เมื่อตามตัวน้องชายได้แล้วหลินเหม่ยเหยาก็ตั้งใจว่าจะพาน้องชายของตนกลับ แต่มู่เปียวผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยคนปัจจุบันกลับรั้งให้นางอยู่ต่อเพื่อพูดคุยเรื่องการแบ่งปันผลกำไรจากกิจการในช่วงนี้ นอกจากสำนักคุ้มภัยแล้วมารดาของนางยังทิ้งร้านค้าเอาไว้ให้นางอีกหลายร้าน แต่เพราะนางไม่ค่อยจะได้สนใจเรื่องการค้าชีวิตในชาติก่อนของนางจึงได้ขัดสนเรื่องเงินทองในยามที่ตนเองต้องประสบกับความยากลำบาก
ในชาติที่แล้วพอนางแต่งเข้าจวนสกุลซ่งบรรดาร้านค้าเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ล้วนไม่ค่อยจะทำเงินให้นางจนผลสุดท้ายนางก็ขายทอดตลาดในที่สุด เงินที่ได้มาเป็นเงินจำนวนน้อยนิดที่นางพกติดตัวเอาไว้ ในยามที่บิดาต้องโทษมารดาเลี้ยงและน้องชายถูกคุมขัง นางแทบจะไม่มีเงินพอที่จะติดสินบนเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนพวกเขาได้จนผลสุดท้ายนางจำต้องขายเครื่องประดับทั้งหมดของตนเอง จึงสามารถไปเยี่ยมเยียนได้แค่เพียงมารดาเลี้ยงและน้องชายเพียงเท่านั้น ส่วนบิดากว่านางจะรวบรวมเงินได้เขาก็ถูกประหารที่ลานประหารไปเสียแล้ว
มาชาตินี้นางรู้แล้วว่าชีวิตของนางไม่อาจจะขาดเงิน ดังนั้นยามที่มู่เปียวเชิญนางเข้าไปฟังเขารายงานผลกำไรทางการค้า นางจึงได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้
“อิงจื่อ เจ้ากลับไปรายงานแม่เล็กของข้าด้วยตนเองว่าพบคุณชายน้อยแล้ว เขาอยู่ในสำนักคุ้มภัยและปลอดภัยดี ข้าขออยู่ที่นี่เพื่อฟังรายงานผลประกอบการจากท่านผู้ดูแลมู่ก่อน แล้วหลังจากนั้นข้าจึงจะพาคุณชายเล็กกลับ” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้อิงจื่อก็รับคำแล้วรีบกลับจวนไปพร้อมกับสาวใช้รุ่นเล็กอีกสองคน
แล้วหลังจากนั้นหลินเหม่ยเหยาก็ไปนั่งฟังรายงานผลประกอบการที่ห้องรับรองของสำนักคุ้มภัยอย่างตั้งอกตั้งใจ นางทั้งนั่งฟังและนั่งซักถามเขาอย่างตั้งใจ หากร้านค้าใดกิจการไม่ดีนางก็สอบถามถึงสาเหตุที่กิจการไม่ทำเงิน แล้วก็นั่งจดรายการปัญหาเอาไว้ เพื่อที่ครั้งหน้าจะได้หาหนทางในการปรับปรุงและแก้ไขต่อไป ส่วนหลินโม่วนั้นในเมื่อพี่สาวติดพันเรื่องการค้าเขาจึงได้ถือโอกาสใช้ช่วงเวลานี้ฝึกเพลงทวนในลานฝึกซ้อมของสำนักคุ้มภัยสกุลมู่ต่อ
“ขอบคุณท่านผู้ดูแลมู่มากที่คอยช่วยดูแลสำนักคุ้มภัยและคอยดูแลบรรดาร้านค้าต่างๆ ให้ข้า” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางย่อกายคารวะขอบคุณชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขารีบโบกมือพลางเบี่ยงกายเพื่อหลบการคารวะของนางในทันที
