออกไปพบหยางสุ่ยเซียนอีกแล้ว” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ชุยอวี้หลันยิ้มออกมา
“ดีแล้วเจ้าค่ะ สหายของท่านผู้นั้นนางเติบโตในจวนสกุลใหญ่ความคิดความอ่านซับซ้อนเป็นอย่างยิ่งท่านตามนางไม่ทันหรอก” เมื่อชุยอวี้หลันพูดจบก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาหานางในทันที
“ชุยอี๋เหนียง คุณชายน้อยหลบหนีออกไปนอกจวนอีกแล้วเจ้าค่ะ” คำพูดของสาวใช้ทำให้ชุยอวี้หลันพลันมีโทสะขึ้นมาในทันที
“เจ้าลูกคนนี้ทำไมวันๆ ถึงได้หาแต่เรื่องกันนะ สั่งการลงไปเกณฑ์คนออกไปจับตัวคุณชายน้อยกลับมา ผู้ใดพาเขากลับมาได้ข้าจะตกรางวัลอย่างงาม” เมื่อชุยอวี้หลันเอ่ยเช่นนี้สาวใช้ผู้นั้นก็รีบรับคำแล้วออกไปจัดการเกณฑ์ผู้คนเพื่อออกไปตามหาหลินโม่วในทันที
“คอยดูนะตามเขากลับมาได้เมื่อไหร่ข้าจะตีเขาให้ขาหักเลย” เมื่อชุยอวี้หลันพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาที่คัดลอกอักษรเสร็จแล้วก็พลันเงยหน้าขึ้นสีหน้าของมารดาเลี้ยงทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันส่ายหน้าปฏิเสธแล้วจึงได้เอ่ยปากขออาสาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนในทันที
“แม่เล็ก ข้ากับน้องชายรู้ใจกันดี เขาหนีออกไปเช่นนี้ข้ารู้ว่าจะไปตามเขาได้ที่ไหน อีกทั้งหากข้าเป็นคนไปตามเขาย่อมจะต้องยินดีกลับมาพร้อมข้าโดยไม่ต้องเปลืองกำลังแน่” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้ชุยอวี้หลันได้แต่ส่ายหน้า
“โม่วเอ๋อออกจากจวนไปเพียงคนเดียวข้าก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว หากให้คุณหนูใหญ่ออกจากจวนไปด้วยอีกคนในใจของข้าคงจะร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม ให้บ่าวไพร่ออกไปตามหาเถิด ส่วนเรื่องที่ว่าเขาจะยอมกลับมาหรือไม่ ขอเพียงมีคนอ้างชื่อข้าเขาก็คงจะยินยอมกลับมาแต่โดยดี... กระมัง” เมื่อเอ่ยมาถึงประโยคท้ายชุยอวี้หลันพลันมีน้ำเสียงไม่แน่ใจ บุตรชายของนางทั้งเอาแต่ใจและดื้อรั้น ยิ่งเมื่อได้พี่สาวและบิดาคอยให้ท้ายเขาก็ยิ่งซุกซนและไม่เชื่อฟังนางเข้าไปใหญ่
“แม่เล็กให้ข้าไปเถิด ข้าจะพาคนไปด้วยอีกหลายคน อีกทั้งข้ายังมีผงยาสำหรับใช้ป้องกันตัวอีกมากมาย ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้าหรอกเจ้าค่ะ” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางชี้ให้มารดาเลี้ยงของตนมองดูสาวใช้และผู้ติดตามของนาง มารดาแท้ๆ ของนางทิ้งคนของตนเองให้บุตรสาวไว้หลายคน มีอยู่สองคนที่มีวิชายุทธ์สูงส่ง เมื่อชุยอวี้หลันเห็นว่าหลินเหม่ยเหยาจะพาคนเหล่านั้นติดตามไปด้วยนางก็พลันรู้สึกวางใจ
“เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด เพียงแต่หากพบโม่วเอ๋อแล้วท่านต้องรีบกลับจวนนะ หากนายท่านกลับมาถึงจวนแล้วไม่ได้พบท่าน เขาจะต้องเกณฑ์คนทั้งจวนออกไปตามหาท่านเป็นแน่”
