"แล้วเรื่องของเฮียเส็งจะทำยังไงล่ะลูก... ป่านนี้แกคงรอแย่แล้ว"
คำพูดของแม่สามีทำให้ใบหน้าของช่อฟ้าเริ่มซีดเผือด "ตายจริง! ฉันมัวแต่ตกใจเรื่องลูก เลยทิ้งปี๊บไว้ตรงที่เกิดเรื่องเลยจ้ะแม่"
"เฮ้อ..." สุ่นลั้งถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม "เอาอย่างนี้แล้วกัน...เดี๋ยวแม่เฝ้าหลานให้เอง ช่อรีบไปที่เล้าหมูก่อนดีไหม ไปเก็บปี๊บแล้วอธิบายให้เฮียเส็งแกฟัง...แม่ว่าแกคงเข้าใจ"
ยังไม่ทันที่ช่อฟ้าจะได้ตอบรับ ร่างสูงใหญ่ของมนตรีที่เพิ่งเลิกงานก็เดินมาถึงพอดี...
"มีเรื่องอะไรกัน" เขาถามขึ้นเสียงดังตามประสาคนที่คุ้นชินกับเสียงร้องระงมของหมูในโรงเชือด
"ลูกพลัดตกท่อจ้ะพี่" ช่อฟ้าเป็นฝ่ายตอบเสียงแผ่ว
หลังสิ้นเสียงของคนเป็นภรรยา...ชายหนุ่มก็รีบเดินผ่านทุกคนเข้าไปดูลูกสาวที่ตอนนี้นอนหลับสนิทอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ เมื่อเห็นว่าลูกได้รับการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนตัวเก่าแล้ว และไม่มีร่องรอยบาดแผลภายนอกให้เห็นจึงค่อยวางใจลง
"ท่อหน้าปากซอยนั่นใช่ไหม" เขาถามขึ้น เพราะระหว่างทางที่เดินกลับบ้านเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าฝาท่อไม้ผุ ๆ แผ่นหนึ่งมีร่องรอยชำรุดแตกหัก
"ใช่จ้ะ" ช่อฟ้าผงกหัวเป็นการยืนยัน
"ฉันว่าแล้ว...สักวันต้องได้เกิดเรื่อง!" มนตรีสบถออกมาอย่างหัวเสีย "ไม้มันเก่าขนาดนั้น...แทนที่จะมีเจ้าหน้าที่มาดูมาซ่อมก็ปล่อยไว้ ดีนะที่ลูกของเราปลอดภัย ไม่เป็นอะไรมาก"
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยที่ปนเปกับความโมโหในโชคชะตาและไร้ความรับผิดชอบของคนอื่น พร้อมกับยกมือลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ เป็นการปลอบขวัญ ก่อนจะหันมามองหน้าภรรยาที่ยังคงซีดเซียว
"แล้วเรื่องเฮียเส็ง..." เขาเอ่ยขึ้น
"ฉันกำลังจะไปจ้ะ"
มนตรีถอนหายใจยาว เขามองหน้าภรรยาที่อ่อนล้าเต็มที แล้วมองลูกสาวที่ยังหลับอยู่ "ไปพร้อมกันนี่แหละ รีบไปรีบกลับ จะได้มาอยู่กับลูก"
พูดจบเขาก็หันไปบอกมารดา "ม๊า...ฝากดูลูกแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพวกผมรีบไปรีบกลับ"
สุ่นลั้งพยักหน้ารับรู้ หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงรีบเดินออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังเล้าหมูของเถ้าแก่เส็งที่อยู่ไม่ไกลอย่างเร่งด่วน
เมื่อคนทั้งคู่ไปถึง พวกเขาก็ได้ยินเสียงหมูร้องดังระงมเพราะความหิวมาแต่ไกล โดยมีเถ้าแก่เส็งกำลังยืนเท้าสะเอวหน้าตาบูดบึ้งอยู่หน้าเล้า พอเห็นหน้าช่อฟ้าแกก็เตรียมจะอ้าปากต่อว่าทันที
"มาช้าจริงนะอาช่อ! ปล่อยให้หมูอั๊วร้องจน..."