“อั๊ยหยา คุณหนูเหตุใดจึงต้องเกรงอกเกรงใจกันด้วย มันเป็นหน้าที่ของข้า ข้าย่อมจะต้องใส่ใจและดูแลเป็นพิเศษ เพียงแต่ช่วงนี้ข้าก็อายุมากแล้วท่านควรจะหาใครสักคนที่ไว้ใจได้มาคอยช่วยดูแลที่นี่แทนข้าได้แล้ว” เมื่อมู่เปียวพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็พลันนิ่วหน้า ในชาติที่แล้วนางไม่เคยได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขา อีกทั้งตอนที่มู่เปียวตายนางก็แค่เพียงประกาศรับผู้ดูแลไปประจำแต่ละร้านอย่างไม่ใส่ใจ แต่ชาตินี้นางไม่คิดจะเป็นดังเช่นในชาติที่แล้วนางจึงรีบเอ่ยปากไหว้วานชายชราตรงหน้าในทันที
“ถ้าเช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านมู่หาผู้ดูแลที่เหมาะสมให้ข้าด้วย ข้าเชื่อสายตาของท่านว่าท่านจะต้องหาคนที่เหมาะสมได้ดีกว่าข้าแน่” คำพูดของหลินเหม่ยเหยาทำให้มู่เปียวยิ้มออกมาในทันที
“ในเมื่อคุณหนูเชื่อใจข้าก็จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง ข้าจะเร่งหาคนที่ไว้ใจได้มาเรียนรู้งานกับข้าในเร็ววัน” เมื่อเขาพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็เอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านมาก ข้าออกนอกจวนมานานแล้วสมควรจะกลับเสียที ดังนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับจวนก่อน” เมื่อหลินเหม่ยเหยาเอ่ยเช่นนี้มู่เปียวจึงได้ขยับตัวลุกขึ้นแล้วอาสาว่าจะพานางไปส่ง แต่นางกลับส่ายหน้าปฏิเสธและบอกกับเขาว่ารถม้าสกุลหลินรอนางอยู่ที่หน้าสำนักคุ้มภัยแล้ว เขาจึงไม่ได้คะยั้นคะยอจะขออาสาไปส่งนางอีก
“แล้วน้องชายคนดีของข้าหายไปไหนอีกแล้ว” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยถามพลางขมวดคิ้วในทันที มู่เปียวจึงได้หัวเราะออกมาแล้วชี้ไปทางป่ารกร้างทางด้านหลังของสำนักคุ้มภัย
“คุณชายน้อยน่าจะแอบหนีไปให้อาหารลูกสุนัขบริเวณชายป่าด้านหลังสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว ให้ข้าส่งคนไปตามคุณชายนะขอรับ” เมื่อมู่เปียวพูดเช่นนี้หลินเหม่ยเหยาก็ส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวข้าไปตามเขาเอง ข้าเองก็อยากจะรู้แล้วว่าลูกสุนัขที่เขามักจะบ่นถึงมีหน้าตาเช่นไร” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยพลางยิ้มออกมา ในชาติที่แล้วต่อให้น้องชายของนางเลี้ยงลูกสุนัขอีกสักกี่ตัวก็ไม่มีตัวไหนเทียบเทียมลูกสุนัขที่อยู่หลังสำนักคุ้มภัยได้เลย ทำให้นางรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควรเพราะคนที่ห้ามไม่ให้เขานำลูกสุนัขกลับไปเลี้ยงที่จวนก็คือนางเอง
“หลินโม่ว!” หลินเหม่ยเหยาส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าน้องชายของนางกำลังลูบหัวลูกสุนัขจิ้งจอกอยู่ บรรดาผู้คุ้มกันที่ติดตามนางมาทางด้านหลังถึงกับพากันชักกระบี่ออกมาในทันที ลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นก็พากันหันมาแยกเขี้ยวใส่ผู้คุ้มกันในทันที