“แม่เล็กวางใจเถิด พบโม่วเอ๋อเมื่อไหร่ข้าจะรีบพาเขากลับจวนในทันที” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้ชุยอวี้หลันก็พยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยวาจาคัดค้านหลินเหม่ยเหยาอีก
หลังจากนั้นหลินเหม่ยเหยาก็พาคนของนางออกจากจวน นางรู้ดีว่าน้องชายของนางไปอยู่ที่ไหน หลินโม่วคนนี้เป็นเด็กที่ถูกนางกับบิดาตามใจจนเสียคน แม้ว่าจะเกิดในสกุลแพทย์แต่เขากลับให้ความสนใจเรื่องวิชายุทธ์ ทุกครั้งที่ว่างเขามักจะมาเรียนรู้วิชาการป้องกันตนเองกับมู่เหอและมู่จิ่น สองผู้คุ้มกันที่มารดาของนางทิ้งเอาไว้ให้ หากวันไหนมู่เหอและมู่จิ่นไม่ว่างเขาก็มักจะมาที่สำนักคุ้มภัยสกุลมู่เพื่อจะได้ใช้ลานฝึกของสำนักคุมภัยเป็นที่ฝึกซ้อมฝีมือของตนเอง
สกุลมู่เป็นสกุลเดิมของมารดาแท้ๆ ของนาง ท่านตาของนางเคยเป็นอดีตแม่ทัพใหญ่ของแคว้น พอสิ้นท่านตาสกุลมู่ก็ไร้ผู้สืบทอด เมื่อไร้ผู้สืบทอดตราแม่ทัพก็ถูกส่งคืนราชสำนัก เมื่อสิ้นท่านตาบรรดาแม่ทัพนายกองหลายคนก็ล้วนลาออกจากกองทัพ มารดาของนางกังวลว่าพอพวกเขาไร้เบี้ยหวัดที่เคยได้รับจากในกองทัพแล้วจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก นางจึงได้ก่อตั้งสำนักคุ้มภัยสกุลมู่ขึ้นมาเพื่อให้กลุ่มคนที่เคยเป็นอดีตลูกน้องของท่านตามีอาชีพที่สามารถหาเงินเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
“โม่วเอ๋อ!” เสียงของหลินเหม่ยเหยาทำให้หลินโม่วที่กำลังฝึกเพลงทวนอยู่ชะงักงันไปในทันที เขารีบส่งทวนให้มู่เปียวแล้ววิ่งมาหาพี่สาวของตนเองในทันที
“พี่หญิง ท่านมาทำอะไรที่นี่” คำถามของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาขึงตาใส่น้องชายในทันที
“ก็มาตามเจ้ากลับจวนอย่างไรเล่า ร้ายกาจนักนะเดี๋ยวนี้กล้าหลบหนีออกจากจวนแล้วหรือ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินโม่วก็ยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อนในทันที
“ก็ท่านแม่ห้ามไม่ให้ข้าฝึกยุทธ์ภายในจวนนี่นา ข้าก็เลยต้องแอบลักลอบออกจากจวนมาฝึกที่นี่” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาได้แต่ส่ายหน้า
“แต่ถึงอย่างไรการหลบหนีออกจากจวนโดยไม่บอกกล่าวกับผู้ใด ก็เป็นเรื่องที่ผิดอยู่ดี ดังนั้นเจ้ารีบเดินทางกลับจวนเสียเดี๋ยวนี้ไม่เช่นนั้นวันนี้เจ้าอาจจะถูกแม่เล็กลงมือเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวปริแตกไปเลยก็ได้นะ” คำพูดของพี่สาวทำให้หลินโม่วพลันมีสีหน้าซีดเซียวในทันที
“พี่หญิงท่านต้องช่วยข้านะ ไม่เช่นนั้นท่านแม่จะต้องลงมือเฆี่ยนตีข้าด้วยตนเองหรือไม่ก็ส่งข้าไปที่หอลงทัณฑ์เพื่อรับโทษโบยเป็นแน่” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาพลันยิ้มออกมาในทันที น้องชายผู้นี้ของนางแม้ว่าจะดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้จักเกรงกลัวการต้องรับโทษทัณฑ์อยู่ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีเพราะถ้าหากว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเลยคงยากที่จะควบคุมความประพฤติของเขาได้