"พอดีลูกสาวผมพลัดตกท่อครับเถ้าแก่" มนตรีเป็นฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแฝงความจริงจัง "เลยเสียเวลาไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยครับ"
คำพูดของมนตรีทำให้เถ้าแก่เส็งชะงักไป เขามองหน้าสองสามีภรรยาสลับกันไปมา ก่อนที่สีหน้าเกรี้ยวกราดจะค่อย ๆ อ่อนลง ความเป็นพ่อคนทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ได้ไม่ยาก
"เออ ๆ! รู้แล้วก็รีบเข้าไปจัดการซะสิ!" เขาพูดเสียงดังกลบเกลื่อน "เดี๋ยวหมูของอั๊วก็ได้กินกันเองพอดี! ผสมอาหารแล้วก็อย่าลืมล้างคอกให้มันดี ๆ ด้วยล่ะ!"
ว่าจบ เถ้าแก่เส็งก็เดินหันหลังกลับไป แต่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าบ้านของตัวเองไป ผู้มากวัยกว่าคนทั้งคู่ก็หยุดฝีเท้าของตนลง แล้วจึงล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมายื่นส่งให้ ช่อฟ้า
"เอ้านี่! ค่าจ้างล่วงหน้า" เขาพูดด้วยน้ำเสียงห้วนสั้นตามนิสัยของเจ้าตัว "ลื้อเอาไปก่อน...เผื่ออาหมวยอีตัวร้อนเป็นไข้จะได้มีเงินพาไปหาหมอ อั๊วไม่อยากให้คนงานขาดงานเพราะลูกป่วย"
ช่อฟ้ากับมนตรีมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม เถ้าแก่เส็งไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงโบกมือปัด ๆ แล้วเดินเข้าบ้านไป
ทางด้านสุ่นลั้ง...ในระหว่างที่ลูกชายและลูกสะใภ้ไปทำงาน หล่อนก็ไม่ได้อยู่เฉย หลังจากอุ้มหลานสาวเข้าไปนอนในห้องเรียบร้อยแล้ว เธอก็ออกมาดูแลหลานชายตัวเล็กต่อ
"มา...อามนัสมาหาอาม่ามา" เธอกวักมือเรียกหลานชายวัย 2 ขวบที่กำลังคลานเล่นอยู่บนพื้น ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าผืนใหญ่ค่อย ๆ อุ้มและผูกเขาไว้บนแผ่นหลังของตนอย่างชำนาญ เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้เธอสามารถทำงานอื่นไปพร้อมกับดูแลหลานไม่ให้คลาดสายตาได้
เมื่อมั่นใจว่าหลานชายอยู่บนหลังอย่างปลอดภัยแล้ว หญิงวัยกลางคนก็เดินไปที่หลังบ้าน และเริ่มก่อเตาถ่าน...แม้ในยุคสมัยนี้จะมีไฟฟ้าใช้บ้างแล้ว แต่สำหรับครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำเช่นเธอ การหุงหาอาหารด้วยเตาถ่านก็ยังคงเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด
หล่อนใช้พัดที่สานจากใบตาลโบกเบา ๆ จนถ่านในเตาลุกโชนเป็นสีแดงฉาน จากนั้นจึงยกหม้อข้าวใบเก่าที่ผ่านกาลเวลามานานขึ้นตั้งบนเตา