“โก่วต้า เสี่ยวโก่ว พวกเจ้าอย่าทำอะไรพวกเขานะ” หลินโม่วส่งเสียงห้ามปรามลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้น แต่พวกมันกลับไม่ได้ฟังเขา ยังคงแยกเขี้ยวแล้วก็เห่าใส่ผู้คุ้มกันและหลินเหม่ยเหยาในทันที
“โม่วเอ๋อ ออกมา” หลินเหม่ยเหยาเอ่ยเรียกน้องชายด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง นางเอาแต่กังวลว่าถ้าลูกสุนัขสองตัวนั้นหันกลับไปเล่นงานน้องชายของนางแล้วบรรดาผู้คุ้มกันของนางจะสามารถช่วยเหลือน้องชายของนางได้ทันหรือไม่
“พี่หญิงท่านพาคนของท่านถอยออกไปก่อน พวกมันกำลังโกรธท่านไม่เห็นหรือ” คำพูดของน้องชายทำให้หลินเหม่ยเหยาขมวดคิ้ว นางโบกมือให้คนของนางถอย แต่ลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นกลับขยับตามติดมาพร้อมทั้งทำท่าว่าจะกระโจนใส่นาง ยามที่มู่จิ่นเตรียมจะแทงปลายกระบี่ไปที่พวกมัน พวกมันก็พุ่งเป้าหมายมาที่นางในทันที
“พี่หญิง!” หลินโม่วร้องออกมาด้วยความตกใจ มู่เหอและมู่จิ่นต่างขยับปลายกระบี่เพื่อจะคุ้มกันเจ้านายของตนแต่กลับช้าไปกว่าการลงมือของหลินเหม่ยเหยา ทันทีที่ลูกสุนัขจิ้งจอกทั้งสองถูกผงสีขาวที่นางสาดออกไปพวกมันก็ชะงักงันและแน่นิ่งไปในเฉียบพลัน
“พี่หญิงท่านฆ่าพวกมันทำไม” หลินโม่วเอ่ยพลางวิ่งเข้าไปพลิกร่างกายของลูกสุนัขสองตัวนั้นด้วยความเสียใจ แต่มู่เหอกับว่องไวกว่าเขารีบเข้าไปอุ้มร่างของเด็กชายให้พ้นจากวิถีโจมตีของแม่สุนัขจิ้งจอกที่กระโจนเข้ามาแล้วเห่ากรรโชกด้วยความดุร้าย แล้วมันก็เห่าหอนออกมาอย่างโหยหวนเมื่อเห็นว่าลูกๆ ของมันนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น
“เป็นผู้ใดกันที่กล้าทำร้ายลูกสุนัขจิ้งจอกของข้า” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอำมหิตของคนที่เดินเข้ามาทำให้แม่สุนัขที่กำลังเห่าหอนอย่างบ้าคลั่งพลันตัวสั่นแล้วร้องครางออกมา หลินเหม่ยเหยาจ้องมองคนผู้นั้นด้วยสายตาตกตะลึงในใจก็ได้แต่ร่ำร้องว่า
'แย่แล้ว! ข้าล่วงเกินคนที่ไม่ควรจะล่วงเกินเข้าเสียแล้ว'
“ข้าไม่ได้ฆ่าพวกมัน ก็แค่สาดยาสลบใส่พวกมันเพียงเท่านั้น” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้หยางเจี้ยนก็หันไปส่งสายตาให้คนของตนเข้าไปตรวจสอบลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวนั้นในทันที
“เรียนคุณชายใหญ่ พวกมันแค่สลบไปจริงๆ ขอรับ” เมื่อคนของเขาเอ่ยเช่นนี้หยางเจี้ยนก็จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาพินิจพิจารณาในทันที
“เจ้าเป็นคุณหนูของจวนใด เหตุใดจึงได้พกยาสลบติดตัวเช่นนี้” คำถามของเขาทำให้หลินเหม่ยเหยาเม้มปากแน่น ในชาติที่แล้วนางกับเขาแทบจะไม่เคยพบหน้ากัน แม้ว่าจะเคยได้พบกันแต่เขากลับมองเมินนางไปด้วยนางนับเป็นสหายสนิทของหยางสุ่ยเซียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาที่หยางเจี้ยนเกลียดชัง ดังนั้นนางจึงได้กลายเป็นบุคคลที่เขาเกลียดชังไปด้วย