ไม่นานนัก...ควันสีขาวก็ลอยกรุ่นขึ้น พร้อมกลิ่นหอมของข้าวสุกที่อบอวลไปทั่วบ้าน...กลิ่นนั้นไม่ใช่เพียงกลิ่นของอาหาร แต่คือสัญลักษณ์ของความรักและห่วงใยที่เธอมีต่อลูก...หลาน หลังจากข้าวสุกได้ที่และถูกยกลงจากเตามาพักไว้ให้ระอุดีแล้ว สุ่นลั้งก็ไม่ได้หยุดพัก เธอยกกระทะเหล็กใบเก่าที่ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วนขึ้นตั้งบนเตาถ่านที่ไฟยังคงแรงอยู่
กับข้าวมื้อเย็นของบ้านก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก วันนี้มีเนื้อหมูแดดเดียวที่ลูกชายได้มาจากโรงเชือดอยู่หนึ่งชิ้น ที่เป็นความใจดีของเถ้าแก่เจ้าของโรงเชือดที่มักจะแบ่งปันเนื้อส่วนที่ขายไม่หมดให้ลูกน้องอยู่บ่อยครั้ง นอกจากนั้นก็มีเปลวไขมันหมูติดหนังอีกก้อนหนึ่งซึ่งสุ่นลั้งได้รับมาจากแผงขายหมูในตลาด
หญิงวัยกลางคนเริ่มต้นด้วยการนำเปลวไขมันหมูมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนจะโยนลงไปในกระทะที่ร้อนจัด เสียงไขมันที่แตกตัวดังฉ่า! พร้อมกับส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณครัวหลังบ้าน... เธอใช้ตะหลิวค่อย ๆ คั่วมันเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ จนไขมันใส ๆ ถูกรีดออกมาจนเกือบหมด
เหลือเพียงกากหมู...ชิ้นเล็กสีเหลืองทองกรอบน่ากิน ซึ่งเธอตักขึ้นมาพักไว้ในถ้วย กากหมูเหล่านี้คือของวิเศษสำหรับเด็กสองพี่น้องเพราะแค่นำมาคลุกกับข้าวสวยร้อน ๆ เหยาะน้ำปลาเล็กน้อยก็อร่อยจนแทบไม่ต้องมีกับข้าวอื่น
ในกระทะบัดนี้เต็มไปด้วยน้ำมันหมูใหม่ที่หอมกรุ่น สุ่นลั้งจึงนำหมูแดดเดียวที่หั่นเตรียมไว้ลงไปทอด เสียงเนื้อหมูที่กระทบกับน้ำมันร้อน ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ลอยไปไกลจนมนัสที่อยู่บนหลังของเธอเริ่มขยับตัวยุกยิกเพราะได้กลิ่น
เมื่อหมูทอดจนเหลืองกรอบได้ที่ เธอก็ตักขึ้นมาพักไว้ ถัดจากนั้นเป็นลำดับต่อมาเธอก็ตักน้ำมันขึ้นใส่อวยและล้างกระทะใบเดิม ก่อนจะใส่น้ำและนำผักบุ้งที่เก็บมา...นำมาลวกในน้ำเดือดอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้สีซีดคล้ำ
ที่ตั้งใจว่าจะนำมากินคู่กับพริกน้ำปลาที่ทำง่าย ๆ เพียงซอยพริกขี้หนูสดกับกระเทียมแล้วบีบมะนาวตาม เหยาะด้วยน้ำปลาดีอีกนิดหน่อย
อาหารเพียงสามอย่าง...หมูแดดเดียวทอด กากหมู ผักบุ้งลวก และพริกน้ำปลาถ้วยเล็ก ถูกจัดวางเตรียมพร้อมไว้บนโต๊ะไม้เก่ารอเพียงข้าวสวยร้อน ๆ ที่จะตักมาเติมเต็มมื้ออาหาร
สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นเพียงอาหารบ้าน ๆ ที่เรียบง่ายจนเกินไป...แต่สำหรับสุ่นลั้งและครอบครัวของเธอแล้ว อาหารเพียงเท่านี้ก็เพียงพอและเป็นความสุขใจที่ยิ่งใหญ่แล้ว สำหรับผู้ใหญ่สามคนและเด็กกำลังกินอีกสองคนในบ้านหลังนี้...